เครื่องรางลูกอมนั้นมีกันสร้างมาตั้งแต่สมัยโบราณโดยเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณมนต์คาถาเพื่อมอบให้แก่ศิษย์ไว้ใช้ในยามออกศึกสงคราม คือลูกอมสมัยก่อนนั้นใช้อมในปากจริง ๆ และใช้ในด้านอยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดปลอดภัยในสนามรบเป็นหลัก
ต่อมาบ้านเมืองไทยไม่ได้อยู่ในยุคสงครามฟันแทงกันแล้ว และคนส่วนมากก็สนใจอยู่ 2 อย่าง คือด้านปากท้องความเป็นอยู่ และด้านกามารมณ์ทั้งหลาย ทุกวันนี้จึงมีเครื่องราง 2 สายหลัก ๆ ที่ยังยืนหยัดอยู่ นั่นคือ สายทำมาหากินหรือสายโชคลาภค้าขายส่งเสริมการงานดีเงินดีเป็นต้น และสายมหาเสน่ห์มหานิยม มหาเมตตา หรือจะเรียกให้หยาบหน่อยคือสายใต้สะดือนั่นเอง สายนี้เน้นเรื่องนี้โดยเฉพาะเลย
ลูกอม เมื่อผ่านยุคออกรบฟันแทงกันแล้วก็ไม่ได้ถูกนำมาอมเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังมีเกจิอาจารย์สร้างกันอยู่ โดยมากหากไม่ได้ตั้งใจสร้างจริง ๆ ก็สร้างจากเนื้อมวลสารที่เหลือจากการสร้างพระเครื่องในวาระนั้น ๆ
พุทธคุณของลูกอมนั้นอาจจะแบ่งได้เป็น 3 สาย ได้ สายเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์, สายโชคลาภค้าขายดี, และสายแคล้วคลาดคงกระพันชาตรี
มวลสารที่นำมาสร้างลูกอมนั้น โดยมากเป็นเนื้อมวลสารเดียวกับที่เกจินั้นสร้างพระเครื่อง ก็อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เมื่อพระเกจิอาจารย์สร้างพระเครื่องเนื้อผงแล้ว เห็นว่ามวลสารยังเหลืออยู่จึงได้นำมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ แล้วนำเข้าปลุกเสกพร้อมกับพระเครื่อง เรียกวัตถุมงคลก้อนกลม ๆ นั้นว่า ลูกอม
ลูกอมบางสำนักสร้างด้วยเนื้อผงพุทธคุณ เนื้อว่านมงคลต่าง ๆ ผงที่ได้จากการลบยันต์ต่าง ๆ แต่บางสำนักเล่นหนักไปกว่านั้น นำส่วนผสมที่เรียกว่าพรายมาเป็นส่วนผสมในการจัดสร้างลูกอมด้วย
ลูกอมสายพรายที่ขึ้นชื่อมีอยู่ 2 สำนัก ได้แก่ลูกอมผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง กล่าวกันว่า เป็นสุดยอดลูกอมผงพรายสายพระเกจิอาจารย์
ส่วนอีกสำนัก ได้แก่ ลูกอมพราย อ.เปล่ง บุญยืน เกจิอาจารย์ฆราวาสแห่งจังหวัดสุรินทร์ กล่าวกันว่าเป็นสุดยอดลูกอมสายพรายสายฆราวาส เชื่อกันว่าลูกอมพรายสำนักนี้ แรง เร็ว อธิษฐานอะไรก็ได้เร็ว เด่นด้านเมตตามหาเสน่ห์ยิ่งนัก และช่วยในด้านการทำมาค้าขายหากินอีกด้วย