เรื่องมีอยู่ว่า โพธิราชกุมาร สั่งให้นายช่างสร้างปราสาทที่ไม่เหมือนหลังไหนในโลกชื่อว่าโกกนุท (เป็นชื่อบัวชนิดหนึ่ง บัวหลวงสีแดง หรือบัวหลวงสีชมพู ดอกใหญ่ ดอกตูมมีทรงเป็นรูปไข่ ปลายเรียว ปราสาทจึงน่าจะมีรูปร่างคล้ายดอกบัวที่โผล่ขึ้นจากน้ำลอยอยู่ในอากาศ) เป็นปราสาทที่มีรูปทรงที่สวยงามปานว่าลอยอยู่บนอากาศ แล้วตรัสถามนายช่างว่าเคยสร้างปราสาทที่สวยงามขนาดนี้ที่ไหนมาก่อนไหม หรือเพิ่งจะสร้างที่นี่เป็นครั้งแรก
เมื่อทราบว่านายช่างเพิ่งจะสร้างปราสาทที่สวยงามปานนี้ให้ตนเป็นที่แรก พระองค์จึงดำริว่า ถ้านายช่างคนนี้ไปสร้างปราสาทแบบนี้ที่อื่นอีก ปราสาทก็จะไม่เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความอัศจรรย์อะไรเลย การที่เราฆ่านายช่างคนนี้ หรือตัดมือตัดเท้าควักนัยน์ตาของเขาออกไปเสีย เขาก็จะได้ไม่ไปสร้างปราสาทที่อื่นอีก
แต่แผนการนี้ได้ล่วงรู้ถึงมาณพหนุ่มผู้เป็นพระสหายคนสนิทของโพธิราชกุมาร มาณพคนนี้จึงคิดว่า นายช่างที่มีความสามารถขนาดนี้จะหาได้ที่ไหน เขาไม่ควรที่จะมาตายเพราะเหตุนี้ เขาจึงได้เข้าไปหานายช่างนั้นบอกความที่โพธิราชกุมารจะฆ่าเขา นายช่างได้ทราบดังนั้นก็กล่าวขอบคุณและพูดว่าข้าพเจ้าจะทำในสิ่งที่ควรทำ
ต่อมา โพธิราชกุมารได้เสด็จมาถามนายช่างว่า “งานที่ปราสาทสำเร็จแล้วหรือยัง”
นายช่าง : ข้าแต่สมมติเทพ งานที่ปราสาทยังไม่สำเร็จ ยังเหลืออีกมากพระเจ้าข้า
โพธิราชกุมาร : ท่านต้องการสิ่งใดเพิ่ม
นายช่าง : ข้าพระองค์ต้องการไม้แห้งเนื้อเบา อนึ่ง ต่อไปนี้จะเป็นงานละเอียดอ่อน ขอพระองค์อย่างเพิ่งเสด็จมา จะทำให้ข้าพระองค์ขาดสมาธิในการทำงานได้ ส่วนอาหารนั้นให้ภรรยาของข้าพระองค์เป็นคนนำมาส่ง
แต่นั้น นายช่างก็ใช้ไม้เหล่านั้นแอบทำเครื่องร่อนมีรูปร่างคล้ายนก มีที่นั่งพอสำหรับเขาและบุตรภรรยา และสั่งให้ภรรยาของเขาขายเครื่องใช้ทุกอย่างเปลี่ยนเป็นเงินและทองเท่านั้น
ฝ่ายโพธิราชกุมาร กลัวว่านายช่างจะแอบหนี จึงสั่งให้ทหารล้อมเรือนนายช่างไว้ เมื่อเครื่องร่อนรูปนกเสร็จแล้ว นายช่างจึงเรียกบุตรและภรรยามานั่งในท้องนกบินร่อนหนีออกทางหน้าต่างฝ่าวงล้อมของเหล่าทหารไปได้ แล้วไปสร้างที่อยู่ใหม่
เรื่องนี้ หากพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ก็เป็นไปได้เหมือนกัน เนื่องจากปราสาทที่นายช่างสร้างมีความสวยงามดุจลอยอยู่บนอากาศ จึงเข้าใจว่าปราสาทน่าจะสูงหลายชั้น นายช่างอ้างว่ายังมีสิ่งที่ต้องทำในปราสาทซึ่งเป็นงานละเอียดอ่อนห้ามใครขึ้นมารบกวน จึงเข้าใจว่านายช่างแอบทำเครื่องร่อนรูปนกบนปราสาทชั้นสูงสุด เมื่อทำเสร็จแล้วจึงนั่งบนเครื่องร่อนหนีออกมาทางหน้าต่าง
ส่วนที่ว่า โพธิราชกุมาร สั่งทหารล้อมเรือนนายช่างไว้ เข้าใจว่านายช่างเองก็พักบนปราสาท หรือมีบ้านพักชั่วคราวอยู่ใกล้ปราสาท เมื่อนายช่างแอบทำเครื่องร่อนบนปราสาทอยู่มีแต่ภรรยาของเขาเท่านั้นซึ่งทำหน้าที่ส่งอาหารที่จะขึ้นไปได้ เมื่อเครื่องร่อนเสร็จแล้วจึงให้ภรรยาพาลูกขึ้นไปด้วย
ผมว่าเรื่องนี้ยังมีความน่าเป็นไปได้มากกว่าเรื่องของอิคะเริสที่ใช้ขนปีกนกนางนวลเย็บด้วยขี้ผึ้งทำเป็นปีกบินหนีออกมาจากหอคอย ในเรื่องเล่าว่าเขาสามารถบินออกมาได้ แต่มันเป็นการท้าทายเทพอพอลโล่ พระองค์จึงเร่งแสงของดวงอาทิตย์ให้ร้อนขึ้น ๆ จนกระทั่งปีกขี้ผึ้งของอิคะเริสละลาย และอิคะเริสก็ตกลงมาตาย (หมายความว่า เขาบินขึ้นสูงเกินไป จนถูกแสงอาทิตย์แผดเผาขี้ผึ้งละลาย)
ต่อมา ในปี ค.ศ. 1060 บาทหลวงไอส์เมอร์ ชาวอังกฤษ สงสัยจะอ่านตำนานของอิคะเริสมากเกินไปจึงได้เลียนแบบโดยการติดปีกที่แขนขาของตนเอง แล้วกระโดดลงมาจากยอดหอในมังเมสบิวรี โชคร้ายไม่เหมือนที่คาดฝันไว้ ร่างของเขาหล่นลงมากระแทกพื้นดิน แขนและขาทั้งสองข้างหักทันที
ส่วน ในปี ค.ศ. 1853 จอร์จ เคย์ลีย์ วิศวกรชาวอังกฤษเป็นคนแรกที่มีความเห็นว่าการใช้ปีกบินเลียนแบบนกไม่ได้ผล เขาจึงสร้างเครื่องร่อนขึ้นมา โดยให้คนขับรถม้าเสี่ยงตายทดลองบิน แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะคนขับรถม้าไม่กล้าเสี่ยงอีกต่อไปจนต้องลาออก
ปี ค.ศ.1891-96 ออตโต ลิเลียนธัล ชาวเยอรมันพยายามพัฒนารูปแบบเครื่องร่อนของเคย์ลีย์ เขาใช้ไม้เนื้อเบาประเภทนุ่นมาเป็นโครงในการยึดผืนผ้าใบ และใช้เนินดินสูงเป็นลานในการบินร่อน ออตโต เขาพยายามทดลองนับพันครั้ง แต่แล้วเขาพลาดและจบชีวิตลง เมื่อการทดลองครั้งสุดท้ายในวันที่มีลมกรรโชกทำให้ผืนผ้าใบที่แสนจะบอบบางขาดในที่สุด
จนใน ปี ค.ศ.1903 สองพี่น้องตระกูลไรท์ ชาวอเมริกันได้ประดิษฐ์เครื่องบินขึ้นเมื่อว่างจากการทำธุรกิจจักรยาน ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่ขึ้นบินและร่อนลงสู่พื้นได้ปลอดภัยภายใต้การควบคุมของนักบิน แต่ในการทดลองบินนั้นใช้เวลาบินจริงไม่ถึงนาที และระยะทางบินไม่กี่เมตร
ที่มา เรื่องโพธิราชกุมาร
เรื่องนี้มีภาคต่อ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ กรรมที่ทำให้ไม่มีบุตร โทษของปาณาติบาต โทษของความประมาท