พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
วัดเจติยาคิรีวิหาร อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย
ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ มีชาติกำเนิดในสกุล นรมาส เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2463 ตรงกับวันเสาร์ แรม 10 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก ณ บ้านเหล่ามันแกว บ้านเลขที่ 28 หมู่ที่ 12 ตำบลดงมะยาง อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี บิดาท่านชื่อ สา มารดาชื่อ แหวะ สกุลเดิม วงศ์จันทร์ บรรพบุรุษของท่านอพยพมาจากเวียงจันทน์ เป็นอุปฮาดผู้เป็นต้นตระกูลก็พาครอบครัวอพยพมา ครั้งแรกตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลหนองวัวลำภู ต่อมาก็ย้ายถิ่นฐานบ้านช่อง กระทั่งท้ายที่สุดมาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๗ คน ท่านเป็นคนที่ ๖
บิดามีอาชีพทำนา และมีความรู้ทางด้านสมุนไพรมาก เพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง ได้อาศัยเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยคือเป็นหมอประจำหมู่บ้าน เป็นที่รักใคร่นับถือและได้รับเลือกให้เลือกผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งบิดาของท่านก็ดำรงตำแหน่งนี้มาตลอดจนถึงแก่กรรม ขณะนั้นท่านอายุได้ 16 ปี
ตามชนบทในสมัยนั้นโรงเรียนมีน้อยมาก ตั้งอยู่ห่างไกลกัน ในตำบลหนึ่งๆ มิได้มีโรงเรียนครบทุกหมู่บ้านหมู่บ้านใดไม่มีโรงเรียน เด็กก็ต้องมาเรียนรวมกันที่โรงเรียนในหมู่บ้านใกล้เคียง ซึ่งต้องเดินนับเป็นสิบๆ กิโลเมตร ผู้ปกครองจะยอมให้บุตรหลานไปเรียนหนังสือจึงต้องให้โตพอประมาณ คือ อายุ 9-10 ปี ท่านอาจารย์ก็เช่นเดียวกันเริ่มเข้าเรียนหนังสือเมื่ออายุครบ 9 ขวบเต็ม ต้องเดินไปโรงเรียนที่อีกหมู่บ้าน คือที่บ้านดงมะยาง จนขึ้นชั้นประถมปีที่ 3 โรงเรียนจึงย้ายมาอยู่ที่วัดเจริญจิต บ้านโคกกลางติดกับบ้านเหล่ามันแกวอันเป็นบ้านเกิด ท่านได้เรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของตำบลชนบทละแวกนั้น ระหว่างเรียนเป็นผู้เรียนดี ฉลาดและขยันหมั่นเพียรอย่างยิ่ง สอบไล่ได้ที่ 1 โดยตลอด ตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 1 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้รับคำชมเชยยกย่องจากครูบาอาจารย์ทั้งในด้านการเรียนและในด้านความประพฤติ จนครูเชื่อถือรักใคร่ให้ช่วยสอนเพื่อนนักเรียนแทนครูตลอด เป็นประจำทุกชั้นเรียน
หลังจากจบการศึกษาแล้ว อายุย่างเข้า 18 ปี ท่านได้เข้าราชการกรมทางหลวงแผ่นดิน อยู่เป็นเวลา 4 ปี จึงได้ลาออกเพื่อเตรียมอุปสมบท กล่าวได้ว่าท่านเป็นผู้มีนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรมะมาแต่เด็ก นอกจากการวิ่งเล่นซุกซนสนุกสนานตามวิสัยเด็กน้อยแล้ว สำหรับนิสัยทางสร้างบาปสร้างกรรมไม่มีเลย ท่านเล่าเสมอว่าท่านไม่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ส่วนการหยิบฉวยลักขโมยนั้น แม้แต่เข็มสักเล่มเดียวก็ไม่เคยหยิบฉวยของใครเลย
เมื่อท่านอายุได้ 14-15 ปี ได้พบพระธุดงค์มาปักกลดอยู่ใกล้บ้าน ได้เข้าไปรนนิบัติรับใช้ ได้เห็นปฏิทาจริยาวัตรอันสำรวจอย่างเคร่งครัด บังเกิดความเลื่อมใสตั้งปณิธานว่าต่อไปจะบวชอย่างท่านบ้าง พระธุดงค์ได้มอบหนังสือ ไตรสรณาคมน์ ของ ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันยาคโม แห่งวัดป่าสาละวัน นครราชสีมา มาให้ หนังสือนี้นอกจากสอนให้พุทธศาสนิกชนรู้จักการเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริงแล้ว ได้สอนวิธีปฏิบัติภาวนาด้วย ท่านบังเกิดความคิดเลื่อมใสศรัทธา จึงลองปฏิบัติตามหนังสือนั้น เริ่มสวดมนต์ไหว้พระ ทำวัตรย่อแล้วนั่งสมาธิหัดบริกรรม พุทโธ พุทโธ…พุทโธ จนกระทั่งปรากฏว่าจิตรวม จิตกับกายแยกกันไม่เหมือนกัน จิตอยู่เฉพาะจิต กายอยู่เฉพาะกาย เวทนาใดก็ไม่มีปรากฏเลย
ท่านเล่าว่า เวลานั้นก็ไม่รู้จักอะไรลึกซึ้ง ด้วยหัดเอง ทำเอง ทำตามลำพังคนเดียง ไม่มีผีรู้มาสอนให้ก้าวหน้าขึ้น ได้แต่รู้สึกว่านั่งสมาธิแล้วก็สบายดี กายเบา จิตขาวนิ่มนวลผ่องใสเหมือนนั่งนอนอยู่บนอากาศอันนิ่มนวล ทำให้จิตใจดูดดื่มมาก นึกอยากจะภาวนาเสมอๆ ถ้าวันไหนใจไม่สบายก็ต้องเข้าที่นั่งภาวนา สงบใจเสมอ
ภายหลังระหว่างทำงานได้รับหนังสือ จตุรารักข์ ของท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล มาอ่านเพิ่มเติมสติปัญญาอีก เมื่อท่านอ่านไปถึง มรณานุสติ จิตก็สลดสังเวชว่าเราก็ต้องมีตายอยู่นั่นเอง และในหนังสือนั้นท่านพระอาจารย์เสาร์ฯ ก็ได้ย้ำถึงเรื่อง กรรม ว่า คนเราย่อมมีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป เมื่อยังมีชีวิตอยู่ กรรมนั้นจักเป็นทายาทให้เราได้รับผลกรรมนั้นต่อๆ ไป คือ หมายความว่ากรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เป็นไปต่างๆ นานา ให้เลว ให้ดี ให้ชั่ว ให้ประเสริฐ เมื่ออ่านไปถึงตอนนี้ ท่านก็บังเกิดความสลดสังเวชใจอย่างยิ่ง นึกว่าคนเราที่เกิดมา ถ้าไม่ประกอบคุณงามความดี ก็ไม่มีประโยชน์แก่ชีวิตของตน และไม่มีโอกาสที่จะไดรับความสุขต่อไปในชาติหน้าอีก ศรัทธาในพระศาสนาก็เพิ่มพูนขึ้น เมื่ออายุเพียง 20 ปีถึงกับสละเงินที่เก็บหอมรอมริบระหว่างทำงานอยู่กรมทางหลวงทั้งหมดเป็นเจ้าภาพสร้างมหากฐินคนเดียว สร้างพระประธาน สร้างส้วม ในวัดจนหมดเงิน
เมื่อท่านอาจารย์อายุ 21 ปีบริบูรณ์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกุฝ่ายมหานิกายที่ วัดเจริญจิต บ้านดคกกลาง ตำบลดงมะยาง อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี พระอุปัชฌายะชื่อ บุ พระกัมมวาจาจารย์ชื่อ พระมหาแจ้ง ได้ฉายาว่า จวน กลฺยาณธมฺโม ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมและสอบได้นักธรรมตรีในพรรษานั้น ระหว่างที่บวชเป็นพระบ้านอยู่นั้น ท่านปรารถนาจะออกธุดงค์เจริญรอยตามพระธุดงคกัมมัฏฐานที่เคยกราบคารวะเมื่อยังเด็ก จึงคิดจะญัตติเป็นธรรมยุตเพื่อออกธุดงค์เมื่อไปขอลาอุปัชฌาย์ท่านไม่ให้ญัตติ ให้สึกเสียก่อน ท่านจึงตัดสินใจลาสิกขาบทออกมาเป็นฆราวาสก่อนชั่วคราว
พรรษาที่ 1 พ.ศ. 2486 วัดบ้านพอก อำเภออำนาจเจริญ
หลังจากสึกมาเป็นฆราวาสแล้ว ท่านได้เดินทางไปแสวงหาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุตกัมมัฏฐาน ได้มาพบที่สำนักวัดป่าสำราญนิเวศน์ อำเภออำนาจเจริญ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุต เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี ท่านพระครูทัศนวิสุทธิ ( มหาดุสิต เทวิโร) เป็นพระอุปัชฌายะ ท่านพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺโต เป็นพระกัมมวาจารย์ อุปัชฌาย์ เพิ่งได้รับแต่งตั้งและมาบวชท่านเป็นองค์แรกจึงตั้งฉายาให้ท่านว่า กุลเชฏโฐ แปลว่า พี่ชายใหญ่ที่สุดของวงค์ตระกูลนี้ องค์ที่สองที่อุปัชฌาย์บวชต่อมา คือ ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร แห่งวัดป่าแก้ว บ้านชุมพล ซึ่งท่านอาจารย์จวนได้มานั่งหัตถบาสอยู่ด้วย
เมื่ออุปสมบทแล้วท่านได้รับคำสั่งจากท่านพระอาจารย์เกิ่ง ให้ท่องปาฏิโมกข์และเจ็ดตำนานให้ได้หมดภายในหนึ่งเดือน ท่านก็พยายามท่องจำทั้งกลางวันกลางคืน ระหว่างนั้นเป็นเวลาสงคราม น้ำมันขาดแคลน ท่านต้องอาศัยแสงไฟจากตะเกียงกระป๋องนม ซึ่งให้แสงสว่างริบหรี่มาก อย่างไรก็ดีท่านก็สามารถท่องได้ภายในเวลาตามที่อาจารย์ของท่านกำหนดไว้ จึงได้รับคำชมเชยจากอาจารย์เป็นอันมาก
ท่านได้เร่งทำความเพียรอย่างขะมักเขม้น เดินมาก นั่งมาก ฉันน้อย บางวันก็ไม่ฉันสลับกันไป ท่านพระอาจารย์เกิ่ง เห็นว่า ท่านรู้สึกจะซูบผอมลงไปมาก จึงตักเตือนให้ฉันอาหารเสียบ้าง เมื่อจะเริ่มเข้าพรรษา ปรากฏว่าที่ วัดป่าบ้านพอก หนองคอน ทั้ง อำเอเลิงนกทา ไม่มีพระสวดปาฏิโมกข์ได้พระอาจารย์บัง จึงได้ขอตัวท่านอาจารย์ไปอยู่ที่วุดในพรรษานั้นโยมมารดาได้มาบวชเป็นชีอยู่ด้วย ท่านได้อธิษฐานฉันเจไม่ฉันเนื้อสัตว์ อดอาหาร 4 วัน สลับกับอดนอน 4 คืนบ้างอดอาหาร 8 คืน สลับกับอดนอน 8 คืนบ้าง และได้ออกบิณฑบาตมาเลี้ยงโยมมารดาเพื่อสนองคุณ ในระหว่างพรรษาขณะนั่งฟังเทศน์ จิตของท่านสงบลงเกิดภาพนิมิตขึ้นในจิต ปรากกร่างของท่านเน่าเปื่อยเป็นอสุภะเห็นขาของตัวเองเน่าเปื่อย มีน้ำเหลืองไหล เหมือนมองดูด้วยตาเนื้อ ท่านอาจารย์จึงได้พิจารณาอสุภะต่อไปเป็นประจำ
ในพรรษานี้เกิดภาพนิมิตแปลกๆ ขณะกำลังทำความเพียรเสมอ วันหนึ่งก่อนจิตจะรวม ได้เกิดภาพนิมิตขึ้นว่า มีแม่ไก่ลายมาจิกกินอุจจาระอยู่ตรงหน้า ท่านจึงกำหนดจิตถามว่าจิกกินอะไร แม่ไก่ตอบว่าจิกกินอุจจาระ แล้วถามว่าแม่ไก่เป็นใคร ก็ตอบว่าเป็นเทวดา ท่านจึงกำหนดจิตถามต่อไปว่าเทวดาทำไมกินอุจจาระ แม่ไก่ตอบว่ามนุษย์เราทุกชาติทุกภาษาต้องกินอุจจาระกันทั้งนั้น ท่านจึงน้อมเอานิมิตนั้นมาพิจารณา ก็เห็นว่ามนุษย์เรานี้ก็ต้องกินขี้กันทั้งนั้น จึงทำให้เกิดความสลดสังเวชอย่างยิ่งในพรรษานั้น
อยู่มาวันหนึ่งหลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว ก่อนจะขึ้นไปบนกุฏิเพื่อเก็บเครื่องบริขาร ท่านมองขึ้นไปบนหน้าจั่วได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนุ่งห่มแต่งกายด้วยเสื้อผ้าลายๆ เหมือนแม่ไก่ที่เคยปรากฏในนิมิต ยืนถือตะกร้าหมากอยู่บนหน้าจั่ว มองดูเป็นหญิงที่มีรูปร่างสวยงามมาก ใจหนึ่งก็บอกว่าเป็นเทวดา ท่านก็ไม่สนใจเก็บเครื่องบริขารต่อไปเรื่อยๆ ครั้งที่สองหันไปมองก็ยังเห็นยืนอยู่ที่เก่า ท่านก็เก็บเครื่องบริขารของตนให้เรียบร้อย ครั้งที่สามมองดูใหม่รูปที่ปรากฏนั้นหายไปแล้ว ขณะนั้นจิตของท่านก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่ละหนอ…พวกที่ภาวนาแล้วเห็นภาพนิมิตต่างๆ มาปรากฏก็เข้าใจว่าตนได้ญาณ บรรลุมรรคผลทำให้เกิดหลงงมงาย ผลที่สุดก็เสื่อมไป ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากธรรมะ ออกพรรษาแล้ว โยมมารดาซึ่งบวชเป็นชีได้ลาสิกขาบทกลับไปอยู่บ้านกับลูกหลาน เสร็จกิจแล้วท่านปรารถนาจะออกเดินธุดงค์ จึงหาเพื่อนไปด้วยเป็นสามเณรองค์หนึ่ง ออกเดินจากวัด จากอำเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี จะเดินทางไปนมัสการพระธาตุพนม เดินทางผ่านหมู่บ้านต่างๆ ใช้เวลาเดินธุดงค์ถึง 7 วัน 7 คืน จึงถึงพระธาตุพนม หลังจากนมัสการพระธาตุพนมแล้วได้เดินทางต่อไปเมืองเว หรือเมืองเรณูนคร พักอยู่ประมาณ 2 เดือน จึงเดินทางกลับจังหวัดอุบลราชธานี
ขณะเดินทางกลับ ท่านกลับองค์เดียว เณรไม่ได้กลับด้วย ได้เดินจากเรณูนครผ่านพ้นดงมะอี่ เขตอำเภอเลิงนกทาระหว่างบ้านไร่กับบ้านหนองยางต่อกัน ก็ได้กลิ่นเหม็นกลางดง ท่านจึงได้เดินสำรวจดู ได้พบซากศพคนตายอยู่ข้างทาง ท่านมีความยินดีเป็นอันมาก เพราะคิดว่าควรจะเพ่งอสุภะให้ได้ ร่างนั้นเน่าเปื่อย ตับไต ไส้พุง มีหนอนชอนไชท่านยืนเพ่งแล้วน้อมเข้ามาดูตัวว่า อีกหน่อยตัวเราก็ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ต่อมาก็เกิดความคิดขึ้นว่า ควรจะเผาศพนี้เสียให้หายอุจาดตา จึงได้ไปหากิ่งไม้เล็กๆ มาเตรียมจะเผา แล้วท่านจึงเกิดคิดขึ้นมาได้ว่า ตัวท่านเป็นพระจะเผาศพนี้ได้อย่างไร เพราะดินและหญ้ายังสีเขียวสดและในศพก็ยังมีสัตว์มีชีวิตอยู่มากมาย ถ้าเผ้าก็จะต้องอาบัติปาจิตตี ทำบุญจะได้บาป คิดแล้วก็ตกลงไม่เผา
ท่านได้กลับมายืนพิจารณาศพโดยถือเป็นอสุภะต่อไปนับเวลาตั้งแต่เดินทางมาถึงเป็นเวลาเที่ยง จนกระทั่งเวลาบ่าย 3 โมงไม่มีความกลัวเลย และตั้งใจจะค้างคืนพิจารณาอสุภะนั้นอีกด้วย แต่ได้มีชาวบ้าน 2 คนเดินผ่านมา ท่านจึงได้สอบถามดูได้ความว่า เจ้านายใช้ให้ชายทั้ง 2 มาดูแลศพไว้เพราะเจ้าหน้าที่บ้านเมืองยังไม่ได้ชันสูตรศพ ท่านจึงขอค้างคืนเพื่อพิจารณาศพและขอชักบังสุกุลสิ่งของที่อยู่กับศพ ชายทั้งสองก็ไม่เห็นด้วย กลับนิมนต์ให้ท่านหลีกออกไป มิฉะนั้นอาจจะมีคนสงสัยว่าท่านฆ่าคนตาย เมื่อชาวบ้านยืนยันปฏิเสธเช่นนั้น ท่านจึงได้ออกเดินทางต่อไป ตกเย็นท่านได้เดินทางถึงบ้านโพนหนามแท่ง อำเภออำนาจเจริญ ได้หยุดพักปักกลดอาบน้ำชำระร่างกาย เวลาพลบค่ำไหว้พระสวดมนต์ พิจารณาซากอสุภะที่เห็นเมื่อกลางวันแล้วน้อมเข้ามาหาตัว ปรากฏว่าจิตใจสงบ สบายเยือกเย็นมีความสุขมาก นั่งภาวนาตั้งแต่ปฐมยามจนถึงตี 2 ต่อจากนั้นได้เกิดลงพายุฝนตกหนัก ท่านจึงลดมุ้งออกพับเก็บ พร้อมทั้งสังฆาฏิไว้ในบาตรปิดฝา และนั่งภาวนาต่อไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่า ฝนเย็น ลมเย็น จิตใจก็เย็นสบายดีฝนตกประมาร 1 ชั่วโมงก็หายไป
พรรษาที่ 2 พ.ศ. 2487 วัดทุ่ง บ้านชาติหนองอีนิน อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
ในพรรษาที่ 2 ท่านอาจารย์จำพรรษาอยู่ที่ วัด ทุ่ง บ้านชาติหนองอีนิน ซึ่งท่านพระอาจารย์เกิ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ท่านได้ทำความเพียรพอสมควรในพรรษานี้ได้มีเหตุการณ์แปลกเกิดขึ้นคือ มีหญิงคนหนึ่ง ซึ่งในสมัยที่ท่านยังทำราชการอยู่กรมทางหลวง ได้เคยเห็นหญิงคนนี้เดินทางไปมาระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับอำเภออำนาจเจริญอยู่บ่อย แต่ไม่ทราบว่าเป็นคนบ้านไหน เมื่อท่านมาจำพรรษาที่วัดนี้ได้เห็นหญิงผู้นี้อีก แต่ตอนนี้มีร่างกายทรุดโทรมผอมลงมาก ถือหม้อยามาอาศัยต้มยาและนอนที่ลานวัด ใต้ร่มไม้ฉำฉา อยู่มาไม่นานหญิงคนนี้ก็นอนตายใต้ร่มไม้นั่นเอง ตอนเช้าท่านมองเห็นศพก็จะเข้าไปพิจารณาอสุภะใกล้ๆ แต่ญาติโยมมาเล่าให้ท่านฟังว่าศพของหญิงนั้นมีหนอนมาเจาะไชเจาะกินทั่วทั้งตัวโดยเฉพาะที่ทวารเบา เป็นที่น่าสลดสังเวชมาก เพราะเป็นคนเจ้าชู้ เป็นโรคบุรุษ ประพฤติผิดมิจฉากาม เมื่อตายจึงถูกลงโทษทันตามีหนอนขึ้นชอนไชเต็มไปหมด เมื่อท่านได้ยินเช่นนี้ ท่านจึงเกิดความสลดสังเวช เบื่อหน่ายมากนับเป็นซากศพที่ 2 ที่ท่านเคยเห็น
พรรษาที่ 3 พ.ศ. 2488 วัดบ้านนาจิก ดอนเมย บ้านหนองปลิง ต.นาจิก
ท่านได้อยู่จำพรรษา ณ วัดป่าบ้านนาจิก ซึ่งเป็นสถานที่ท่านอาจารย์ได้เข้าไปปรับปรุงและสร้างเป็นวัดนับเป็นวัดแรกที่ท่านสร้างขึ้น ในพรรษนั้นได้อธิฐานทำความเพียรจะไม่นอนและฉันเจตลอดพรรษา การอธิฐานไม่นอนนี้นอกจากจะไม่ยอมให้หลังแตะพื้นแล้ว จิตต้องทำความรู้ตัวตลอดเวลา ไม่ให้ตกภวังค์แม้แต่ขณะจิตเดียว ไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถ เดิน ยืน หรือนั่ง ในระยะนั้นยังใช้คำบริกรรม พุทโธ เป็นพื้น มีการพิจารณาร่วมไปด้วย พอกลางพรรษาเกิดวิปริตทางธาตุ คือ มีน้ำมันสมองไหลออกทางจมูกเป็นน้ำเหลือง ท่านเจ้าอาวาสจึงขอร้องให้ท่านนอนพักเสียบ้าง และต่อมาถึงกับบังคับให้ท่านนอนพัก มิฉะนั้นต่อไปตาอาจจะบอดได้ ท่านอาจารย์จึงได้ยอมพักผ่อนหลับนอนบ้างเล็กน้อย แต่ยังทำความเพียรอยู่
ในระหว่างพรรษานี้ท่านได้เกิดปฏิพัทธ์รักใคร่หญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเคยเอาจังหันมาถวายบ่อยๆ แต่ยังทำความเพียรตลอดไม่หยุดหย่อนและไม่บอกให้ใครทราบ ต่อมาจึงคิดอุบายขึ้นมาได้ โดยตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าท่านยังมีบุญวาสนาอยู่ในพรหมจรรย์แล้ว ขอให้ได้นิมิตเห็น ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ ซึ่งท่านเคยได้ยินชื่อเสียงเกียรติคุณมานานแล้ว ขอให้ได้ไปกราบไว้ท่าน สนทนาได้ฟังธรรมจากท่าน แต่ถ้าไม่มีบุญวาสนาแล้วขออย่าได้บรรลุธรรม หรืออย่าได้พบเห็นพระอาจารย์มั่นเลย และให้เห็นนิมิตแต่สิ่งลามกน่ารังเกียจเถิด
หลังจากนั้น 3 วัน ท่านได้นิมิตว่า ได้เดินทางไปสู่สำนักท่านพระอาจารย์มั่น เห็นท่านกำลังกวาดลานวัดอยู่พอเห็นก็รู้ว่านี่คือท่านพระอาจารย์มั่น ท่านเหลือบมาเห็นเข้าก็ทักท่านอาจารย์จวนอย่างดีใจว่า อ้อ…ท่านจวนมาแล้ว ท่านจวนมาแล้ว มีความรู้สึกคล้ายกับพ่อเห็นลูก ลูกเห็นพ่อ พอท่านตรงเข้าไปจะกราบนมัสการ ท่านพระอาจารย์มั่นก็โก่งหลังบอกให้ท่านขึ้นขี่หลัง ท่านไม่ยอมเพราะกลังบาปท่านพระอาจารย์มั่นก็บังคับขู่เข็ญให้ท่านขึ้นขี่หลัง ท่านจึงจำเป็นต้องขึ้นหลังท่านพระอาจารย์มั่นเหมือนขี่ม้า แล้วท่านจึงพาเหาะขึ้นบนอากาศขนลิบเมฆ แล้วพามาลงที่กลางภูเขาลูกหนึ่งแล้วก็บอกว่า เอาล่ะ ลงนี่แหละ พอดีพอควรแล้ว เมื่อตื่นจากนิมิต ท่านมาพิจารณาดูก็เกิดปีติยินดีว่า คงจะมีวาสนาบารมีอยู่ในพรหมจรรย์ จึงเร่งทำความเพียรต่อไป หลังออกพรรษาได้ 5 วัน ท่านเจ้าคุณ อริยคุณธาร(มหาเส็ง ปุสโส) ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าคณะภาค มาตรวจงานคณะสงฆ์ทางภาคอีสาน ได้มาแวะเยี่ยมที่วัดป่าบ้านนาจิกนัยว่าท่านพระครูทัศนวิสุทธิ ( มหาดุสิต เทวิโร )
อุปัชฌาย์ของท่าน ได้ฝากท่านไว้กับท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร ขอให้ช่วยนำไปอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นด้วย ท่านอาจารย์จึงได้ติดตามท่านเจ้าคุณอริยคุณาธารไป เมื่อไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่นที่วัดป่าบ้านหนองผือ อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร ท่านก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง ที่เมื่อได้เห็นตัวจริงของท่านพระอาจารย์มั่น ปรากฏว่า ลักษณะรูปร่างกิริยาท่าทางต่างๆ มิได้แตกต่างจากที่เห็นในนิมิตเลยแม้แต่น้อย
พรรษาที่ 4 อยู่ด้วยท่านพระอาจารย์มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือ
ท่านอาจารย์จวนได้มีโอกาสศึกษาอบรมอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ตั้งแต่ออกพรรษาที่ 3 ได้เพียง 5 วัน และอยู่มาจนตลอดฤดูแล้ง และได้อธิษฐานพรรษาอยู่กับท่านจนตลอดพรรษาที่ 4 โอวาทของท่านจะแนะนำให้ประพฤติปฏิบัติทางพระวินัย ให้เคร่งครัด รวมทั้งการธุดงค์การภาวนาให้พิจารณากายเป็นส่วนมาก พิจารณากายส่วนใดส่วนหนึ่งให้ถูกกับจริตนิสัยของตนเอง ถ้าจิตไม่สงบมีความฟุ้งซ่าน ให้น้อมนึกเข้ามาด้วยความมีสติ นึกภาวนาแต่พุทโธเมื่อจิตสงบแล้วให้พักพุทโธไว้ให้อยู่ในความสงบแต่มีสติฝึกให้ชำนิชำนาญ แล้วให้นึกน้อมเข้ามาพิจารณากายของตนเองด้วยความมีสติ มิให้พลั้งเผลอ เมื่อจิตรวมก็ให้มีสติรู้ว่าจิตรวม อย่าบังคับให้จิตรวม ให้มีสติอยู่ว่าจิตรวม อย่าถอนจิตที่รวมอยู่ ให้จิตถอนออกเอง พอจิตถอน ให้น้อมเข้ามาพิจารณากายที่เคยพิจารณาอยู่ ให้มีสติตลอดเวลา ส่วนนิมิตที่เกิดขึ้นแสดงเป็นภาพภายนอก หรือนิมิตภายใน ก็ทำให้น้อมเข้ามาพิจารณาให้เห็นว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งใดมีเกิดก็ต้องมีดับ อย่าพลั้งเผลอลุ่มหลงไปตามนิมิตทีเกิดขึ้น แล้วน้อมเข้ามาพิจารณากายให้เห็นเป็นไตรลักษณ์คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนันตตา ว่ามิใช่ของตนให้พิจารณาอย่างมีสติ เมื่อพิจารณาพอสมควรแล้วก็ให้พักอย่างสงบ เมื่อสงบแล้วพอสมควรแล้วก็ให้พิจารณาต่อ ท่านเล่าให้ฟังว่าคำสอนของท่านพระอาจารย์มั่นจะเป็นไปในหักเช่นนี้เสมอ ท่านอาจารย์ได้เล่าถึงความน่าขายหน้าของตัวท่านเอาไว้ในเรื่องเกี่ยวกับท่านพระอาจารย์มั่นดังนี้ เวลานั้นท่านยังเป็นผู้น้อยไปอยู่วัดป่าหนองผือใหม่ๆ ใจก็อดคิดตามประสาปุถุชนไม่ได้ว่า เขาเล่าลือกันว่าท่านพระอาจารย์ใหญ่เป็นพระอรหันต์ เราก็ไม่ทราบว่าจริงไม่หรือถ้าเป็นอรหันต์จริง คืนนี้ก็ให้มีปาฏิหาริย์ให้เห็นปรากฏด้วย
ในคืนวันนั้นเอง พอท่านภาวนาก็ปรากฏนิมิตเห็นท่านพระอาจารย์มั่นเดินจงกรมอยู่บนอากาศ และแสดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา และเวลานอนหลับก็ยังฝันเห็นท่านเดินอยู่บนอากาศเช่นเดียวกัน ท่านจึงยกมือไหว้ และว่าเชื่อแล้ว อย่างไรก็ดี หลังจากวันนั้น ท่านก็เกิดคิดขึ้นมาอีกว่า เอ…เขาว่าท่านอาจารย์ใหญ่รู้วาระจิตของลูกศิษย์ทุกคนจริงไหมหนอ… ? เราน่าจะทดลองดู ถ้าท่านอาจารย์ใหญ่รู้วาระจิตของเรา ขอให้ท่านอาจารย์มาหาเราที่กุฏิคืนวันนี้เถอะ พอท่านคิดได้ประเดี๋ยวเดียว ก็ได้ยินเสียงไม้เท้าเคาะใกล้เข้ามา และกระแทกเปรี้ยงเข้าที่ฝากุฏิของท่าน พร้อมกับเสียงของท่านพระอาจารย์มั่นเอ็ดลั่นว่า ท่านจวน…ทำไมจึงไปคิดอย่างนั้น นั่นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ รำคาญเรานี่ ท่านเล่าว่าคืนนั้น แม้จะตัวสั่น กลัวแสนกลัว แต่ต่อมาก็ยังดื้อไม่หาย คืนหลังเกิดความคิดขึ้นอีก ถ้าท่านอาจารย์ใหญ่ เป็นผู้รู้วาระจิตของเรา เราบิณฑบาตได้อาหารมา ขอให้ท่านรอเราทุกวันๆ ขออย่าเพิ่งฉันจนกว่าจะหย่อนบาตรท่านก่อน
เป็นธรรมดาที่พระทั้งหลาย พอบิณฑบาตได้ ก็จะเลือกสรรอาหารอย่างเลิศอย่างดีที่สุดที่บิณฑบาตได้มาสำหรับไปใส่บาตรพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เคารพ วันนั้นท่านอาจารย์จวนก็พยายามประวิงเวลา กว่าจะนำอาหารไปใส่บาตรท่าน ก็ออกจะล่าช้ากว่าเคย จนกระทั่งหมู่เพื่อนใส่บาตรกันหมดแล้วจึงค่อยๆ ไปใส่บาตรต่อภายหลัง ท่านพระอาจารย์มั่นก็มักจะมีเหตุช้าไปด้วย จนท่านอาจารย์จวนหย่อนบาตรแล้ว ท่านจึงเริ่มฉัน เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน ท่านอาจารย์จวนเล่าว่า ท่านยิ่งได้ใจ มักอ้อยอิ่งอยู่ทุกวัน จนเช้าวันหนึ่งท่านพระอาจารย์มั่นคงเหลืออดเหลือทนเต็มที จึงออกปาก ท่านจวน อย่าทำอย่างนั้น ผมรำคาญให้ผมรอทุกวันๆ ทีนี้ผมไม่รออีกแล้วนะ
คืนหนึ่งขณะที่ท่านอาจารย์จวนตั้งใจภาวนาทำความเพียรอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ปฐมยาม อธิษฐานนั่งในกลดตั้งจาวนาไม่นอนตลอดคืน พอจิตค่อยสงบลง ก็เกิดนิมิตผุดขึ้นมา ปททฺทา ปททฺโท ท่านได้กำหนดจิตแปลอยู่ 3 ครั้งจึงแปลได้ความว่า อย่าท้อถอยไปในทางอื่น แล้วปรากฏว่ากายของท่านไหวไปเลย จากนั้นจิตก็รวมลงสู่ภวังค์ คือจิตเดิมทีเดียว ขณะนั้นยังไม่รู้ว่าจิตสู่ภวังค์และจิตเดิมเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าจิตขณะรวมนั้น จิตใสบริสุทธิ์หมดจด หาที่เปรียบได้ยาก แสนที่จะสบายมากที่สุด เป็นจิตปราศจากอารมณ์ใดๆ จิตรวมอยู่อย่างนั้นตลอดคืนจนรุ่งเช้าจิตจึงถอนออก และได้รับเบิกบานทั้งกายและใจ มีความปีติเหมือนลอยอยู่ในอากาศ กายและใจเบาที่สุด
วันต่อมาขณะที่พระเณรได้ไปฟังเทศน์ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น เมื่อมีโอกาสท่านอาจารย์จวนจึงได้กราบเรียน เล่าเรื่องที่เป็นมาให้ท่านฟัง ท่านพระอาจารย์มั่นได้พิจารณาดูจิตของท่านว่าเป็นจริงหรือไม่ แล้วจึงบอกว่า อ้อ…จิตท่านจวนนี่รวมทีเดียวถึงฐีติจิต คือจิตเดิมเลยทีเดียว ท่านพระอาจารย์มั่นชมเชยว่าดีนักจะได้กำลังใหญ่ แต่ถ้าสติอ่อนกำลังก็จะไม่มี ท่านจึงกราบเรียนถามต่อว่าก่อนรวมได้เกิดนิมิตว่า ปททฺทา ปททฺโท ขอกราบเรียนให้ท่านอาจารย์มั่นแปลให้ฟัง ซึ่งท่านตอบว่าแปลให้กันไม่ได้หรอก สมบัติใครสมบัติมัน คนอื่นแปลให้ไม่ได้ต้องแปลเอาเอง นับว่าท่านอาจารย์มั่นได้ใช้อุบายฉลาดหลักแหลมมากนัก ต้องการให้ศิษย์ฝึกหัดใช้สติปัญญาแปลให้ได้เอง ต่อไปจะได้เป็นสันทิฏฐิโก คือเป็นผู้รู้เอง เห็นเอง เมื่อท่านได้รับโอวาทจากท่านพระอาจารย์มั่นเช่นนั้นก็ได้เร่งทำความเพียรตามสติปัญญาเข้าใจท่านพระอาจารย์มั่นคงเฝ้าดูการปฏิบัติและจิตของท่านอาจารย์จวนอยู่ตลอดอยู่มาวันหนึ่งท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ได้กำหนดจิตดูท่านจวนแล้วได้ความเป็นธรรมว่า กาเยนะ วาจายะ วะเจตะ วิสุทธิยา ซึ่งแปลความว่า ท่านจวนเป็นผู้มีกายและจิตสมควรแก่ข้อปฏิบัติธรรม
เมื่อออกพรรษาเสร็จกิจทุกอย่างก็ทราบลาท่านพระอาจารย์มั่นออกวิเวกธุดงค์ ท่านพระอาจารย์มั่นแนะนำให้ท่านไปอยู่ถ้ำยางบ้านลาดกระเชอ จังหวัดสกลนคร บ้านลาดกระเชอเป็นหมู่บ้านชาวป่าชาวเขา ตัวถ้ำยางซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านราว 2 กิโลเมตร ท่านได้ทำความเพียรอยู่ที่นี้ 7 วัน 7 คืน ไม่ได้หลับนอนเลย จิตรวมโดยง่ายเกิดภาพนิมิตต่างๆทั้งนิมิตภายในและนิมิตภายนอกเกิดขึ้นเสมอ พิจารณาดูก็รู้ว่านิมิตนี้เกิดขึ้นจากจิตที่สอดส่ายไป ผู้ไม่มีสติก็จะทำให้ลุ่มหลงไปตามภาพนิมิต สำคัญผิดว่าตัวเองได้ญาณเกิดทิฏฐิมานะว่าได้หูทิพย์ ตาทิพย์ ซึ่งอาจทำให้ธรรมะแตกได้ ต่อจากนั้นท่านได้ออกเดินธุดงค์ไปแถวภูพาน จังหวัดสกลนคร ได้พบ ท่านพระอาจารย์ มหาทองสุข สุจิตโต เจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาสสมัยนั้น ได้ชวนกันไปฟังเทศน์ ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ ซึ่งกำลังอยู่ที่บ้านห้วยหีบ เมื่อได้ฟังเทศน์ท่านอาจารย์กงมาแล้ว ท่านได้แยกทางกับท่านมหาทองสุขเดินทางผ่านภูพานไปจังหวัดอุบลราชธานีต่อมาท่านตั้งใจจะเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ โดยขึ้นรถไฟที่สถานีอำเภอวารินชำราบ มาต่อรถที่บ้านภาชี ไปถึงจังหวัดเชียงใหม่
พรรษาที่ 5-6 พ.ศ. 2490-2491 วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่
ท่านมาถึงเชียงใหม่ ได้เข้าพักที่วัดเจดีย์หลวง ซึ่งเป็นวัดที่ท่านพระอาจารย์มั่นเคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ พักผ่อนวิเวกที่วัดนี้ประมาณ 3 เดือน คืนหนึ่งขณะนั่งภาวนาในโบสถ์มีนิมิตเกิดขึ้นว่ามีพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งได้มาให้โอวาทตักเตือนว่า ท่านจวน ถ้าท่านจะเป็นผู้ใหญ่เขานั้น ท่านอย่าวางแผ่นดิน เพราะความประพฤติของท่านยังไม่สม่ำเสมอ ท่านได้มาพิจารณาดูแผ่นดินแปลว่าให้มีความหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน เมื่อถูกกระทบกระเทือนจากอารมณ์ก็อย่าวอกแวก ตั้งใจให้เป็นสมาธิ ไม่หวั่นไหวฟุ้งซ่าน ท่านจึงได้เขียนจดหมายกราบเรียนถามท่านพระอาจารย์มั่นว่า กราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง เกล้ากระผมได้นั่งภาวนาแล้วเกิดนิมิต ปรากฏมีพระเถระผู้ใหญ่มาตักเตือนว่า-ท่านจวน ถ้าท่านจะเป็นผู้ใหญ่เขานั้น ท่านอย่างวางแผ่นดินเพราะความประพฤติของท่านยังไม่สม่ำเสมอ… ดังนี้เกล้ากระผมเป็นผู้มีสติปัญญาน้อย ไม่สามารถจะรู้ว่าอะไรเป็นแผ่นดิน ขอนิมนต์พ่อแม่ครูอาจารย์โปรดประทานให้โอวาทตักเตือนด้วย
หลังจากนั้นท่านได้ออกวิเวกนอกเมืองเชียงใหม่ ท่านได้ธุดงค์ไปอยู่ที่วัดอุโมงค์ใกล้สนามบินเชียงใหม่ ท่านและคณะหมู่พวกพากันไปพักวิเวกที่นั้น ตกกลางคืนได้นิมิตว่าท่านและท่านพระอาจารย์มั่นได้กำลังทำหีบศพอยู่บนเจดีย์ขณะนั้นท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท ) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสได้เหาะลอยมาในอากาศ แล้วมาหยุดที่ข้างหน้าท่าน และได้ให้โอวาทว่า ท่านจวน อุเปกฺขินฺทริยํ ท่านจึงกำหนดจิตแปลดูได้ความว่า ให้วางตัวเป็นอุเบกขาต่ออินทรีย์ทั้ง 6 คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ อย่าเอาใจใส่ ลุ่มหลงในอารมณ์ที่มากระทบ ท่านกำหนดจิตคิดตามนิมิตก็รู้ว่าพรุ่งนี้อาจมีอันตรายหรือเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแน่
พอรุ่งขึ้นหลังจากฉันเสร็จแล้ว หมู่พวกได้ออกไปชมสถานที่ต่างๆ กันหมดเหลือท่านอาจารย์อยู่ในถ้ำองค์เดียวขณะนั้นมีสีกาสาวๆ มาเที่ยวเล่นค้นหาพระบริเวณนั้น เพื่อหลบพวกหญิงนั้น ท่านก็ปลดมุ้งลงเสีย แต่ก็ยังมีหญิงใจกล้าคนหนึ่งมาเปิดมุ้งกลดออก ยิ้มให้ท่าน แล้วก็ยังร้องเรียกเพื่อน ตุ๊เจ้าอยู่นี่…ตุ๊เจ้าอยู่นี่ แล้วเข้ามายืนเพ่งดูท่าน ท่านจึงเห็นว่าหญิงผู้นี้นุ่งผ้านุ่งบางๆ เป็นซิ่น สเกิร์ต เห็นหน้าอกของเขาเต็มอก เกิดความรู้สึกวูบขึ้น ท่านจึงคิดถึงโอวาทของท่านเจ้าคุณอุบาลี อุเปกฺขินฺทริยํ พิจารณาอุบายนี้ จิตก็คลายความกำหนัดลง วันต่อๆ มาภายหลังได้มีพวกหญิงสาวมารวบกวนท่านมาก ท่านเห็นว่าไม่สงบ จึงหนีออกจากที่นั้นไป
ท่านอาจารย์ได้อยู่จำพรรษาที่จังหวัดเชียงใหม่ 2 พรรษา โดยวิเวกอยู่ตามดอย ป่า เขาที่สงัดห่างจากหมู่ชุมชนโดยตลอด ออกพรรษาแล้วได้ธุดงค์ไปจังหวัดเชียงรายตั้งใจจะไปถึงเชียงตุง ได้เดินทางออกทางอำเภอแม่สายเดินด้วยเท้า 7 วัน 7 คืน จึงถึงเชียงตุง ทางเดินธุดงค์เป็นทางเดินไปตามยอดดอยล้วนๆ มีเณรและโยมคนหนึ่งเดินทางไปด้วย ได้พักวิเวกบนดอยแห่งหนึ่งเรียกว่า ดอยแตง ซึ่งสงบสงัดดีมาก ท่านพักที่ดอยแตงนี้ 3 เดือน จึงธุดงค์ต่อไประหว่างธุดงค์อยู่ในจังหวัดภาคเหนือและเชียงตุงนี้ ท่านมักจะประสบภัยร้ายจากมาตุคามเสมอ แต่ท่านก็ได้ใช้ขันติและอุบายหลบหลีกมาได้ทุกระยะจึงสามารถครองเพศพรหมจรรย์ได้ตลอดมา ขณะที่อยู่เชียงตุงนั้น ท่านตั้งใจจะธุดงค์ไปให้ถึงอินเดียระหว่างเตรียมตัวเดินทางท่านได้อธิษฐานจิตดู ถ้าสมควรจะได้ไปอินเดีย ขอให้ได้นิมิตที่ดี ถ้าไม่ควรไป ขอให้ได้นิมิตร้าย
อยู่ต่อมาท่านจึงได้นิมิตว่า ปรากฏเห็นพระพุทธเจ้า พระอานนท์ พระมหากัสสปะ และช้าง เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จนำหน้า มีพระอานนท์เสด็จตามห่างประมาณ 10 เมตร องค์สุดท้ายคือพระมหากัสสปะ ตามหลังมาเป็นช้างตัวใหญ่ช้างนั้นพอเดินมาถึงท่านอาจารย์ ก็วิ่งตรงเข้ามาจะทำร้าย ท่านได้วิ่งหนีขึ้นต้นโพธิ์ ช้างจึงทำอะไรไม่ได้ เมื่อช้างไปแล้วท่านจึงลงมาจากต้นโพธิ์ ที่ใต้ต้นโพธิ์มีอาสนะพร้อมทั้งหมอนและหนังสือวางอยู่ ท่านจึงลงมานั่งที่อาสนะและอ่านหนังสือ เมื่อออกจากนิมิต ท่านจึงมาพิจารณาเห็นว่า แม้แต่ตอนต้นที่เห็นพระพุทธเจ้าจะเป็นมงคล แต่ตอนกลางนั้นแสดงถึงอุปสรรคจึงไม่ควรไปอินเดีย จึงตัดสินใจเดินทางกลับจากเชียงตุงนั่งรถไฟกลับจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อกลับมาถึงได้ไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่นที่วัดบ้านหนองผือ จังหวัดสกลนคร ท่านพระอาจารย์มั่นได้ถามว่า การภาวนาเป็นอย่างไรบ้าง ท่านอาจารย์ได้กราบเรียนท่านว่า ไม่ดีเหมือนอยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านพระอาจารย์มั่นจึงบอกว่า ต่อไปให้ภาวนาอยู่ทางภาคอีสานนี่แหละอย่าไปที่อื่นอีกเลย
พรรษาที่ 7 พ.ศ. 2492 วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว สงเคราะห์โยมมารดา
เมื่อกลับมาอุบลราชธานีแล้ว ได้ไปรับมารดามาบวชเป็นชีที่วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว ท่านพระอาจารย์มั่นได้จัดให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่บ้านเดิมเพื่อสงเคราะห์โยมมารดาและท่านยังได้สั่งกำชับว่า เมื่อออกพรรษาแล้ว ให้รีบกลับมาหาผมนะ เดี๋ยวจะไม่ทันผม เพราะท่านพระอาจารย์มั่นกำหนดอายุของท่านไว้ 80 ปีเท่านั้น และปีนั้นท่านพระอาจารย์มั่นมีอายุได้ 80 ปีพอดี
ในระหว่างพรรษานั้นโยมน้าซึ่งเป็นน้องสาวโยมมารดาพวกญาติและลูกหลานได้ยกขบวนกันไปนิมนต์ขอให้ท่านลาสิขาบท เพราะเกิดความสงสารเห็นท่านลำบากต้องอยู่ในป่าดงทุกข์ยาก ไม่มีเงินทองใช้สอย ไม่มีลูกมีเมีย ท่านจึงขอความเห็นญาติและลูกหลานที่มาว่า ผู้ใดที่มานี้ ฝ่ายไหนอยากให้สึก ฝ่ายไหนอยากให้อยู่ ปรากฏว่าฝ่ายอยากให้สึกมีมากกว่า ท่านจึงว่า เมื่อครั้งบวชท่านหาเครื่องบวชมาเอง ถ้าอยากให้สึกต้องหาเครื่องสึกมาให้พร้อมดังนี้
- เครื่องแต่งตัวครบชุด …เขาก็ว่าได้
- การซักรีดเสื้อผ้า …เขาก็ว่าได้
- รถจักรยานยนต์ 1 คัน …เขาก็ว่าได้
- รถยนต์ฟอร์ด 1 คัน ราคา 60,000 – 100,000 บาท… เขาก็ชักพูดไม่ออก
- เมื่อสึกแล้วต้องมีลูกเมีย …น้าคนหนึ่งรับยกลูกสาวให้
- ให้ปลูกบ้านเป็นปราสาทลอยอยู่ในอากาศอยากไปไหนก็ลอยไปได้ ….เขาก็ตอบว่าไม่ได้หรอก
- หายาป้องกันการเจ็บ แก่และตาย ให้ร่างกายเป็นหนุ่มอยู่เสมอ …เขาก็ตอบว่าไม่ได้
เมื่อหาเครื่องสึกไม่ได้ครบ เนื่องจากท่านไม่เต็มใจสึกจึงแกล้งแต่งกองสึกให้พิสดาร ทำให้การนิมนต์ลาสิขาบทเป็นอันยุติลงโดยปริยาย เพราะไม่มีใครสามารถหาเครื่องสึกอย่างที่ท่านกำหนดได้ หลังจากออกพรรษาแล้วนึกถึงคำที่ท่านพระอาจารย์มั่นได้เคยกำชับเตือนท่านให้รีบกลับไปหาเดี๋ยวจะไม่ทัน ท่านจึงได้รีบเดินทางเพื่อมานมัสการท่านพระอาจารย์มั่น พอมาถึงบ้านดงมะอี่มีญาติมาส่งข่าวว่าโยมมารดาและพี่ชายเจ็บหนักจึงต้องเดินทางกลับ อยู่พยาบาลได้ 1 เดือนพี่ชายได้ถึงแก่กรรม ต่อมาโยมมารดาก็ได้เสียชีวิตลงอีกในเวลาใกล้เคียงกัน ท่านจึงต้องอยู่จัดการฌาปนกิจท่านทั้งสองให้เสร็จสิ้นก่อน
สำหรับประวัติโยมมารดาของท่านนี้ ท่านเล่าว่าเดิมเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาไม่ได้รับการศึกษาไม่ได้เข้าโรงเรียนและเป็นคนถือผีไท้ผีฟ้า ตั้งศาลบูชาไว้ในบ้าน ต่อมาท่านตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กนักเรียน ได้หาอุบายให้มารดาเลิกนับถือผี โดยทำลายศาลบูชาผีในบ้านเสีย และไม่ยอมให้ตั้งศาลในบ้านอีก และท่านได้หาอุบายนำหนังสือ หลานสอนปู ซึ่งสอนให้คนเลิกถือผีเข้าวัดทำบุญรู้จักบาปบุญคุณโทษมาอ่านให้มารดาฟัง ท่านอาจารย์ในสมัยยังเป็นเด็กชายได้แกล้งอ่านให้ฟังทุกๆวัน มารดาจะไม่ฟังก็แกล้งอ่านเรื่อยไป จนกระทั่งมารดาเกิดความเลื่อมใสเลิกนับถือผีกลับเข้าวัดฟังเทศน์ถือศีล
เมื่อครั้งโยมมารดาบวชเป็นชีแล้ว ท่านได้อยู่สงเคราะห์อบรมสั่งสอนโยมมารดาตามแนวคำสอนของท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งโยมมารดาก็ได้ตั้งอกตั้งใจนำไปปฏิบัติภาวนา จนกระทั่งสามารถพิจารณากายจนเห็นชัดว่ามันเน่าเปื่อยผุพังลงไป จนในที่สุดโยมมารดาก็อุทานว่า คุณลูก โยมรู้แล้วรู้จักทางแล้ว คุณลูกจะไปไหนก็ไปเถอะ อย่าเป็นห่วงโยมเลย…มันบ่มีผู้ตายหรอก จิตมันก็ตายไม่เป็นหรอก มันละใสบริสุทธิ์ มีแต่ผู้รู้ ไม่มีผู้ตาย ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรานะ เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ นะคุณลูก หลังจากโยมมารดาเจ็บหนัก และท่านได้กลับมาพยาบาลแล้วไม่นาน โยมมารดาได้สิ้นลมด้วยอากาอันสงบที่สุด โดยสามารถบอกกำหนดวันและเวลาที่จะสิ้นลมได้ล่วงหน้าอย่างถูกต้อง
ในภายหลังเมื่อมีโอกาสจำพรรษากับหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้กราบเรียนเรื่องการภาวนาของโยมมารดาถวายให้หลวงปู่ฟัง หลวงปู่ได้พิจารณาอยู่ 3 วัน แล้วได้เล่าให้ท่านฟังว่าโยมมารดาของท่านไปอยู่สูงแล้ว ไปถึงสุทธาวาส พรหมโลกได้สำเร็จอนาคามี เมื่อเสร็จงานฌาปนกิจศพโยมมารดาและพี่ชายแล้วท่านได้รีบเดินทางไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น แต่ไม่ทันเห็นใจ เพราะได้มรณภาพเสียก่อนแล้ว ได้แต่ไปช่วยงานฌาปนกิจศพของท่านพระอาจารย์มั่นอยู่เป็นเวลาเดือนเศษ หลังเสร็จงานศพท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว ท่านได้ปรึกษากับท่านพระอาจารย์วัน อุตฺตโม (ท่านเจ้าคุณอุดทสังวรวิสุทธิเถระ-ในภายหลัง) แห่งวัดถ้ำอภัยดำรงธรรมปรึกษากันว่าจะไปเที่ยวภาคใต้ที่ภูเก็ตด้วยกัน เพราะขณะนั้นท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี หรือพระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ แห่งวัดหินหมากเป้งในภายหลัง จะไปประกาศศาสนาที่นั่น ปรากฏว่า หลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้ำ กลองเพล ซึ่งไม่เคยได้พบกับท่านมาก่อน ได้เรียกท่านไปพบและสนทนาไต่ถามว่า เสร็จงานศพแล้วจะไปไหน ท่านได้กราบเรียนว่าจะไปภาคใต้กับท่านอาจารย์วัน เพื่อติดตามท่านพระอาจารย์เทสก์ไป หลวงปู่ขาวจึงว่าอย่าไปเลย ให้ไปอยู่กับท่านที่ถ้ำเป็ด ท่านอาจารย์ยืนกรานว่าจะไปปักษ์ใต้กับท่านอาจารย์วัน ผลที่สุดหลวงปุขาวจึงเล่าให้ฟังว่าท่านพระอาจารย์มั่นได้ฝากฝังท่านไว้กับหลวงปูขาว ให้ช่วยดูแลรักษาท่านจวนด้วย เมื่อได้ฟังเช่นนั้นท่านจึงได้รับคำด้วยความเคารพ และได้ติดตามไปอยู่กับหลวงปู่ขาวที่ถ้ำเป็ด อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร
พรรษาที่ 8 พ.ศ. 2493 จำพรรษาที่ถ้ำพวง อ.ส่องดาว จ.สกลนคร
พอถึงเวลาเข้าพรรษา หลวงปู่ขาวได้ให้ท่านอาจารย์ไปอยู่ที่ถ้ำพวง ซึ่งปัจจุบันคือวัดถ้ำอภัยดำรงธรรมตอนบน ส่วนหลวงปู่ขาวจำพรรษาอยู่ที่เชิงเขา บริเวณที่เรียกว่า หวานสะนอย ใกล้กับภูเหล็กปัจจุบัน ท่านอาจารย์อยู่บนถ้ำพวงแต่เพียงลำพังองค์เดียว ตั้งแต่เดือนอ้าย ถึงเดือน 7 ตอนเช้าไปบิณฑบาตที่บ้านหนองบัวห่างจากถ้ำ 130 เส้น บางวันก็ฉันอาหารที่ตีนเขาแล้วถึงขึ้นไปถ้ำพวง
ที่ถ้ำพวงนี้ท่านพระอาจารย์มั่นเคยเล่าให้สานุศิษย์ฟังว่าเป็นถ้ำที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เคยมีพระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อ พระนรสิงห์ มานิพพานที่นี่ ใครเข้ามาใกล้บริเวณที่นี่ต้องถอดรองเท้า และแต่ก่อนมีช่องลึกลงไปใต้เขา ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ได้ไปวิเวกและไปพบว่าข้างล่างนั้นเป็นถ้ำพญานาคอาศัยอยู่ ท่านจึงเอาก้อนหินมาปิดทางช่องนั้นไว้ ขณะนี้เรียบไปหมด ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ขณะอยู่ที่ถ้ำพวงนี้ จิตสงบ เวลาภาวนาจิตก็รวมดี บางทีจิตรวมถึงคืนละ 3 ครั้งก็มี การภาวนาที่ถ้ำพวงนี้มีปรากฏการณ์แปลกคือ ทุกวันเวลาบ่ายสามโมงท่านอาจารย์ออกเดินจงกรม จะมีกระต่ายน้อยตัวหนึ่งมานั่งนิ่งหลับตาอยู่ทางจงกรม กระต่ายน้อยนี้จะนั่งเช่นนี้ทุกวัน น่ารักมาก ทำกิริยาเหมือนมานั่งภาวนาไปด้วย พอท่านเลิกเดินจงกรมเข้าไปนั่งพักอยู่ในร้านยกแคร่กระต่ายน้อยก็จะเข้าไปนั่งพักอยู่ใต้ร้านแคร่นี้ด้วย แต่พอได้ยินเสียงคนเดินมาก็จะวิ่งหนีเข้าไปในป่าทันที
ต่อมามีญาติโยมของสามเณรที่มาอยู่กับท่านได้ขึ้นมาส่งอาหารถวายพระทุกวัน ญาติคนหนึ่งเป็นหญิงสาวนอกจากส่งอาหารได้ส่งสายตาให้ท่านด้วยทุกวัน เวลาภาวนาจิตของท่านก็มาสงบเห็นแต่ภาพสายตาหวาของหญิงสาวพอดีมีโยมผู้ชายขึ้นมาคุยว่ามีช้างถูกฆ่าตายอยู่ข้างบนนี้ กำลังเผาศพช้าง ท่านจึงขอเอากระดูกช้างมาท่อนหนึ่ง ร้อยเชือกแขวนคอไว้ตลอดเวลาทั้งเวลาเดินจงกรม นั่งภาวนาเพราะเกิดอุบายว่า ถ้าควายตัวไหนมันดื้อด้าน ไม่เชื่อฟังเจ้าของเขาก็จะแขวนไม้ไว้ทรมานมัน บางทีท่านก็บ้วนน้ำหมาก ไปถูกกระดูกช้างนั้นเป็นสีแดงเหมือนสีเดือด ใครเห็นเข้า ก็คิดว่าท่านคงสติวิปลาสไปแล้ว แต่หลวงปู่ขาวทราบเรื่องก็ข้นว่าคงไม่ใช่คนบ้าหรือวิปริตหรอก ท่านจวนคงมีเหตุจำเป็นจึงต้องใช้อุบายนี้ ให้คอยดูกันไปก่อน ต่อมาเมื่อท่านจิตสงบเป็นปกติดีไม่มีความรู้สึกในสีกาคนนั้นอีกแล้ว ท่านจึงได้เอากระดูกช้างออก ต่อมาเมื่อได้ไปกราบนมัสการท่านหลวงปู่ขาว หลวงปู่จึงถามว่าทำไมจึงเอากระดูกช้างไปแขวนคอ ท่าจึงเล่าเรื่องราวถวายหลวงปู่ชมเชยมากว่าอุบายดีนัก
ขณะจำพรรษาที่ถ้ำพวงนี้ ได้เกิดนิมิตว่าท่านได้นั่งภาวนาในกุฏิเล็กๆ หลังหนึ่ง และกำลังนั่งเพ่งพิจารณากระดูกอยู่มีเด็กคนหนึ่งถือดาบวิ่งเข้ามาจะแทงทำร้ายท่านอาจารย์ แต่ไม่สามารถทำร้ายท่านได้ เด็กนั้นจึงไปบอกพี่ชายให้เข้ามาทำลายท่านแทน พี่ชายได้เข้ามาจะฆ่าท่านให้ตายท่านอาจารย์จึงถามว่าท่านมีความผิดอะไรจึงจะมาฆ่าให้ตายเขาก็ไม่ตอบตรงเข้ามาดึงผมท่าน (ในนิมิตอยู่ในเพศฆราวาส) เอาดาบมาเถือดคอหมายจะฟันให้ตาย แต่ทำอย่างไรๆ ก็ฟันไม่เข้า ไม่มีแผลแม้แต่น้อย ท่านจึงบอกว่าท่านไม่มีความผิดฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย ท่านยึดถือพระรัตนตรัย ฆ่าไม่ตาย เขาจึงวางดาบลง แล้วประกาศว่า ต่อไปนี้ขอเป็นเพื่อนเป็นมิตรกันจะไม่อิจฉาพยาบาทกันเลย ต่อมาไม่นาน เช้าวันหนึ่งท่านออกไปบิณฑบาต มีสุนัขตัวหนึ่งอยู่หน้าถ้ำพวง ได้เข้ามากัดท่านแต่ไม่เข้า อีก 3 วันต่อมา ชาวบ้านได้มาบอกว่า สุนัขตัวที่กัดท่านครูบาจวนนั้นตายเสียแล้ว
หลังจากออกพรรษาแล้ว ได้กราบลาหลวงปู่ขาวออกวิเวกไปยังสถานที่ต่างๆ โดยท่านและหมู่พวกอีก 2 องค์ เดินทางจากอำเภอสว่างแดนดิน ไปอำเภอหนองบัว อำเภอผือ อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย แล้วย้อนมาพักวิเวกอยู่กับท่าน พระอาจารย์หล้า ซึ่งอยู่วิเวกองค์เดียวบนหลังภูพานหลายปีมาแล้วโดยอาศัยชาวป่าชาวไร่ 2-3 ครอบครัว ท่านพระอาจารย์หล้าเล่าประวัติของท่านให้ท่านอาจารย์จวนฟังว่า ท่านเกิดที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว มีครอบครัวต่อมาบุตรภรรยาของท่านเสียชีวิต จึงข้ามมาบวชธรรมยุตในประเทศไทย ได้ติดตามไปอุปัฏฐากท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล อย่างใกล้ชิดถึง 9 พรรษา จนท่านพระอาจารย์เสาร์มรณภาพ ขณะท่านพระอาจารย์เสาร์ยังมีชีวิตอยู่ได้ให้โอวาทท่านพระอาจารย์หล้าว่านิสัยของท่านสมควรอยู่องค์เดียวไมควรอยู่ปะปนกับหมู่นะ ต่อไปให้ไปหาวิเวกภาวนาอยู่องค์เดียว ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านพระอาจารย์หล้าเล่าว่าตัวท่านไม่เคยเรียนหนังสือไทยเพราะอยู่ประเทศลาว ที่อ่านภาษาไทยได้เพราะนั่งภาวนาจิตสงบ จะเห็นหนังสือไทยอยู่บนกระดานทุกวัน จึงได้เรียนภาษาไทยจากการภาวนา จนสามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้คล่องไม่ติดขัด
ท่านอาจารย์จวนได้อยู่ศึกษาธรรมะและฟังเทศน์ของท่านพระอาจารย์หล้าเป็นเวลา 1 เดือน ก็กราบลาท่านพระอาจารย์หล้าออกธุดงค์ต่อไป โดยเดินทางผ่านอำเภอท่าบ่อจังหวัดหนองคาย ลงเรือล่องแม่น้ำโขงที่อำเภอโพนพิสัยมาขึ้นที่อำเภอบึงกาฬ มากับหมู่พระอีก 3 องค์ มุ่งหน้าเดินทางมาภูสิงห์ภูวัว เดินทางผ่านไปทางอำเภอเซกา อำเภอบ้านแพง อำเภอท่าบ่อ ศรีสงคราม ขึ้นรถผ่านนครพนมไปหยุดพักที่อุบลราชธานี แล้วเดินทางต่อไปที่บ้านนาผือ อำเภออำนาจเจริญ เดินทางผ่านภูเขาไปพักวิเวกที่ถ้ำพู บ้านเชียงเครือ พักที่ถ้ำพู 7 วัน ได้เกิดป่วยหนัก เมื่อหายป่วยแล้วพากันออกเดินทางมุ่งหน้าไปบ้านดงมะอี่ กิ่งอำเภอชานุมาน ใกล้จะเข้าพรรษาจึงไปถึงภูสะโกฏ บ้านหนองเม็กนามน
พรรษาที่ 9 พ.ศ. 2494 ภูสะโกฏ บ้านหนองเม็กนามน
เมื่อไปถึงภูสะโกฏนี้ ท่านเห็นว่ามีชัยภูมิดี น้ำท่าบริบูรณ์ ร่มไม้สงบร่มเย็น จึงคิดจะจำพรรษาที่นี้ ได้ขอให้ญาติโยมช่วยปรับปรุงเสนาสนะ ญาติโยมได้ปลูกกุฏิให้ 2 หลัง เพราะมีพระ 2 องค์เท่านั้น ภูสะโกฏอยู่ห่างจากหมู่บ้านเพียง 1 กิโลเมตร การบิณฑบาตจึงได้รับความสะดวกดี
ระหว่างพรรษาได้ทำความเพียรเต็มความสามารถจิตรวมเป็นประจำและมีนิมิตว่า เจ้าภูมิเจ้าฐานมาบอกให้ท่านไปเอาพระพุทธรูปทองคำที่อยู่ในถ้ำสะโกฏ 7 องค์ คืนแรกที่มาบอกท่านไม่สนใจจึงไม่ไป คืนที่ 2 มาบอกอีกก็ยังไม่ไป คืนที่ 3 เขามาบอกซ้ำอีก ท่านจึงถามญาติโยมและพระเณรในวัดบ้านดู แถวนี้มีถ้ำจริงไหม เณรวัดบ้านบอกว่ามีจริงท่านจึงขอให้เณรพาไป แต่เณรบอกว่า ได้ครับ แต่ท่านอาจารย์ไปเอาเองนะ ผมไม่เข้าไปด้วยผมกลัวผี เมื่อไปถึงถ้ำเห็นก้อนหินใหญ่ ปิดปากถ้ำอยู่ มีเถาวัลย์รากไม้ปกคลุมแน่นหนา ท่านจึงเอาก้อนหินออกเข้าไปภายในเห็นพระพุทธรูปนอนเรียงอยู่ 7 องค์เป็นทองคำทั้งสิ้น ขนาดนิ้วหัวแม่มือ ท่านจึงนิมนต์ออกมาสักการบ๔ชา พอออกพรรษาท่านได้ให้ญาติโยมนำพระพุทธรูปไปคืนที่เดิม ไม่ได้เอาติดตัวออกไปด้วย ท่านเล่าว่าไม่ทราบว่า ปัจจุบันจะยังคงอยู่หรือไม่
ขณะจำพรรษาที่ภูสะโกฏนี้ เกิดนิมิตว่า เจ้าภูมิเจ้าฐานผีทางเชียงตุงมาเยี่ยมท่านเป็นขบวน และผีเชียงตุงสั่งฝากฝังผีดงมะอี่ ให้ดูแลรักษาพระองค์นี้ให้ดี อย่าราวีอย่าเบียดเบียนพระองค์นี้ ผีดงมะอี่รับคำและว่าจะรักษาคุ้มครองท่านไม่ให้มีอันตรายเลย ท่านเล่าว่า ก็แปลกอยู่ เพราะนับตั้งแต่มาท่านก็สุขสบายดีไม่มีเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรจนตลอดพรรษา
ครั้นออกพรรษา ท่านก็ออกเที่ยววิเวกตามนิสัยของพระธุดงค์กัมมัฏฐาน พอไปถึงอำเภอสว่างแดนดิน ได้ข่าวว่าหลวงปู่ขาวมาจำพรรษาที่ถ้ำค้อ ดงหลุบหวาย หลุบเทียน เลยพากันไปกราบนมัสการหลวงปู่ขาว ถ้ำค้ออยู่ไกลจากหมู่บ้าน 300 เส้น จึงได้อาศัยชาวบ้านช่วยกันทยอยส่งเสบียงอาหารขึ้นไปให้แม่ชีทำอาหารถวาย ท่านอาจารย์ไปพำนักอยู่กับหลวงปู่ขาวประมาณ 2 เดือน จึงได้กราบลาหลวงปู่ เพราะอยู่กันหลายองค์ ลำบากเรื่องอาหารขบฉันอยู่ห่างไกลหมู่บ้าน ท่านได้เดินทางไปพร้อมกับ ท่านพระอาจารย์คำบุ ธมฺมธโร ผ่านอำเภอวานรนิวาส มุ่งหน้าไปดงหม้อทอง เมื่อไปถึงได้ไปอาศัยหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งมี 3 ครอบครัว เขาเป็นผู้มีศรัทธาดีมาก เขาช่วยกันปลูกกระต๊อบเป็นเสนาสนะให้อยู่องค์ละหลัง
ดงหม้อทองเป็นป่าทึบ มีสัตว์ป่าอุดม ทั้งฝูงช้าง เสือ หมี มีอยู่เป็นประจำ คืนหนึ่งในเดือนมิถุนายน เวลาประมาณตี 3 ปรากฏมีฝูงช้างออกมาหากินใกล้กับกฏิพระ เฉพาะตัวจ่าฝูงได้เดินมาหยุดยืนหน้ากระต๊อบห่างจากท่านพระอาจารย์ประมาณ 6-7 เมตร ช้างนั้นทั้งสูงและใหญ่มาหยุดยืนนิ่งแล้วก็ส่งเสียงร้องแปร๋นโกญจนาท ท่านตกใจตื่น เห็นเป็นช้าง ก็แทบสิ้นสติ เรื่องนี้ท่านชอบเล่าเป็นอุทาหรณ์ให้ศิษย์สังวรเรื่องสติเสมอ ท่านว่าครั้งแรกตั้งสติไม่ทันเกิดความกลัว ลุกขึ้นจุดโคมไฟมอไม้สัน ถือโคมออกมาข้างนอกทั้งที่ยังกลัวอยู่ ท่านคิดว่าถ้าช้างเข้ามาจะกระโดดหนีขึ้นต้นไม้ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า เราเป็นพระกัมมัฏฐานจะกลัวช้างไปทำไม ช้างยังไม่กลัวเราเลย เราเป็นพระธุดงค์เป็นผู้เสียสละในชีวิตแล้ว แล้วยังจะไปกลัวช้างทำไม เราเป็นพระเป็นมนุษย์ ช้างเป็นสัตว์ช้างยังไม่กลัวเรา แล้วก็คิดถึงคำที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าภิกษุที่เกิดความกลัวไปอยู่ป่าหรือป่าช้าก็ดี เมือเกิดความกลัวขนพองสยองเกล้าให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ให้ระลึกถึงเราตถาคต อย่างนี้ ความกลัวนั้นก็จะหายไป
พอท่านเตือนสติตัวเอง ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วความกลัวนั้นก็คลายไป และพิจารณาถึงความตายต่อไปว่า กลัวก็ตาย ไม่กลัวก็ตาย อยู่ที่ไหนก็ต้องตาย ความตายไม่มีใครผ่านพ้นไปได้ ไม่ว่าจะตายด้วยอะไร พอพิจารณาถึงความตายอย่างนั้นแล้ว จิตก็ค่อยสงบเป็นลำดับ ไม่มีความกลัวตายเหลืออยู่ในจิต ช้างก็ไม่กลัว ความตายก็ไม่กลัว จิตสงบเยือกเย็นเป็นจิตที่กล้าหาญ ไม่สะทกสะท้าน จึงกลับเพ่งจิตที่สงบไปพิจารณาดูช้างว่า มันคิดอะไร กระแสจิตที่สงบแล้วขณะนั้นคงจะรุนแรงมาก ช้างจึงตกใจร้องแปร๋นก้องทั้งป่า แล้ววิ่งหนีเข้าป่าไป ตั้งแต่วันนั้นมาไม่เห็นฝูงช้างหรือช้างตัวใดเข้ามาที่บริเวณนั้นอีกเลย เมื่อใกล้จะเข้าพรรษา ท่านอาจารย์คำบุ ก็ลาท่านอาจารย์กลับไปจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย คงเหลือท่านอาจารย์อยู่พรรษาที่ดอนกระพุง ชายป่าดงหม้อทองนั้นต่อไปองค์เดียว
พรรษาที่ 10 พ.ศ. 2495 ดอนกระพุง ชายป่าดงหม้อทอง อ.วานรนิวาส
พรรษาที่ 10 นี้ ท่านอยู่จำพรรษาองค์เดียว ที่ดงหม้อทองอาศัยชาวบ้าน 3 ครอบครัวบิณฑบาตเลี้ยงชีวิต พวกเขาเป็นคนจน แต่มีศรัทธามาก มีความอดทนแม้จะต้องหาเช้ากินค่ำ ที่บริเวณนั้น เขาถือกันว่าเป็นที่ไม่ดีมีผีมาก เป็นทุ่งร้างอยู่ห่างจากแม่น้ำ ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นเป็นที่แห้งแล้ง เขาเรียกว่าทุ่งหนองอีดอน และทุ่งโซ่ง เพราะเคยเป็นที่อยู่ของผู้คนโซ่งคนป่ามาก่อน แต่เกิดเจ็บป่วยล้มตายมาก ต้องหนีอพยพหนีไป เมื่อท่านอาจารย์บอกชาวบ้านว่าจะจำพรรษาอยู่ที่นี่ชาวบ้านตกใจมากบอกว่าอยู่ไม่ได้เพราะผีดุ ผีอาจจะแกล้งให้เจ็บป่วยถึงความตายได้ที่ร้างไปก็เพราะเหตุนี้ พวกเขาตั้งบ้านเรือนกัน ก็อยู่แต่บริเวณชายป่ารอบนอกหรอก ท่านก็ไม่ฟังเสียงคงอยู่จำพรรษา ณ ที่นั่น
พอถึงกลางพรรษา เกิดนิมิตว่า พวกผีโซ่งพากันถืออาวุธ จะเข้ามาฆ่าท่านให้ตาย เอาปืนมายิงก็ไม่เข้า เอาดาบมาฟันก็ไม่เข้า เอาอะไรมาทำอันตรายก็ไม่ตาย สุดความสามารถของพวกเขา เอาอะไรมาทำอันตรายก็ไม่ตาย สุดความสมารถของพวกเขา หัวหน้าผีเลยประกาศกับบริวารผีว่าเมื่อทำอะไรท่านไม่ได้ ก็ต้องยอมท่านเสีย เลยพากันแต่งดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาท่านอาจารย์ แม้จะเป็นนิมิต แต่ก็ประหลาดที่ต่อมา ไม่มีการเจ็บไข้กัน มีคนหลั่งไหลเข้ามาจับจองที่ว่างเหล่านั้น ตั้งบ้านเรือนและทำไร่ กลายเป็นไร่นาที่อุดมสมบูรณ์ สามารถปลูกบ้านเรือน ปลูกข้าวทำนาได้ผลดี
หลังออกพรรษา ท่านอาจารย์ได้ปรารภกับญาติโยมแถวนั้นว่า อยากจะไปอยู่ที่ในดงหม้อทอง เพราะบริเวณนั้นสงบสงัดและได้ข่าวว่ามีถ้ำใหญ่ๆ อยู่มาก มีพลาญหินสวยงามท่านจึงขอให้ญาติโยมช่วยพาไปดูสถานที่ ท่านได้ออกเดินทางไปกับญาติโยม ในตอนเช้าหลังจากฉันอาหารเสร็จ เดินทางตลอดวัน จนค่ำจึงถึงถ้ำที่ตั้งใจจะไปท่านตรวจดูเห็นว่าชัยภูมิอยู่มาก จึงขอให้ญาติโยมช่วยถางหญ้าและเถาวัลย์ที่ขึ้นปกคลุมอยู่ และพักนอนที่นั่นตอนกลางคืนได้ยินเสียงสัตว์ป่ามาร้องระงม และคืนนั้นมีเสียงเสือมาร้องคราง คำรามอยู่ใกล้ๆ
เดือนแรกที่ดงหม้อทอง มีญาติโยมตามไปอยู่ด้วย เขาอยากจะตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ในดงหม้อทอง ท่าจึงช่วยเขาเลือกสถานที่ปลูกบ้านเรือน เขาก็บอกกันต่อๆ ไปว่าท่านอาจารย์ เจาะดง เข้าไปอยู่แล้ว คงไม่มีอาเพศภัยใดอีกชาวบ้านจากถิ่นต่างๆ ก็ทยอยกันมาตั้งถิ่นฐานบ้านช่อง เพราะเห็นว่า ดงหม้อทองเป็นที่อุดมสมบูรณ์ ที่ทำเลทำมาหากินสะดวก แต่เดิมที่กลางดงนั้นไม่มีหมู่บ้าน ท่านก็ช่วยตั้งหมู่บ้านให้เรียกว่า บ้านดงหม้อทอง ต่อมาภายหลังบ้านเรือนก็เป็นปึกแผ่นแน่นหนามากขึ้น และชาวบ้านแต่ละคนต่างมีไร่นา สาโท มีโรงสี โรงเรือน ไม่ยากจนข้นแค้นกันอีกต่อไป
พรรษาที่ 11-13 พ.ศ. 2496-2498 ดงหม้อทอง อ.วานรนิวาส
ตั้งแต่พรรษาที่ 11 ถึงพรรษาที่ 13 ท่านอาจารย์จำพรรษาที่ดงหม้อทองโดยตลอดเพราะเป็นที่สงบสงัดดีสภาพของป่าดงดิบหนาทึบเต็มไปด้วยไม้ใหญ่ มีถ้ำ เงื้อมหินผาและพลาญหิน พร้อมทั้งสัตว์ป่าอันดุร้าย เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องช่วยในการภาวนาทั้งสิ้น พรรษาที่ 11 มีพระ 2 องค์ เณร 1 องค์ จำพรรษาอยู่ด้วย ท่านได้ชักชวนญาติโยมช่วยกันตัดถนนจากดงหม้อทองออกมาบ้านมาย บ้านดู่โดยใช้เวลา 3 เดือน พอออกพรรษาหลวงปู่ขาว อนาลโย ให้คนมาส่งข่าวว่า ให้ไปรับหลวงปู่ออกมาวิเวกด้วย พอดีท่านพระอาจารย์สอน อุตฺตรปญโญ ธุดงค์ มาถึงจึงชวนให้อยู่เป็นเพื่อน ช่วยกันเตรียมเสนาสนะสำหรับหลวงปู่และพระที่ติดตามท่านมา หลวงปู่ขาวออกมาวิเวก ท่านพอใจความสงัดเงียบ เงื้อม ถ้ำและพลาญหินที่ดงหม้อทองมาก จึงอยู่ต่อไปจนเข้าพรรษา
พรรษาที่ 12 หลวงปู่ขาว พร้อมด้วยพระติดตามมาอีก 7-8 องค์ ผ้าขาว 2 คน แม่ชี 4-5 คน ได้อธิษฐานพรรษาอยู่ที่ดงหม้อทองด้วยหมด ต่างองค์ต่างปรารภความเพียรอย่างเต็มความสามารถ และได้ฟังเทศน์จากหลวงปู่ ในพรรษานี้บางวันกลางวันท่านนั่งอยู่ในกุฏิบนภูหินใหญ่ เห็นฝูงช้างมากินน้ำที่หนองน้ำโคนภูหินในบริเวณวัด แต่ไม่ได้ทำอันตรายใดๆ และบางคืนมีเสือมาหยอกเล่นกัดกันขณะพระกำลังสวดปาฏิโมกข์ก็มี
พอออกพรรษาท่านอาจารย์ได้ออกเดินวิเวกมาทางภูวัว ส่วนหลวงปู่ขาวได้เดินทางกลับไปอยู่วัดป่าแก้ว บ้านชุมพล พรรษาที่ 13 จำพรรษาที่ดงหม้อทองมีหลวงปู่คำอ้ายซึ่งเคยเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น มาจำพรรษาอยู่ด้วยในพรรษานี้คืนหนึ่งท่านได้นิมิตว่า มีภิกษุณีซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งเข้ามาก้มกราบท่านอาจารย์ ท่านตกใจ เพราะทราบว่าท่านเป็นอรหันต์ พระภิกษุณีได้บอกว่า ตามธรรมวินัยภิกษุณีจะต้องกราบภิกษุเสมอ ท่านภิกษุณีได้อนุโมทนาและได้เทศน์ให้ท่านฟังอีกด้วย โอวาทที่ภิกษุณีเทศน์ให้ฟังนั้นมีอรรถรสดื่มด่ำ น่าฟังอย่างยิ่ง
พอออกพรรษาได้ล่ำลากันไปหาที่วิเวก ท่านอาจารย์ได้เดินทางไปภูวัว ขณะนั้นหลวงปู่ขาวจำพรรษาอยู่ที่บ้านเลื่อมเมื่อออกพรรษาหลวงปู่ได้ให้คนมาส่งข่าวขอให้ท่านอาจารย์ไปรับหลวงปู่เพื่อจะไปจำพรรษาที่ภูวัวด้วยกัน ท่านอาจารย์จึงไปรับหลวงปู่ไปจำพรรษาที่ภูวัว
พรรษาที่ 14 พ.ศ. 2499 ที่ถ้ำแก้ว ตาดปอ บ้านทุ่งทรายจก ภูวัว
ที่ภูวัวนี้เป็นเทือกเขาสลับวับซ้อน บนหลังเขาเป็นที่ราบบริเวณกว้าง มีโขดหิน น้ำตกแอ่งน้ำสวยงาม และเคยเป็นที่ครูบาอาจารย์เคยมาวิเวกทำความเพียรกันมาแล้ว เช่น พระอาจารย์เสาร์ กันตะสีโล พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ พระอาจารย์ฟั่น อาจาโร พระอาจารย์วัง ฐิตสาโร ท่านพระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุข สุจิตโต) เป็นอาทิในพรรษานี้มีพระเณรรวมกัน 14 องค์ สมัยนั้นภูวัวยังอุดมด้วยสัตว์ป่านานชนิด บางวันมี ช้าง หมี เสือ เข้ามาในเขตวัดจำนวนมาก และบนตาดปอยังมีพวกภูตผีปีศาจมารบกวนพระเณรอยู่เสมอ มีพระเณรเจ็บป่วยกันมาก หลวงปู่ขาวจึงให้ท่านนำเรื่องนี้ไปพิจารณา
ท่านพิจารณาแล้ว จึงได้ไปกราบเรียนหลวงปู่ว่าพิจารณาแล้วได้ความว่า เยสนฺตา แปลว่า ผู้สงบไม่เดือดร้อน ไม่มีความทุกข์ใดๆ จะเกิดแก่ผู้สงบ หลวงปู่ขาวท่านจึงเห็นว่าจริงถูกทีเดียว และยังได้กล่าวต่อไปว่า นตฺถิ สนฺติ ปรํสุขํ ความสุขใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี ผู้มีความสงบแล้ว ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนอะไร ท่านจึงกำชับให้ทุกคนเร่งทำความสงบ ภายหลังการเจ็บไข้ได้ป่วยของพระเณรก็หมดไป
ในระหว่างพรรษาท่านอาจารย์ได้เกิดเป็นโรคฝีหัวดำที่นิ้วหัวแม่มือ เป็นฝีที่ร้ายแรงและเจ็บปวดมาก ตัวร้อนเป็นไข้สูง ท่านไม่ได้นอนมาตลอด 3 วัน 3 คืน เพราะปวดตลอดเวลา พอนั่งภาวนาจิตกำลังจะสงบได้นิมิตว่ามีนิมิตว่ามีโยมแก่คนหนึ่ง มาเป่าที่ฝีหัวแม่มือนั้น และบอกว่าพรุ่งนี้จะเอายามาใส่ให้ พอรุ่งเช้ามีโยมคนหนึ่งเป็นหอผีประจำหมู่บ้านขึ้นถวายจังหันพระมาเห็นฝีหัวแม่มือของท่าน ก็ได้เข้าป่าไปหายามาฝนใส่ให้ท่าน หลังจากนั้นก็หายขาด
ในระหว่างพรรษาได้เกิดนิมิตสำคัญ 2 คราว คราวแรกนิมิตว่า มีแม่ชี 3 องค์ ซึ่งเป็นพรหมมาบอกชาติกำเนิดที่ท่านเกี่ยวพันกับท่านพระอาจารย์มั่นในชาติก่อนๆ และบอกกันอย่างชื่นชมว่า ท่านพระองค์นี้มีบารมีมาก เวลาไปหาท่านพระอาจารย์มั่นนั้นเหาะไป ให้เทพยดาช่วยกันรักษาให้ดีนิมิตอีกคราวหนึ่งปรากฏขึ้นว่าท่านกำลังเดินทาง พอออกมาพ้นหมู่บ้าน ก็ถึงแม่น้ำกว้างสายหนึ่งขวางหน้าอยู่ ท่านตั้งใจจะข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม พิจารณาดูเห็นแม่น้ำนั้นกว้างมากไหลเชี่ยว และท่าทางคงจะลึกมาก ฝั่งแม่น้ำลาดเหมือนฝั่งทะเล ค่อยๆ ลาดท่าลงและชันเข้า ที่ฝั่งเป็นโคลนตมและท่านคิดว่า ถ้าลงไปที่นั่นคงจะจมโคลนมิดตัวเลย ท่านมองเห็นรอยเท้าคนที่เพิ่งเดินข้ามไปใหม่ๆ ท่านคิดจะเดินข้ามไปบ้าง เลยนึกอธิษฐานขึ้นว่า เออ…นี่ถ้าเราจะข้ามน้ำไปถึงฝั่งโน้นได้ ขอให้เราเดินข้ามโคลนตมนี้ไปให้ได้ อย่าให้จมลงเลย อย่างลึกมากที่สุด ก็ให้จมลงในโคลนตมนี้เพียงแค่เข่าเท่านั้น ถ้าเราจะข้ามแม่น้ำนี้ให้ได้
อธิษฐานแล้ว ท่านก็เริ่มค่อยๆ เดินไป ปรากฏว่าโคลนค่อยๆ ลึกขึ้นทีละน้อย แต่ก็สูงเพียงแค่เข่าพอดี ก็พ้นจากโคลนตมและมีสะพานข้ามน้ำถึงฝั่งโน้น ท่านจึงขึ้นเดินบนสะพาน และได้ข้ามแม่น้ำถึงฝั่งตรงข้ามได้ พอขึ้นฝั่งได้แล้วก็เห็นม้าสีขาวบริสุทธิ์รูปร่างสูงใหญ่ สวยงามมาก กำลังยืนกินหญ้าอยู่ ท่านคิดจะเข้าไปขี่ม้า พอดีมีคนมาบอกว่าพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จไปให้รีบตาม ท่านจึงไม่วนใจม้ารีบออกเดินทางตามรอยพระพุทธเจ้าไปทันที….แล้วจิตก็ถอนจากนิมิต
ออกพรรษา พวกญาติโยมได้มานิมนต์หลวงปู่ขาวให้กลับวัดป่าแก้วบ้านชุมพล ส่วนท่านอาจารย์ได้รับนิมิตให้ไปช่วยงานฌาปนกิจศพ ท่านอาจารย์อ่อนศรี ที่เวียงจันทน์เมื่อเสร็จงานศพแล้ว ท่านได้เดินทางกลับมาพักวิเวกที่ภูวัวและได้กลับไปจำพรรษาที่ดงหม้อทองเช่นเดิม
พรรษาที่ 15 – 16 พ.ศ. 2500 – 2501 ดงหม้อทอง
พรรษาที่ 15 กลับมาจำพรรษา ที่ดงหม้อทองร่วมกับท่าน พระอาจารย์สอน อุตฺตรปญฺโญ ได้พากันตั้งอธิษฐานไม่นอนอยู่ 2 เดือน ทำความเพียรกันอย่างเด็ดเดี่ยวภาวนาจิตสงบดี ในพรรษานั้นท่านเกิดอาพาธหนัก เป็นไข้ป่าเอาหมอมาฉีดยารักษาก็ไม่ถูกโรคกัน ทำให้อาเจียนขนานใหญ่หมดแรงแทบประดาตาย เกิดธาตุวิปริต ตามืด ตามัว เวียนศีรษะ พูดจาไม่รู้เรื่องไม่รู้ภาษาเป็นอยู่ 9 วันจึงสงบ โดยท่านมีวิธีรักษาโรคของท่าน กล่าวคือ เอาปี๊บมา 2 ใบ ตั้งบนหลังพลาญหิน ใช้กระดานปู 2 แผ่น วางบนปากปี๊บ ท่านได้นั่งพิจารณาความตายบนกระดานนั้น ท่านอาจารย์สอนและพระเณร ได้คอยผลัดเวรกันมาเฝ้าด้วยความเป็นห่วง เพราะพลังพลาญหินนั้นแคบ และโค้งค่อมเหมือนหลังช้าง ทั้งสองด้านซ้ายขวาเป็นเหว ถ้าพลาดพลั้งจะเกิดอันตรายได้ แต่ท่านคงภาวนาเช่นนั้นตลอดเวลา 9 วัน 9 คืน จนโรคของท่านหายขาด
ออกพรรษาท่านได้กลับไปนมัสการหลวงปู่ขาว ฟังเทศน์และรับการอบรมธรรมจากท่านตามเคย พรรษาที่ 16 ท่านได้ชวน ท่านพระอาจารย์บุญเพ็งเขมาภิรโต (เจ้าอาวาสวัดถ้ำกลองเพลปัจจุบัน) มาจำพรรษาที่ดงหม้อทองอีก พรรษานี้มีพระเณรจำพรรษา 4 องค์สัตว์ป่าก็ชักจะคุ้นเคยกัน ไม่เป็นข้าศึกแก่กัน พระเณรต่างพากันทำความพากเพียรเต็มความสามารถของตน ครั้นออกพรรษาท่านได้ออกไปวิเวกทางดงศรีชมภู เขตอำเภอโพนพิสัย พบสถานที่แห่งหนึ่งมีลักษณะคล้ายๆ ซากเมืองเก่า และบริเวณแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นจันทน์นานาพันธุ์ท่านจึงขอให้ญาติโยมช่วยยกแคร่ปลูกเป็นร้านเล็กๆ ที่ถ้ำจันทน์นี้อยู่ห่างจากบ้านคนมาก ที่ใกล้ที่สุด คือบ้านพวกข่า 2 หลังคาเรือน ซึ่งไกลไปประมาณ 100 เส้น ทางไปบิณฑบาตต้องเดินไปทางช้างเดิน กว่าจะถึงทางเกวียนก็ต้องเดินอีก 20 เส้น พอพวกญาติโยมกลับไปแล้วท่านก็อยู่องค์เดียว กลางคืนได้ยินเสียงเสือมาร้องใกล้ๆ บางคืนได้ยินเสียงเหมือนคนพูดคุยอยู่ตามพลาญหินก็มี บางวันได้ยินเสียงเหมือนคนสวดมนต์ไหว้พระทำวัตร ที่ถ้ำจันทน์มีวัตถุโบราณ เช่นพระโบราณฝังอยู่ในดินและตามผนังถ้ำ เมื่อไปขุดดูได้เศียรพระ แขนพระ องค์พระ แต่ก่อนถ้ำจันทน์เป็นที่อยู่ของพวกสัตว์ป่ามากมาย ระยะแรกมาปักกลด ได้อาศัยบิณฑบาตจากพวกข่า 2 ครอบครัวนั้นประทังเลี้ยงชีวิตตลอดมา
พรรษาที่ 17 พ.ศ. 2502 ถ้ำจันทน์ ดงศรีชมภู อ.โพนพิสัย
ที่ถ้ำจันทน์ ท่านจำพรรษาอยู่องค์เดียว ถ้ำจันทน์เป็นสถานที่ซึ่งสัปปายะในการภาวนาเป็นอย่างยิ่ง จิตรวมดีค้นคิดดี ค้นในร่างกายในอย่างไม่ลดละ สามารถบำเพ็ญเพียรภาวนาได้อย่างเต็มที่ หลังออกพรรษาแล้ว ในระหว่างฤดูแล้ง ท่านเกิดอาพาธหนักเป็นไข้ป่า ไม่มียารักษา ปล่อยให้ธาตุขันธ์มันรักษาตัวเองไปตามธรรมชาติ เป็นอยู่เช่นนี้ถึง 1 เดือน ระหว่างที่เป็นไข้อยู่นั้น วันหนึ่งขณะจะเคลิ้มหลับได้นิมิตภาพว่า โยมบิดาซึ่งสิ้นชีวิตไปแล้ว ตั้งแต่ท่านอาจารย์อายุ 16 ปี โยมบิดาเป็นเมอพื้นบ้าน ได้เข้ามาหาและได้ฝนยามาถวายให้ท่านดื่ม กลิ่นของยาหอมน่าดื่มจริงๆ พอฉันเสร็จก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น มีความรู้สึกเหมือนได้ฉันยาจริงๆ ต่อมาอาการเจ็บป่วยก็หายสนิท ร่างกายมีกำลังฉันอาหารได้เป็นปกติ และตั้งแต่นั้นมาอาการเจ็บป่วยแบบนั้นไม่เกิดขึ้นอีกเลย
พรรษาที่ 18-20 พ.ศ. 2503-2505 ถ้ำจันทน์ ดงศรีชมภู
ก่อนเข้าพรรษา มีเณรองค์หนึ่ง พ่อขาวเม่าคนหนึ่งและแม่ชีแก่คนหนึ่งมาอยู่ด้วย ก่อนเข้าพรรษา 7 วัน โยมอุปัฏฐาก 2 ครอบครัวนั้นได้มานิมนต์ท่านไม่ให้อยู่พรรษาที่ถ้ำจันทน์ เพราะพวกเขายากจนกลัวจะเลี้ยงพระเณรไม่ไหวจึงนิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่อื่น ท่านจึงได้แจ้งเรื่องนี้ให้เณรผ้าขาวและชีทราบ ทั้งเณรผ้าขาวและแม่ชี ก็ว่าจะไปอยู่จำพรรษาที่ดงหม้อทอง ท่านจึงว่าดีแล้วพากันไปเสีย แต่สำหรับท่านมาไป เพราะตั้งใจจะจำพรรษาที่ถ้ำจันทน์นี้
เมื่อเห็นท่านอาจารย์ไม่ยอมไปพวกเณรผ้าขาวและแม่ชี จึงตกลงไม่ไปจะอยู่กับท่าน รุ่งขึ้นโยมอุปัฏฐากทั้ง 2 ครอบครัว ได้มาหาร้องไห้ด้วยความเสียใจ บอกว่า นอนไม่หลับทั้งคืนที่มานิมนต์ไล่ท่าน และขอนิมนต์ให้ท่านอาจารย์อยู่จำพรรษาที่ถ้ำจันทน์ต่อไป ถึงข้าวปลาอาหารจะอดอยากแค้นอย่างไรตัวจะยอมอด ขอถวายพระเจ้าก่อนท่านจึงได้อนุโทนาในศรัทธาของเขา และปลอบใจเขาว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็คงจะเป็นไปด้วยดีเองไม่ต้องกังวล
ต่อมาข่าวที่ว่ามีพระมาอดข้าวอดน้ำที่ถ้ำจันทน์ชาวบ้านนิมนต์ให้ไปนิมนต์ไปจำพรรษาที่อื่นก็ไม่ยอมไป ข่าวนี้ได้แพร่ไปถุงชาวบ้านรอบๆ นอกด้วย พวกชาวบ้านไกลๆ รอบนอก จึงช่วยกันส่งอาหารมาให้ แม้การเดินทางติดต่อจะลำบากก็ได้เพียรพยายามมาส่งเสบียงอาหารให้ทุก 7 วัน นับว่ามีศรัทธาอันแรงกล้าในพรรษานั้น แทนที่จะอดอยากกลับได้รับความสะดวกสบาย อาหารการขบฉันก็อุดมสมบูรณ์คงจะเป็นอานิสงค์ร่วมด้วย เพราะได้ข่าวว่าถ้ำจันทน์นี้ภาวนาดีนัก
ระหว่างอยู่ร่วมกับหลวงปู่นี้ ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเดือนกรกกาคมนั้น ได้สนทนาปฏิบัติธรรมร่วมกัน ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน หลวงปู่นี้ได้เล่าประวัติการปฏิบัติธรรมการภาวนาให้ฟังว่า ในสมัยที่ยังจำพรรษาที่วัดของท่านที่อุดรธานี ได้เข้านิโรธสมาบัติกำหนด 3 วันบ้าง 7 วันบ้าง จึงออกจาการภาวนา ท่านฟังแล้วก็ทราบว่า เป็นการเข้าใจผิดเพราะเรื่องทำนองนี้ท่านพระอาจารย์มั่นเคยสอนอยู่ และยกตัวอย่างมาให้ฟังมากมายว่าเป็น นิโรธน้อม นิโรธสมมติ มิใช่แนวทางของพระอริยเจ้า ซึ่งต้องพิจารณาทุกข์ท่านอาจารย์จึงได้ใช้อุบาย นำโอวาทซึ่งท่านพระอาจารย์มั่นเคยเล่าให้ฟังมาเล่าให้หลวงปู่องค์นั้นฟัง พอใกล้จะเข้าพรรษาหลวงปู่ได้ลากลับไปจำพรรษาที่สำนักเดิมของท่าน ต่อมาภายหลังพระลูกศิษย์ของหลวงปู่ได้กลับมาเล่าให้ท่านอาจารย์ฟังว่า หลวงปู่ได้ชมว่า สมัยอยู่ถ้ำจันทน์นั้นดีนัก ถ้าไม่ได้ท่านจวนอยู่ร่วมด้วยจะเสียเลย และท่านชมเชยในธรรมสากัจฉา ซึ่งกันและกัน หลวงปู่องค์นั้นว่าท่านหายสงสัยในธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ระหว่างที่จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำจันทน์ ได้มีผู้เข้าใจผิดคิดว่าท่านเป็นหัวหน้าคอมมิวนิสต์เป็นพระก่อการร้าย อยู่มาวันหนึ่งได้มีบุคคลคนหนึ่งซึ่งเคยได้รับคำสั่งให้ติดตามฆ่าท่านต่อมาได้กลับใจ เล่าให้ท่านฟังท่านอาจารย์ถามว่า จะฆ่าเพราะอะไร เขาตอบว่า เพราะได้ข่าวมาว่าท่านเป็นหัวหน้าคอมมิวนิสต์ ท่านจึงถามเขาว่า คอมมิวนิสต์เป็นอย่างไร เขาตอบว่า คอมมิวนิสต์เป็นพวกไม่มีศาสนา ไม่ให้คนมีทุกข์ ไม่ให้มีคนมี ให้มีเสมอกัน ไม่ให้มีสมบัติเป็นกรรมสิทธิ์ให้มีแต่ของส่วนกลาง ท่านถามต่อไปว่า เขานุ่งห่มอย่างไร กินอย่างไร มีลูกมีเมียไหม เขาตอบว่า ใส่เสื้อนุ่งกางเกงเหมือนชาวบ้าน กินอาหารธรรมดา ลูกเมียก็มีครับ ท่านถามว่า เขากินอาหารวันหนึ่งกี่มื้อ เขามีโดนหัวไหม เขาตอบว่า เขากินอาหารวันหนึ่ง 3 มื้อ ไม่มีโกนหัวครับ
ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ในเมื่อท่าน ลูกเมียไม่มี กินข้าวหนเดียว โกนศีรษะโล้น ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ไม่มีศาตราวุธ จะหาว่าเป็นคอมมิสต์ได้อย่างไร คอมมิวนิสต์ไม่มีศาสนา แต่ท่านบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าสงสัยว่า พระธุดงค์กัมมัฏฐานผู้ปฏิบัติอยู่ตามป่าตามเขาเป็นคอมมิวนิสต์แล้ว จะหาพระที่ไหนในเมืองไทย จะเอาพระที่กินข้าวเย็น มีลูกมีเมียหรือจึงจะถือว่าเป็นพระที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ท่านได้อธิบายชี้แจงและสั่งสอนอบรม จนเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเข้าใจและหายสงสัย
ท่านจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำจันทน์ถึง 3 พรรษา ถ้านับจำนวนปี ก็เป็นเสลาถึง 4 ปี ได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของถ้ำจันทน์มาก ระยะหลังมีชาวบ้านอพยพเข้าไปตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะเห็นว่าที่ถ้ำจันทน์มีทำเลเป็นที่ทำมาหากินสะดวกดี เหมาะสำหรับทำการเพาะปลูก น้ำดี ดินดี อาหารการบิณฑบาตก็ได้รับความสะดวก เมื่อท่านเห็นว่ามีผู้คนอพยพมาอาศัยอยู่มาก ทำให้ไม่ค่อยสงบรบกวนต่อการทำสมาธิภาวนา จึงโยกย้ายไปหาที่สงัดวิเวกที่ความเพียรต่อไป
ชาวบ้านพอรู้ก็ไม่ยอม ร้องไห้อาลัย และกลัวไปว่าถ้าท่านไม่อยู่ต่อไปการเพาะปลูกจะไม่ได้ผล ท่านจึงต้องชี้แจงให้เข้าใจถึงความจำเป็นของพระธุดงค์กัมมัฏฐานที่ต้องการความสงบวิเวกที่ทำความเพียร ส่วนที่ชาวบ้านกลัวจะเพาะปลูกไม่ได้ผล ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาลนั้น ท่านก็ขอให้ผู้ที่คงอยู่ช่วยกันตักเตือนซึ่งกันและกัน ให้ยึดมั่นอยู่ในไตรสรณาคมน์ ต่อคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่าลักขโมยกัน อย่าประพฤติผิดลูกเมียเขา อย่าพูดเท็จ อย่าดื่มเครื่องดองของเมา ถ้าชาวบ้านช่วยกันระมัดระวังให้มีศีลเป็นปกติวิสัยแล้ว ก็จะพากันมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข
พรรษาที่ 21 พ.ศ. 2506 ภูสิงห์น้อย ( ภูกิ่ว )
เมื่อออกจากถ้ำจันทน์ แล้วท่านก็มุ่งหน้ามายังภูสิงห์ในเขตอำเภอบึงกาฬ ขอให้ญาติโยมพาไปตรวจดูสถานที่พบสถานที่หนึ่งเป็นเขาย่อมๆ อยู่ระหว่างภูสิงห์ใหญ่และภูทอกใหญ่ เรียกกันว่าภูสิงห์น้อย หรือภูกิ่วตามลักษณะคอดกิ่วของภูเขา เมื่อแรกมาอยู่นั้น ภูสิงห์น้อยยังเป็นป่ารกชัฏ แต่มีถ้ำเงื้อมหินอันสงัด มีน้ำวับตามธรรมชาติ พากันปลูกเสนาสนะหลังย่อมๆ อยู่ชั่วคราว โดยอาศัยญาติโยมจากบ้านนาสะแบงบ้าง บ้านนาคำภูบ้าง มายกกระต๊อบอยู่ ปลูกเสนาสนะเป็นหย่อมๆ ท่านเล่าว่าที่ภูสิงห์น้อย การทำความเพียรดีมากการบิณบาตก็ไม่ลำบากและไม่ขาดแคลน แต่ก็ไม่ใช่ร่ำรวยพอเยียวยาชีวิตไปได้วันหนึ่งๆ เท่านั้น
ในพรรษามีพระด้วยกัน 2 องค์ คือองค์ท่าน และ ท่านพระอาจารย์สอน อุตฺตรปญโญ มีเณร 1 องค์ ผ้าขาวเม่า 1 คน ไปบิณฑบาตที่บ้านคำภู ระยะทางจากเชิงเขาถึงหมู่บ้านประมาณ 3 กิโลเมตร ต่างองค์ต่างแยกกันอยู่ ขะมักเขม้นพากันปรารภความเพียรอย่างยิ่งยวด ตลอดพรรษา
วันหนึ่งขณะท่านเดินจงกรมอยู่ โดยกำหนดจิตภาวนาบริกรรมไปโดยตลอด ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้จะมืดแล้ว รู้สึกได้กลิ่นเหม็นชอบกลอยู่ ท่านจึงตั้งจิตถาม จิตตอบว่าเป็นกลิ่นเปรต ท่านได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เขา กลิ่นนั้นก็หายไป รุ่งเช้าเมื่อพบปะพูดคุยกัน ก็ได้ทราบว่าท่านอาจารย์สอน ก็ได้กลิ่นเหม็นเหมือนกัน คืนนั้นท่านอาจารย์ก็ได้นิมิตประหลาดเห็นเปรต 2 ตน เป็นผู้หญิงนุ่งผ้า ไม่ใส่เสื้อร่างเปลือยตลอด ผมยาว ผิวดำคล้ำเศร้ามอง ท่านได้สอบถามดูได้ความว่า ทั้ง 2 เป็นเปรตอยู่ที่ภูสิงห์นี้นานแล้ว เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ผู้พี่ชื่อนางสาวทา ผู้น้องชื่อ นางสาวสี ได้เอาตัวไหมตัวหม่อน ซึ่งมีฝักรังไหมอยู่ข้างใน โดยมีตัวอ่อนอยู่ข้างใน เอามาต้มในน้ำร้อน เพื่อสาวเอาใยไหมมาทอผ้า ด้วยบุพกรรมอันนั้น พอตายจากมนุษย์ จึงกลายเป็นเปรต ดังนี้
ครั้งหนึ่ง ระหว่างนั่งสมาธิอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ไม่นานก็เห็นกวาง 2 ตัว วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามายืนทำตาละห้อยอยู่ข้างล่าง คล้ายจะมาขอฝากหลบภัย ต่อจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงปืนระเบิดดังลั่นและได้ยินเสียงร้องครวญครางขอความช่วยเหลือ ท่านจึงลุกไปดู เห็นชายคนหนึ่งถูกปืนนอนร้องอยู่ มีเพื่อนช่วยประคองอยู่ข้างๆ ถามได้ความว่า พวกเขาเข้ามาล่าสัตว์ ในเขตวัดเห็นกวาง 2 ตัวผัวเมีย ก็เอาปืนยิงแต่พลาด เขาไล่ตามมาเห็นกวางหยุดยืนตรงหน้าถ้ำ จึงยกปืนยิงอีก แต่ยิงไม่ออกถึง 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 ยิงได้แต่ปืนแตกสะท้อนมาถูกผู้ยิงเอง ตามมือและเนื้อตัวเหวอะหวะหมด เลือดไหลโกรกอย่างน่ากลัว
ท่านจึงช่วยเพ่งให้เลือดหยุด และตักเตือนให้เขานึกถึงบาปบุญคุณโทษในการตั้งใจทำลายชีวิตผู้อื่นโดยเฉพาะในเขตวัดและท่านให้เขาปฏิญาณรับศีล 5 แล้วให้กับบ้านไป เขาก็เล่าลือกันต่อๆ ไปไม่ให้ไปล่วงเกินสัตว์ในเขตวัด เพราะอาจมีอันตรายดั่งชายคนนั้น ซึ่งก็เป็นการดี คือทำให้สัตว์ทั้งหมดอยู่ด้วยความสงบขึ้น เรื่องพยายามจะยิงปืนในเขตวัดนี้ได้มีเรื่องแต่สมัยถ้ำจันทน์เช่นกัน ครั้งนั้นท่านออกไปบิณฑบาต กลับมาได้ยินเสียงร้องเรียกให้ช่วย ก็ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่งถูกปืนตัวเองลั่นใส่ตัวปากกระบอกแตก ท่านได้ช่วยเหลือกำหนดจิตเพ่งให้เลือดหยุดและเยียวยาให้เขา ต่อมาเขาได้มาขอขมาท่านและเล่าให้ฟังว่า เขามองเห็นสีเหลืองของจีวรท่านรำไรในหมู่ไม้ นึกว่าเป็นกวางหรือเก้ง จึงยิงปืนใส่ บังเอิญปืนกลับแตกลั่นถูกตัวเองบาดเจ็บ เขามีความผิด 2 กระทง คือกระทงแรกตั้งใจมายิงสัตว์ในเขตวัด กระทง 2 มาล่วงเกินยิงท่านอาจารย์ผู้เป็นภิกษุ เขาจึงได้รับผลกรรมนั้นทันตา
ในกลางพรรษา ฝนตกชุก น้ำท่วมทางบิณฑบาตชาวบ้านส่งอาหารไม่ได้ น้ำท่วมไปหมด เณรต้องต้มข้าวสาลีที่ปลูกในวัดอาศัยฉันไปวันๆ หนึ่ง จนกว่าน้ำจะแห้งก็นับเป็นเดือนๆ ทีเดียว ระหว่างในพรรษาที่ภูสิงห์น้อย ท่านได้เร่งทำความพากความเพียรอย่างเต็มความสามารถของตน พิจารณาร่างกายของตน กายาคตาคติ ไม่ให้จิตรวม ไม่ให้จิตลงพัก พิจารณาไปพอสมควร พอสงบก็พิจารณาค้นดูในร่างกาย พิจารณาทวนขึ้น และตามลงเป็นปฏิโลมและอนุโลม ค้นดูในร่างกายให้เห็นตามเป็นจริง
ท่านกล่าวว่า ถ้าจะเปรียบเทียบสถานที่ต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วที่ภูสิงห์น้อยนี้นับเป็นที่สัปปายะที่สุดแก่การบำเพ็ญเพียรภาวนาของท่าน คือที่ดงหม้อทองจิตรวมง่าย แต่ปัญญาไม่แกกล้าที่ถ้ำจันทน์จิตรวมดีเช่นกัน แต่เพิ่งพิจารณาคิดค้นกายอย่างหนัก เพิ่งจะเริ่มกระจ่างมาเป็นลำดับ ที่ภูสิงห์น้อยคิดว่าจิตพักมาพอเพียงแล้วได้เร่งทำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ได้พยายามใช้อุบายปัญญาทุกอย่าง เพื่อจะน็อคเอ๊าท์คู่ต่อสู้คืออาสวกิเลสให้ล้มคว่ำลงให้ได้
เมื่อออกพรรษา ท่านอาจารย์สอนได้ไปหาที่วิเวกที่อื่นส่วนท่านอาจารย์ญาติโยมทางบ้านดอนเสียด ถ้ำเพระ ถ้ำบูชา ภูวัว ได้มานิมนต์ไปจำพรรษาอยู่กับพวกเขา ท่านจึงตกลงไปพักอยู่ที่ถ้ำบูชาซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านถึง 10 กิโลเมตร ทางบิณฑบาตลำบากมาก ท่านได้ขอให้ญาติโยมช่วยกันตัดทางจากบ้านดอนเสียดขึ้นภูวัว ไปถ้ำบูชาช่วยกันทำอยู่ 3 เดือนจึงสำเร็จ ให้รถและเกวียนพอเดินได้ แต่ถุงกระนั้นการบิณฑบาตก็ต้องแบ่งกันคนละครึ่งทางระหว่างพระกับชาวบ้านโดยสร้างแคร่มีที่มุงเล็กๆ สำหรับเป็นที่พักบิณฑบาตอยู่กลางทาง พระเดินลงจากเขามาครึ่งทาง และชาวบ้านเดินขึ้นไปอีกครึ่งทาง
พรรษาที่ 22-25 พ.ศ. 2507-2510 ถ้ำบูชา ตาดสะอาม ภูวัว
พรรษาแรก มีพระ 5 องค์ เณร 2 องค์เท่านั้นต่างองค์ต่างแยกย้ายกันหาที่วิเวก ปรารภความเพียรกันอย่างประมาท ได้สร้างโรงครัว ศาลาโรงฉันข้างล่าง และชวนพระเณรทำบันไดขึ้นหน้าผา ขึ้นบนหลังตาดสะอาม เพราะข้างบนเป็นที่ชัยภูมิดี เหมาะเป็นที่วิเวก มีข่าวเล่าลือกันว่า ยังมีพระพุทธรูปทองคำยังหลงเหลืออยู่ในถ้ำในเขตภูวัวนี้ พวกพรานและพวกชาวป่าสมัยก่อนเคยพบเห็นมาแล้วแต่ไม่มีใครกล้านำออกมา ด้วยเกรงต่ออำนาจเทพพารักษ์ที่บำรุงรักษาสถานที่นั้น พวกชาวบ้านช่วยกันหาเท่าใดก็ไม่พบ
วันหนึ่ง ขณะนั่งภาวนา ท่านได้นิมิตว่า กำลังค้นหาพระแต่หาไม่เห็น ขณะนั้นมียักษ์ผู้หญิง รูปร่างสูงใหญ่ ตัวดำสนิท ผมยาวรุงรัง มีแต่ผ้านุ่งเปลือยกายท่อนบน อกยานใหญ่ ท้องก็อ้วนใหญ่ ยืนอยู่ที่น้ำตกสะอาม ท่านจึงเดินเข้าไปถามว่าเป็นใคร ทำไมจึงมาอยู่ที่นี่ ยักษ์จึงตอบว่าเป็นยักษ์อยู่ที่น้ำตกสะอาม เพราะแต่ก่อนเคยทำบาปคือชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ได้เกิดเป็นภรรยาของท่านอาจารย์แต่เป็นผู้ทุจริตประพฤติผิดมิจฉากาม ไม่ซื่อสัตย์ต่อสามีคือท่านอาจารย์คบชายอื่นเป็นชู้ เมื่อสามีจับได้ก็ล่อลวงปิดบังไว้ ด้วยบาปอกุศลกรรมอันนั้น จึงทำให้ต้องมาเกิดเป็นยักษ์อยู่ที่นี่ ท่านจึงถามต่อว่า มีพระพุทธรูปโบราณอยู่ที่ถ้ำสะอามนี่ใช่ไหม ยักษ์ก็รับว่ามีอยู่จริง แต่ไม่ยอมบอกว่าอยู่ที่ไหนเพราะยักษ์ยังเกลียดชังท่าน ที่ท่านทิ้งเขาไปในชาติครั้งนั้นท่านจึงได้บอกญาติโยมว่าอย่าไปหาเลย ไม่เห็นหรอกเขาไม่เห็น
ในปี พ.ศ. 2509 คืนหนึ่งขณะฝนตก ได้มีเครื่องบินอเมริกันนำลูกระเบิดมาปล่อยทิ้งที่ภูวัว 6 ลูก หลังจากนั้น 3 วัน ญาติโยมขึ้นมาถวายจังหันแล้วออกไปเก็บเห็ด จึงเห็นลูกระเบิด เป็นลูกระเบิดขนาดใหญ่มีที่ระเบิดแล้ว 1 ลูกเป็นลูกระเบิดเพลิง แต่ที่ยังไม่ระเบิด 5 ลูก วัดโดยรอบได้ 1.20 เมตร วัดตามยาวได้ 1.20 เมตร จึงให้คนไปแจ้งกำนันผู้ใหญ่ เขาได้รายงานไปจนถึงทางทหารที่อุดรฯให้ฝรั่งทหารอเมริกันผู้มาทิ้งระเบิดทราบ ทหารที่อุดรฯ และทหารอเมริกันได้เดินทางมาจัดการนำเอาลูกระเบิดที่ยังไม่ระเบิดเหล่านั้นขึ้นมาระเบิดทำลายได้หมด การที่ลูกระเบิดทั้ง 5 ลูก ไม่แตกระเบิดในการทิ้งระเบิดครั้งแรก แต่เมื่อกู้ขึ้นมาก็คงระเบิดได้ตามปกติ นี้ได้ทำให้ชาวบ้านตื่นเต้นร่ำลือกันมาก แต่ท่านกล่าวเพียงว่าอาจจะเป็นอำนาจคุณพระรัตนตรัยคุ้มครองก็ได้
กลางปี พ.ศ. 2511 เจ้าคณะจังหวัดหนองคายได้มีหนังสือมาขอให้พระที่อยู่ถ้ำบูชา ภูวัว ย้ายลงมาจากภูวัวเพราะบ้านเมืองเกิดความฉุกเฉิน เกรงจะเป็นอันตรายต่อพระสงฆ์ ให้ลงไปจำพรรษาที่อื่น ท่านอาจารย์พร้อมหมู่คณะและแม่ชีก็ได้ลงจากถ้ำบูชาในเดือนกรกฎาคม ขณะฝนกำลังตกชุกเดินทางด้วยความยากลำบาก บุกน้ำ บุกโคลนตมมุ่งหน้าไปจำพรรษากับหลวงปู่ขาวที่วัดถ้ำกลองเพล
พรรษาที่ 26 พ.ศ. 2511 จำพรรษาอยู่หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อุดรธานี
ท่านอาจารย์ได้กลับมาอยู่จำพรรษา ร่วมกับหลวงปู่ขาว อีกวาระหนึ่ง ซึ่งได้จากวัดป่าแก้ว บ้านชุมพล มาอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพล ได้อยู่ปฏิบัติหลวงปู่ ฟังธรรมเทศนา รับการอบรมมาจากหลวงปู่โดยใกล้ชิด
ออกพรรษา เสร็จกิจการงานแล้ว ได้นมัสการกราบลาหลวงปู่กลับไปวิเวกที่ภูวัวอีก ท่านได้วิเวกอยู่ที่ภูวัว 1 เดือน คืนหนึ่งขณะนั่งบำเพ็ญความเพียรอยู่นั้น ได้เกิดนิมิตขึ้นว่า ได้มีปราสาท 2 หลัง หลังหนึ่งเล็ก หลังหนึ่งใหญ่โตมาก ปราสาททั้ง 2 หลังสวยงามวิจิตรมาก ตั้งอยู่ทางด้านเขาภูทอกน้อยและภูทอกใหญ่ ซึ่งเวลามองจากภูวัวจะเป็นปรากฏชัด ในนิมิตท่านได้เหาะขึ้นไปบนปราสาทนั้น แต่บังเอิญประตูทางเข้าปราสาทปิดอยู่ ไม่สามารถเข้าไปได้ท่านจึงอธิษฐานว่า หากมีบารมีแรงกล้าขอให้ประตูเปิดออกเข้าไปได้ ทันใดนั้นประตูปราสาทหลังเล็กก็เปิดออกท่านจึงเข้าไปในปราสาทนั้น ภายในห้องวิจิตรพิสดารงดงามยิ่งนัก มีหญิงรูปสวย 4 คน เฝ้าอยู่ในปราสาทนั้น ได้นิมนต์ให้ท่านอยู่ร่วมในปราสาทด้วย แต่ท่านปฏิเสธเพราะเป็นพระจะอยู่ร่วมกับผู้หญิงไม่ได้ แล้วท่านจึงลงจากปราสาทนั้นไป
พอจิตถอน ท่านจำนิมิตได้ติดตา พร้อมทั้งจำทางขึ้นลงได้อย่างแม่นยำ เพื่อพิสูจน์นิมิตนั้น ท่านจึงเดินทางจากภูวัวไปยังภูทอกน้อย พอไปถึงก็เดินทางขึ้นไปบนเขาตามทางในนิมิตนั้นทุกประการ ได้สำรวจดูเขาชั้นต่างๆ เห็นเป็นโตรก เป็นซอก เป็นถ้ำ เป็นหินผาอันสูงชัน ก็เห็นว่าเป็นภูมิประเทศอันเหมาะสมที่จะบูรณะให้เป็นสถานที่สำหรับให้พระเณรได้บำเพ็ญภาวนาต่อไป ท่านจึงตกลงใจเข้าบูรณะเป็นตั้งเป็นวัด ประกอบกับแรงนิมนต์ของชาวบ้านนาคำแคนบ้านนาต้อง อาราธนาให้อยู่โปรดพวกเขาเป็นหลักยึดเหนี่ยวอีกแรงหนึ่ง
พรรษาที่ 27 28 พ.ศ. 2512 2523 วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อ. บึงกาฬ
ท่านเริ่มมาอยู่ภูทอกนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2512 มาอยู่ครั้งแรกกับท่านพระครูสิริธรรมวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดสามัคคีอุปถัมภ์ อำเภอบึงกาฬในปัจจุบันนี้ บริเวณรอบๆ เป็นป่าทึบ รกชัฏ มีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์ เบื้องต้นภูทอกยังไม่มีแอ่งเก็บน้ำ สมัยนั้นต้องอดน้ำอาศัยน้ำฝนที่ค้างขังอยู่ตามแห่งหิน อาหารการขบฉันอาศัยบิณฑบาตจากชาวบ้านนาคำแคน ซึ่งได้อพยพไปอยู่ใหม่ๆ ประมาณ 10 หลังคาเรือน การบิณฑบาตขาดแคลนมากตามมีตามได้ พอเข้าหน้าแล้ ท่านได้ขอให้ชาวบ้านช่วยกันสร้างทำนบกั้นน้ำเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ และขึ้นมาปลูกกระต๊อบอยู่ชั่วคราวที่โขดหินเชิงเขาชั้น 2 ปีแรกที่จำพรรษาที่ภูทอก มีพระ 3 องค์ ผ้าขาวน้อย 1 องค์ ปลูกกระต๊อบชั่วคราวพออาศัยได้ 4 หลัง ทุกองค์ต่างทำความเพียรอย่างเต็มที่ เวลาพลบค่ำท่านอาจารย์ขึ้นไปนอนบนชั้น 4 โดยปีนขึ้นตามเครือเขาเถาวัลย์ ตามรากไม้ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นถ้ำวิหารพระ สมัยนั้นยังเป็นป่าทึบ มีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น
ในระหว่างกลางพรรษาที่ 27 ได้ชักชวนญาติโยมทำบันไดขึ้นเขาชั้นที่ 5 และชั้นที่ 6 จนสำเร็จ ทำอยู่ประมาณ 2 เดือน กับ 10 วัน จึงเสร็จเรียบร้อย การสร้างบันไดนี้สำเร็จในกลางพรรษาได้อาศัยศรัทธาญาติโยมและชาวบ้านใกล้เคียงช่วยกันคนละเล็กละน้อย ช่วยกำลังแรง ส่วนกำลังทรัพย์ไม่มี เพราะตางเป็นคนยากจน มีแต่ศรัทธาเท่านั้น กลางพรรษาปี 2512 ท่านได้เกิดสุบินนิมิตว่า ได้ออกไปบิณฑบาตที่ภูทอกใหญ่ ตามหน้าผา อุ้มบาตรเหาะเลียบไปตามหน้าผา อ้อมไปเรื่อยๆ เห็นหน้าต่างปิดอยู่ตามหน้าผา มองไม่เห็นคนเลย ท่านจึงเหาะอ้อมไป ท่านจึงหยุดยืนรำพึงว่า…ทำไมมีแต่หน้าต่างปิด ไม่เห็นคนออกมาใส่บาตรเลย สักครู่หนึ่งก็เห็นคนเปิดหน้าต่างออกมาใส่บาตร ท่านจึงตั้งจิตถามขึ้นว่า เขาเป็นใคร เขาก็ประกาศขึ้นมาเองว่า พวกผมนี้เป้นพวงบังบดขอรับ อยู่กันที่ภูทอกใหญ่ภูแจ่มจำรัส พวกบังบดคือพวกภุมมเทวดาที่เขามีศีล 5 ประจำเขาอธิบายให้ฟังว่า ชื่อเดิมของภูทอกใหญ่นี้ เรียกกันว่าภูแจ่มจำรัส แต่ก่อนนี้มีพวกฤาษีชีไพรมาบำเพ็ญพรตภาวนากันอยู่ที่แจ่มจำรัสนี้มาก เมื่อเขาใส่บาตรเรียบร้อยแล้ว ท่านจึงถามเขาว่า ทำไมจึงรู้ว่าอาตมามาบิณฑบาต เขาก็ตอบยิ้มๆ ว่า รู้ครับ รู้ด้วยกลิ่น ถูกกลิ่นพระผู้เป็นเจ้า กลิ่นเป็นอย่างไร ท่านซักต่อ กลิ่นหอมขอรับ ถูกกลิ่นพระผู้เป็นเจ้า ก็เลยพากันเปิดหน้าต่างมาใส่บาตรพระผู้เป็นเจ้ากัน ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดี ควรแก่การบูชา พวกเราจึงพร้อมใจกันมาใส่บาตร
พอพวกเขาใส่เสร็จท่านก็กลับ พอดีรู้สึกตัวตื่นพิจารณาดูนิมิตนั้นก็เห็นแปลก และเช้าวันนั้นอาหารที่บิณฑบาตได้ขบฉันก็รู้สึกว่ารสเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีใครมาใส่บาตรจริงๆ มีแต่ชาวบ้านเท่านั้น และอาหารก็เป็นอาหารพื้นๆ พรรษาแรก พระเณรเจ็บไข้กันมาก บางองค์ก็บอกว่าเทวดาประจำภูเขามาหลอกหลอน ดึงขา ปลุกให้ลุกขึ้นทำความเพียร บางทีก็ไล่ให้หนีเพราะมาแย่งวิมานของเขา ท่านได้พยายามตักเตือนพระเณรให้รักษาศีลให้บริสุทธิ์ บำเพ็ญความเพียรแผ่เมตตา และให้ทำความเพียรอย่าได้ประมาทภายหลังก็เกิดนิมิตว่า มีพวกเทวดามาหาท่านบอกว่า ขอน้อมถวายภูเขาลูกนี้ ให้แก่พระผู้เป็นเจ้า ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดรับไว้รักษา พวกข้าพเจ้าจะลงไปอยู่ข้างล่าง และยังได้ขอให้ท่านประกาศแก่มนุษย์ที่จะมาเที่ยวภูเขาลูกนี้ต่อไปว่า ขออย่าได้กล่าวคำหยาบ อย่างส่งเสียงดังอึกทึก อย่าถ่มน้ำลายลงไปข้างล่าง อย่างขว้างปาหรือทิ้งเศษขยะไว้บนเขา
เมื่อท่านออกจากสมาธิ จึงมาพิจารณาคำขอร้องของเทวดาก็เห็นว่าแยบคายดี น่าจะเป็นข้อที่กัลยาณชนควรปฏิบัติอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีเทวดามาขอร้องก็ตาม อย่างไรก็ดี ในวันนั้นมีชาวบ้านมาเล่าให้ฟังว่า พวกเขาต่างฝันกันว่ามีคนมามอบภูเขาให้ท่านอาจารย์จวนรักษาไว้ และพวกเขาจะลงไปอยู่ข้างล่างแทน บังเอิญฝันตรงกันหลายคน
พ.ศ. 2513 ในฤดูแล้ง ท่านได้ชักชวนชาวบ้านช่วยกันสร้างทำนบเพิ่มขึ้นอีก 2 ทำนบเพื่อกักเก็บน้ำ มีประชาชนจากฝั่งประเทศลาว ชื่อนายบุญที ได้มีศรัทธามาสร้างพระประธานไว้ที่ถ้ำวิหารพระชั้นที่ 5 ต่อมาได้มีศรัทธาจากที่ต่างๆ มาร่วมกันสร้างโรงฉัน และศาลาชั้นที่ 5 ภายหลังได้ขยายศาลาโรงฉันชั้นล่างให้กว้างออกไปและได้ขยายศาลาถ้ำวิหารพระชั้นที่ 5 ให้กว้างขวางออกไปด้วย เพื่อประกอบศาสนกิจและสังฆกรรมได้สะดวก
การก่อสร้างต่างๆ ท่านพยายามทำแบบส่งเสริมธรรมชาติให้กลมกลืนกันไปกับธรรมชาติ เช่น กุฏิ ศาลา อาศัยผนังถ้ำเป็นฝา เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ขุดบ่อน้ำอีกหลายแห่ง ยังได้พบบ่อน้ำซึมผุดขึ้นมาจากซอกหิน และได้มีผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันสร้างบาตรน้ำมนต์ขนาดใหญ่ไว้รองน้ำซึมที่หยดมาจากยอดเขา นอกจากนี้ยังมีผู้บริจาคเงินสร้างถังเก็บน้ำคอนกรีต ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ และได้สร้างส้วมและห้องน้ำไว้สำหรับประชาชน ใน พ.ศ. 2513-2514 ได้ทำสะพานรอบเขาชั้นที่ 5 พ.ศ. 2515 ได้ทำทำนบกั้นน้ำเพิ่ม พ.ศ. 2516 ปรับปรุงสะพานชั้นที่ 5 ทำทางเดินให้เสมอกันและขยายให้กว้างขึ้น พ.ศ. 2517 ทำสะพานบนเขาชั้นที่ 6 ทำสะพานชั้นที่ 4 ครึ่งเขา พ.ศ. 2519 ได้ทำทำนบกั้นน้ำในเขตวัด
ตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นมา ได้มีคณะญาติโยมโดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ ทยอยมากันบ่อยครั้งขึ้น ได้มีศรัทธาเพิ่มขึ้นบริจาคทั้งกำลังทรัพย์ และกำลังกายมาช่วยเหลือที่วัดได้มีการสร้างถังน้ำบนเขาชั้นที่ 5 สร้างห้องน้ำ ห้องส้วมเพิ่มอีกหลายห้อง นอกจากนี้ยังได้มีการสร้างกุฏิถาวรสำหรับพระเณรจะได้เป็นที่พักอีกเป็นจำนวนหลายหลัง เพราะแต่ก่อนพระเณรจะใช้เพียงเงื้อมหิน หรือถ้ำเป็นที่อยู่อาศัย และยังได้มีการสร้างกุฏิที่พักสำหรับพระอาคันตุกะ สร้างกุฏิแม่ชีและกุฏิที่พักบนชะง่อนเขาชั้นที่ 5 สำหรับญาติโยมได้มาพักอีกด้วย
นอกจากได้ก่อสร้างในวัดแล้ว ยังได้ทำประโยชน์ให้แก่ชาวบ้านใกล้เคียงอีกด้วยโดยได้สร้างทำนบกั้นน้ำให้ชาวบ้าน 6 ทำนบ และในปี 2523 ได้เริ่มทำถนนรอบภูเขา 3 ลูกคือ ภูทอกน้อย ภูทอกใหญ่ และภูสิงห์น้อย ซึ่งต่างก็เป็นสำนักสงฆ์ของวัด เพื่อเป็นการกั้นเขตแดนวัด จะได้เป็นที่พึ่งพาอาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด และยังเป็นการสงวนป่าไม้อีกด้วย (เมื่อท่านอาจารย์จวนมรณภาพแล้ว งานนี้ยังค้างอยู่ ทางวัดก็ได้ต่อจนแล้วเสร็จ รวมทั้งทำนบน้ำแห่งใหม่ในหมู่บ้านด้วย)
ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ได้เทศน์ให้ศิษย์ฟังเสมอๆ เรื่องสมเด็จพระบรมศาสดาทรงสอนให้มนุษย์รู้จักบำเพ็ญประโยชน์ 3 อย่าง ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ภายภาคหน้าและ ประโยชน์อย่างยิ่ง ดังที่ได้ยกธรรมเทศนาของท่านตอนนี้มารวมไว้ข้างท้ายนี้ คำสอนของท่านนั้นอาจถือเป็นข้อสรุปปฏิปทา คุณธรรมขององค์ท่านผู้สอนได้เป็นอย่างดี ท่านได้ปฏิบัติมาแล้ว เป็นตัวอย่างให้เรารู้จักได้พยายามเจริญรอยตามคำสอนของท่าน
แรกเริ่ม ท่านบำเพ็ญประโยชน์ตน อัตตัตถประโยชน์ก่อน ท่านสอนเสมอ เราต้องว่ายน้ำให้เป็นเสียก่อน แล้วจึงค่อยไปสอนให้คนอื่นว่ายน้ำ ถ้าตัวเราก็ยังว่ายน้ำไม่เป็นช่วยตัวเองไม่ได้ ไปสอนเขา ก็รังแต่จะพากันจมน้ำตายไปด้วยกันหมด ดังนั้นระยะแรก ท่านจึงบำเพ็ญเพียรอย่างอุกฤษฏ์ซอกซอนซ่อนตัวอยู่ในกลางป่าลึก จนบำเพ็ญประโยชน์แก่ตนเอง ได้สมปรารถนาเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ทำประโยชน์แก่ญาติ…เพื่อนร่วมชาติ ร่วมศาสนา ร่วมพระมหากษัตริย์ ทำประโยชน์แก่โลก แก่ส่วนรวมต่อไป เป็นวิหารธรรม ที่เป็น เครื่องอยู่ ของท่าน
วัดป่าบ้านนาจิก วัดป่าศิลาอาสน์ ที่ดงหม้อทอง สำนักสงฆ์ถ้ำจันทน์ วัดป่าที่ภูสิงห์น้อย (ภูกิ่ว) สำนักสงฆ์ถ้ำบูชา สำนักสงฆ์สะแนนและวัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) เป็นเสมือนเจดีย์ศิลาที่ท่านก่อตั้งไว้ โดยเฉพาะที่วัดเจติยาคิรีวิหาร ซึ่งท่านได้สร้างสะพานเวียนรอบเขาโดยรอบเขาโดยรอบเป็นชั้นๆ จนถึงยอด ทำให้เขาภูทอกเป็นสถานที่ซึ่งเหมาะสำหรับผู้มุ่งไปปฏิบัติธรรมและพักผ่อนกิตติศัพท์อันงามขององค์ท่านเอง และสถานที่ซึ่งท่านบูรณะและสร้างสรรค์แล้วได้ชักนำให้ประชาชนจากที่ใกล้และไกลพากันสนใจ แม้ชาวต่างประเทศก็จัดคระไปกราบคารวะและเยี่ยมชมสถานที่กันไม่ขาดด้วยเมตตาธรรมของท่าน ป่าดงพงพีหลายแห่ง ได้กลายเป็นหมู่บ้านอันเป็นปึกแผ่นแน่นหนา มีผู้อาศัยหลายร้อยหลังคาเรือน บริเวณซึ่งเคยถือกันว่าเป็นที่ขัดที่ขวง ปลูกอะไรไม่ขึ้น ก็คลายเป็นไร่นาสาโท ยิ่งท่านได้นำชาวบ้านสร้างถนนหนทาง สะพาน สระน้ำ ฝาย อ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้นไร่นาสาโทเหล่านั้นก็อุดมสมบูรณ์ขึ้น
โดยเฉพาะที่ภูทอก เราได้ประจักษ์กับตาเองว่าระหว่างสองสามปีหลังนี้ นาข้าวแถวบริเวณใกล้ภูทอก ต้นข้าวจะงามสูงแทบจะท่วมหัวทีเดียว ชาวบ้านรู้จักปลูกผัก ได้อาศัยเมล็ดพันธุ์ผักจากวัด ได้น้ำจากฝายและอ่างเก็บน้ำ 6-7 แห่ง ที่ หลวงพ่อ คิดทำให้บ้าง และต่อมาได้เป็นตัวอย่างจูงใจให้ชาวบ้านรู้จักช่วยตัวเอง ทำเพิ่มเติมขึ้นด้วย เขาเหล่านั้นก็เรียกว่า พอจะลืมตาอ้าปากได้ บ้านเรือนที่มีอยู่เพียง 10 หลังคาเรือนก็กลายเป็นหลายร้อยหลังคาเรือน…บ้านที่เป็นเป็นฟากเป็นไม้ไผ่ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นไม้ถาวรขึ้นอย่างหนาตา หลายสิบบ้านเป็นเจ้าของไร่มัน พืชผลต่างๆ และมีอีกเป็นสิบบ้านเช่นเดียวกัน ที่ต่างก็มีรถยนต์จอดอยู่ในบ้านของตน วัดวาอาราม ถนน สะพาน ศาลา สะน้ำ ฝาย อ่างเก็บน้ำและความเจริญของหมู่บ้านที่ประชาชนอพยพตามเข้ามาอาศัยบารมีการุณยธรรมอันสงบร่มเย็นของท่าน…เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น ที่ดงหม้อทอง วานรนิวาส ที่ถ้ำจันทน์ ดงศรีชมพู – ที่ภูสิงห์น้อย ที่ถ้ำบูชา ที่น้ำตกสะแนน ภูวัว ที่ภูทอกน้อย ภูทอกใหญ่…ล้วนเป็นอนุสรณ์แห่งการบำเพ็ญบารมีเพื่อ โลกัตถประโยชน์ และญาตัตถประโยชน์ ของท่านทางด้านถาวรวัตถุทั้งสิ้น
แต่ที่ทรงประโยชน์คุณค่ามหาศาล หาประมาณมิได้คือทางด้านจิตใจ ที่ท่านกรุณาเมตตาช่วยเหลือเจือจานเทศนาสั่งสอนแนะนำให้ศิษย์ทั้งบรรพชิตและฆราวาส…ทั้งที่หนองคาย อุบลฯ อุดรฯ นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ เลย สงขลา เชียงใหม่ เชียงราย กรุงเทพฯ…จันทบุรี ชลบุรี ให้ศิษย์มีความคิดที่ถูกต้องดีงาม ไม่หลงไปในทางที่ผิด ให้รู้จักทุกข์ ธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์ ท่านได้บำเพ็ญประโยชน์ปัจจุบันแล้ว สำหรับประโยชน์ 2 ประการ คือ ประโยชน์ภายภาคหน้า… เพื่อว่าเมื่อละชีวิตปัจจุบันแล้ว จะได้มีสุคติเป็นที่ไป และ ประโยชน์อย่างยิ่ง… เพื่อดับอาสวกิเลสให้สิ้นไปถึงพระนิพพาน….นั้นบรรดาศิษย์ของท่านไม่มีความสงสัยเลยว่า ท่านได้บำเพ็ญบารมีเพื่อประโยชน์ 2 ประการหลังนี้ บริบูรณ์แล้ว เต็มแล้ว หรือไม่และเพียงใด
ท่านได้รับนิมนต์มายังกรุงเทพมหานครโดยกิจนิมนต์สำคัญ ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก ที่คลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2523 พร้อมด้วยพระสงฆ์ฝ่ายกรรมฐานที่สำคัญและได้รับนิมนต์มาในงานเดียวกันอีก 4 รูป สิริรวมอายุท่าน 59 ปี 9 เดือน 18 วัน พรรษา 38 ศพของท่าน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์บำเพ็ญพระราชกุศล 7 วัน
พระราชทาน ณ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร และได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญศพกลับมาบำเพ็ญกุศลต่อที่วัดเจติยาคิรีวิหาร กลับถึงภูทอกเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ให้ผู้แทนพระองค์มาบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทาน ทั้งในวาระครบ 50 วัน และ 100 วัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ มาพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุชั่วคราว วัดเจติยาคิรีวิหาร ภูทอก เมื่อวันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2524
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมา ณ วัดเจติยาคิรีวิหาร เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2526 ทรงพระสุหร่าย รูปปั้นเหมือนของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ และพระราชทานให้แก่วัดเจติยาคิรีวิหาร เพื่อประดิษฐานให้เป็นที่เคารพสักการบูชาแก่ประชาชนสืบต่อไป