
ผีตานี หนึ่งในตำนานผีไทยที่คนไทยรู้จักดีอีกอย่างว่าเป็นผีที่สิงอยู่ในต้นกล้วย ซึ่งผู้คนทั่วไปมีความรู้ว่า ผีตานีเป็นผีที่หน้าตาสวยงาม กลิ่นกายหอม แต่จริงๆ แล้วผีตานี้คืออะไร เป็นภูตหรือผีกันแน่ เป็นคำถามที่ค้างคาใจของใครหลายคน วันนี้เราจึงจะพาคุณไปดูเรื่องราวของผีตานีกันว่าแท้จริงแล้ว เรื่องราวของผีตานีที่เล่าสืบต่อกันมาเป็นอย่างไรบ้าง
หลายคนต้องการรู้เรื่องราว และเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีตานีที่มีคนเล่าต่อๆ กันมาว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเรื่องเล่าเหล่านั้นมีสิ่งที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้
ตามตำนานผีตานี เป็นผีผู้หญิงเหมือนกับผีนางคะเคียน แต่ต่างกันที่ผีนางตานีจะสิงสถิตที่ต้นกล้วยตานี แต่ต้นกล้วยตานีทุกต้นก็ใช่จะมีนางตานีอยู่เสมอไป สำหรับลักษณะทั่วไปของผีตานีโดยทั่วไปเป็นหญิงรูปงาม ผมยาว มีฝ่ามือฝ่าเท้าสีแดงอ่อนเหมือนนกพิราบ ริมฝีปากสีเหมือนตำลึงสุก ใส่เสื้อผ้าเหมือนผู้หญิงไทยโบราณ โดยนุ่งโจงกระเบนสีตองแก่ สไบสีตองอ่อน มีกลิ่นกายหอมคล้ายดอกกล้วย ผีตานีบางทีก็เรียกว่า พรายตานี โดยคนในสมัยโบราณมีความเชื่อว่า หากต้นกล้วยที่นางตานีสิงมีลำต้นอวบ พรายนางตานีก็จะมีรูปร่างอวบ ถ้าต้นกล้วยที่สิงมีลำต้นโปร่งสูง รูปร่างพรายนางตานีก็จะมีรูปทรงผอมเพรียวตามไปด้วย
ในทางพระพุทธศาสนา นางตานีไม่ใช่เทวดา แต่เป็นภูตชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นมาแบบผุดเกิดขึ้นมาทันที เรียกว่า โอปปาติกะ ซึ่งเป็นภูตที่เกิดขึ้นขณะร่างกายแตกดับไปแล้ว หรือเรียกว่า เป็นร่างต่อจากวิญญาณที่ไม่ได้ไปนรก โดยตามตำนานเชื่อกันว่า นางตานีนั้นเป็นผีที่มีความหึงหวงแรง หากชายใดที่เคยมีความสัมพันธ์กับนางตานีแล้ว ไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น เชื่อว่านางตานีจะตามไปหักคอชายหนุ่มคนนั้นทันที
ด้วยเหตุที่นางตานีเป็นผี ชาวบ้านจึงไม่กล้าปลูกกล้วยตานีไว้ใกล้เรือน หรือนำมาปลูกในบริเวณบ้าน แต่ถ้ามีต้นกล้วยตานีเกิดขึ้นในบริเวณบ้าน และเมื่อต้นกล้วยมีการออกปลีจะต้องมีการทำพิธีพลีพรายตานี เพื่อเป็นการขอให้ผีตานี ช่วยปกปักษ์รักษาสมาชิกทุกคนในบ้านเพื่อให้อยู่อย่างร่มเย็น รวมทั้งหากจะตัดเอาใบตองไปใช้ ห้ามตัดทั้งก้าน แต่ให้เจียนเอาเฉพาะใบตองเท่านั้น หรือจะมีการหักก้านก่อนจะเอาใบ เพราะถ้าตัดเอาทั้งก้านมาในบ้าน ถือเป็นลางร้ายว่าจะมีใครในบ้านตายในไม่ช้า เพราะตามคติความเชื่อเดิมที่มีการใช้ใบตองกล้วยตานีสามใบรองก้นโลงศพ
การทำพิธีพลีพรายตานีแล้ว ต้นกล้วยมีปลีออกบริเวณกลางต้น ถือว่ามีนางตานีสิงสถิตอยู่ในต้นกล้วยต้นนั้น ซึ่งวิธีการพลีพรายนางตานีจะใช้เครื่องพลีหลายอย่าง เช่น หัวหมูบายศรี ของหวานต่างๆ อย่างขนมต้มแดงขนมต้มขาว นอกจากนี้ยังมีข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียน น้ำหอมและเครื่องหอม อีกทั้งยังต้องมีแป้งกระแจะจันทน์ด้วย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องมีการเอาแหวนและสร้อยทองคำไปคล้องที่งวงปลีกล้วยเป็นเครื่องประดับ แล้วนำผ้าสีแดงหรือสีอะไรก็ได้อีกผืนหนึ่ง ไปพันรอบต้นกล้วยตานี เหมือนเป็นการนุ่งห่มผ้าให้นางพรายตานี เพื่อให้คนในบ้านอยู่เย็นเป็นสุข และมีโชคลาภกับคนในครอบครัว บางทีมักนิยมนิมนต์พระสงฆ์ไปสวดมนต์ทำบุญให้ด้วย
เมื่อพ่อหมอหรือผู้ทำพิธีพลีพรายตานี ดำเนินการเสร็จแล้ว จะมีการนำดอกในปลีกล้วยไปตากแดดให้แห้ง แล้วบดให้เป็นผงเพื่อนำไปผสมกับผงอิธเจ คือ ผงดินสอขาวที่ลงยันต์ไว้ จากนั้นเมื่อผสมกันแล้ว ให้นำไปใช้ในทางเมตตามหานิยม ทำให้เกิดเสน่ห์ หรือบางทีก็เอาดอกในปีกล้วยไปใส่ไว้ในตลับสีผึ้งทาปากที่ปลุกเสกเรียบร้อยแล้ว โดยใช้สำหรับทาปากเพื่อให้เกิดเสน่ห์เมตตามหานิยมเช่นเดียวกัน ซึ่งเชื่อกันว่าเมื่อใช้สีผึ้งนี้ทาปาก เมื่อพูดสิ่งใดก็มีเสน่ห์ ทำให้ผู้ใหญ่เมตตา ถ้าเป็นผู้หญิงใช้ก็จะทำให้เกิดความรักขึ้นมาทันที หรือหากทาสีผึ้งนี้แล้วไปพูดกับผู้ชายคนใดก็จะเกิดความรักและหลงในทันทีเช่นกัน
หากชายหนุ่มโสดที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนางตานี และมีความต้องการได้นางตานีเป็นคู่ครองจะมีการทำพิธีเซ่นวัก ซึ่งเป็นพิธีที่ทำขึ้นในเวลากลางคืนทุกคืนตามโอกาสที่อำนวยให้ โดยชายหนุ่มผู้ทำพิธี จะต้องมีการกล่าวคำเกี้ยวประเล้าประโลมพรายนางตานีและต้องทำไปเรื่อยๆ จนกว่านางตานีจะใจอ่อนและเห็นอกเห็นใจ แล้วเอามีดเฉือนโคนกล้วย ที่มีลักษณะเป็นเหมือนเหง้า เอามาก้อนหนึ่งเพื่อนำมาแกะสลักเป็นรูปผู้หญิง ใส่ตลับหรือภาชนะอื่นไว้ โดยต้องมีการทำพิธีเซ่นวักทุกคืน หลายๆ คืนติดต่อกัน แล้วพรายนางตานีก็จะปรากฏร่างให้เห็นในความฝัน ซึ่งเป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงาม และนางจะยอมเป็นเมียของชายหนุ่มผู้นั้นในความฝันเหมือนกัน
เมื่อชายหนุ่มได้นางตานีเป็นเมียแล้ว แม้จะเป็นเพียงในความฝัน แต่ชายคนนั้นจะไปมีเมียอื่นไม่ได้ ถ้าไปมีคนอื่นมักจะเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หากต้องการมีหญิงอื่นจริงๆ จะต้องมีการขออนุญาตนางตานีเสียก่อน เมื่อนางตานี เห็นว่าสามีไม่ปิดบังความจริง ก็จะอนุญาตให้มีคนใหม่ได้ แถมยังช่วยเหลือเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จตามที่สามีต้องการด้วย โดยไม่มีการหึงหวง แต่หากไม่ได้บอกก่อนนี่สิ ชีวิตอาจจะไม่รอดก็เป็นได้ เพราะนางตานีมีความหึงหวงแรงนั่นเอง
คนสมัยก่อนเชื่อว่า ชายใดที่ได้นางตานีเป็นเมีย มักจะมีอันเป็นไป เพราะพลังทั้งสองฝ่ายจะสามารถถ่ายทอดไปถึงกันและกัน ซึ่งนางตานีเป็นผู้หญิงคือ พลังหยินเป็นน้ำ ส่วนฝ่ายชายเป็นหยางหรือไฟ ซึ่งนางตานีพลังหยินในร่างกายอ่อนมาก ดังนั้นต้องอาศัยพลังหยางจากฝ่ายชาย เพื่อทำให้เกิดความสมดุล เมื่อฝ่ายชายมีการถ่ายทอดพลังไปสู่นางตานีประจำ จะทำให้เป็นอันตรายต่อฝ่ายชายได้นั่นเอง
โดยสังเกตง่ายๆ สำหรับผู้ชายคนที่มีคู่ครองเป็นนางตานี และถ่ายทอดพลังชีวิตให้นางตานีอยู่เป็นประจำ สังเกตได้ว่าลักษณะร่างกายจะซูบผอม แก้มตอบเหมือนคนอดอาหาร ซึ่งชาวบ้านสมัยก่อนจะรู้ทันทีว่าคนนั้นมีเมียเป็นนางตานี ก็จะนิมนต์พระภิกษุ หรือเชิญหมอผีที่มีวิชาอาคมแก่กล้ามาทำพิธีกรรมให้ทั้งสองฝ่ายแยกทางกัน พร้อมทั้งอุทิศส่วนกุศลให้นางตานีไปสู่สุคติ ปัจจุบันความเชื่อเกี่ยวกับตำนานของผีนางตานี จะมีอยู่จริงหรือไม่นั้น คงไม่สำคัญเท่ากับว่าทุกชีวิตไม่ต้องการการถูกเบียดเบียน ฉะนั้นทั้งผีและคนควรต่างคนต่างอยู่ เพราะภพชาติและสภาพของร่างกายต่างกัน ฉะนั้นไม่ควรจะไปยุ่งเกี่ยวกันและกัน เพื่อให้ปลอดภัยทั้งกับชีวิตตนเองและคนในครอบครัวจะดีที่สุด