ฉายาพระ หรือ ชื่อฉายา คือ ชื่อที่พระอุปัชฌาย์ตั้งให้เป็นภาษาบาลีเมื่ออุปสมบท เพราะในพิธีอุปสมบทจะต้องสวดประกาศข้อความที่เรียกว่า “กรรมวาจา” เป็นภาษาบาลี และข้อความในกรรมวาจานั้นต้องระบุชื่อผู้บวชเป็นภาษาบาลีด้วย ดังนั้นพระอุปัชฌายะจึงต้องตั้งชื่อให้ใหม่เป็นภาษาบาลี
เกจิอาจารย์ แปลว่า อาจารย์บางพวก หรือ บางรูป ซึ่งในที่นี้หมายถึงพระอาจารย์บางรูปที่มีชื่อเสียงด้านคาถาอาคมหรือเป็นที่เลื่อมใสของพุทธศาสนิกชน มีศิษย์ที่เคารพนับถือเป็นจำนวนมาก
การเรียงพระเกจินี้ ไม่ได้เรียงตามลำดับพรรษา หรือตามลำดับอักษรแต่อย่างใด เป็นการเรียงตามแต่ผมจะคิดได้
หลวงพ่อเงิน ฉายา พุทฺธโชติ (อ่านว่า พุด-ทะ-โช-ติ) แปลว่า ผู้รุ่งเรืองด้วยพระพุทธเจ้า, ผู้รุ่งเรืองเหมือนดังพระพุทธเจ้า, ผู้รุ่งเรืองในคำสอนของพระพุทธเจ้า (ผมไม่แน่ใจว่าแปลถูกต้องไหม)
หลวงพ่อคูณ ฉายา ปริสุทฺโธ (อ่านว่า ปะ-ริ-สุด-โท) แปลว่า ผู้บริสุทธิ์, ผู้หมดจด, ผู้ขาวสะอาด
หลวงพ่อรวย ฉายา ปาสาทิโก แปลว่า ผู้นำมาซึ่งความเลื่อมใส, ผู้มีความเลื่อมใส (ในธรรม)
หลวงพ่อกวย ฉายา ชุตินฺธโร (อ่านว่า ชุ-ติน-ทะ-โร) แปลว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งความรุ่นเรือง ไม่ได้แปลว่า ผู้ตัดกิเลสนะครับ ส่วนท่านตัดกิเลสได้หรือไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง
หลวงพ่อสุด ฉายา สิริธโร (อ่านว่า สิ-ริ-ทะ-โร) แปลว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งสิริ (ความดีงาม)
หลวงปู่หลิว ฉายา ปณฺณโก (อ่านว่า ปัน-นะ-โก) แปลว่า ผู้บริบูรณ์แล้ว
หลวงปู่ฝั้น ฉายา อาจาโร แปลว่า ผู้มีมารยาท (ตรงข้ามกับคำว่า อนาจาโร หรือ เขียนแบบไทยว่า อนาจาร แปลว่า ไม่มีมารยาท ไม่มีความงดงาม ไม่เรียบร้อย นำมาใช้ในภาษาไทยความหมายอาจจะแรงไปหน่อย คือ ความประพฤติชั่ว, ความประพฤติไม่ดีไม่งาม หรือ ลามก, น่าบัดสี, ทำให้เป็นที่น่าอับอาย.
หลวงพ่อผาง ฉายา จิตฺตคุตฺโต (อ่านว่า จิด-ตะ-คุด-โต) แปลว่า ผู้มีจิตอันคุ้มครองแล้ว
พระภิกษุ (ฉายา) ธมฺมวิตกฺโก (อ่านว่า ทำ-มะ-วิ-ตัก-โก) แปลว่า การระลึกถึงธรรม หรือการตรึกถึงธรรม
หลวงปู่ทิม ฉายา อิสริโก (อ่านว่า อิ-สะ-ริ-โก) แปลว่า ผู้มีอิสระ
หลวงปู่แหวน ฉายา สุจิณฺโณ (อ่านว่า สุ-จิน-โน) แปลว่า ผู้ประพฤติดีแล้ว
หลวงปู่ขาว ฉายา อนาลโย (อ่านว่า อะ-นา-ละ-โย) แปลว่า ผู้ไม่มีความอาลัย, ผู้ขาวบริสุทธิ์

หลวงปู่มั่น ฉายา ภูริทตฺโต (อ่านว่า พู-ริ-ทัด-โต) แปลตามศัพท์ว่า ผู้อัน(ปัญญา)เพียงดังแผ่นดินให้แล้ว คำว่า “ภูริทตฺต” นี้เป็นนามของพระโพธิสัตว์ในชุดพระเจ้าสิบชาติ ปรากฏในภูริทัตตชาดก คือพระพุทธเจ้าเมื่อเสวยพระชาติเป็นนาคราชนามว่า “ภูริทัต” หมายถึง ผู้ประกอบด้วยปัญญาอันกว้างขวางเสมอด้วยแผ่นดิน ที่มา ภูริทัตโต
พระอาจารย์พยอม ฉายา กลฺยาโณ (อ่านว่า กัน-ละ-ยา-โน) แปลว่า ผู้ดีงาม
พระราชสังวราภิมณฑ์ หรือ หลวงปู่โต๊ะ ฉายา อินฺทสุวณฺโณ (อ่านว่า อิน-ทะ-สุ-วัน-โน) แปลว่า ผู้มีผิวพรรณงามดุจพระอินทร์
หลวงปู่หมุน ฉายา ฐิตสีโล (อ่านว่า ถิ-ตะ-สี-โล) แปลว่า ผู้มีศีลตั้งมั่น
พระครูญาณวิลาศ หรือ หลวงพ่อแดง ฉายา รตฺโต (อ่านว่า รัด-โต) รตฺโต แปลว่าสีแดง เข้าใจว่าท่านน่าจะตั้งฉายาตามชื่อของท่าน ฉะนั้น จึงน่าจะแปลว่า พระภิกษุผู้มีชื่อว่าแดง หรือพระแดง
พระครูนิวาสธรรมขันธ์ หรือ หลวงพ่อเดิม ฉายา พุทฺธสโร (อ่านว่า พุด-ทะ-สะโร) แปล่า ผู้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
พระครูวิมลคุณากร หรือ หลวงปู่ศุข ฉายา เกสโร (อ่านว่า เก-สะ-โร) โดยมากแปลทับศัพท์ว่า ผู้ชื่อว่าเกสร หรือจะแปลว่า ในกรณีหลวงปู่ศุข อาจจะแปลว่า ผู้เปรียบดังเกษรดอกบัวคือมีกลิ่นหอมแห่งศีลฟุ้งขจรไป
“เกสร” แปลตามรากศัพท์ว่า (1) “สิ่งที่ร่วงลงไปในน้ำ” (2) “สิ่งที่เป็นไปอยู่บนดอกบัว” (3) “สิ่งที่เล็กละเอียด” ความหมายเดิมจึงมุ่งหมายเฉพาะ “เกสรดอกบัว” ต่อมาขยายไปถึงเกสรดอกไม้อื่นๆ ทั่วไป และยังแปลว่า ไม้บุนนาค, พิกุล และ มหาหิงคุ์ ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ “เกสร” ยังหมายถึง “ขนสร้อยคอสัตว์” โดยเฉพาะสิงห์ หรือสิงโต ความหมายนี้มาจากคำว่า เกส (ผม) + ร หรือ อร ปัจจัย = เกสร แปลว่า “มีผม” ที่มา เกสร