“คำสาป” หมายถึง คำพูดที่ถูกเปล่ง ออกเพื่อให้เป็นไปต่างๆ ตามต้องการของผู้มีฤทธิ์มีอำนาจ เช่น เทวดา ฤๅษี ..
ส่วน “คำแช่ง” นั้นหมายถึง คำพูดที่ผู้พูดกล่าวด้วยประสงค์ร้ายมุ่ง ให้เกิดสิ่งเลวร้ายขึ้นกับ ฝ่ายตรงข้าม หรือประสงค์ให้ผู้อื่นที่ตนเองไม่ชอบใจ ให้เป็นอันตรายอย่างร้ายแรง ตามความต้องการของตนเอง
เมื่อนำคำพูดทั้งสองคำมารวมกันแล้วก็จะได้ความหมายว่า คำพูดที่เปล่งออกไป โดยอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ลงโทษฝ่ายตรงข้ามขอให้มีอันเป็นไปหรือเกิดอันตรายอย่างร้ายแรง
มีความเชื่อสืบต่อกันมาว่า คำสาปแช่งจะมีผล ก็ต่อเมื่อผู้สาปแช่งเป็นคนดี มีศีลธรรมสาปแช่งเพื่อพิทักษ์ รักษาความดีเอาไว้ไม่ให้ถูกคนชั่วทำลายเสีย
“”ผู้ถูกสาปแช่งเป็นคนไร้ศีลไร้สัจจะ หรือมีความผิดจริงคำสาปนั้นจะมีผล “”
ถ้าไม่เช่นนั้นแม้ จะสาปแช่งนานเพียงใดก็ไร้ผล
ตำนานการสาปแช่ง
ในอดีต มีพระดาบสสองรูป รูปหนึ่งชื่อ เทวละ อีกรูปหนึ่งชื่อ นารทะ ได้เข้าไปขอพักอาศัย อยู่ที่โรงงานปั้นหม้อดิน ซึ่งเจ้าของโรงงานก็อนุญาตโดยดี โดยเทวลดาบสได้เข้ามาขอพักก่อน ต่อมาในวันเดียวกันนารทดาบสก็มาถึง และเข้าไปขอพักอาศัยด้วย พระดาบสทั้งสอง ได้สนทนาทำ ความรู้จักกันตามสมควรแล้ว พอถึงเวลาจะนอน นารทดาบส ก็สังเกตเห็นว่าดาบสอีกรูปหนึ่งนอนที่บริเวณใกล้ประตูทางออก เผื่อว่าตนออกมาทำธุระส่วนตัว จะได้ไม่ต้องเดินผ่านไปใกล้ท่าน จากนั้นก็นอน
ส่วนเทวลดาบส เวลาจะนอนกลับไม่นอนในที่ที่เดิม ขยับออกไปนอนขวางประตูเอาไว้ พอตกกลางดึก นารทดาบสลุกเดินออกไปห้องน้ำ ก็เหยียบเอาที่ชฎาของเทวละเข้า ทำให้แกร้องเอะอะโวยวายว่า ใครเหยียบเรา นารทะก็บอกว่า” ผมนารทะเองครับท่าน”
“คุณมาจากป่าแล้วถือดียังไงถึงได้มาเหยียบชฎาเรา”
“ผมไม่ทราบว่าท่านนอนหันศีรษะมาทางนี้ เพราะก่อนนอนเห็นท่านนอนอยู่ด้านโน้น ผมขอโทษ”
ในขณะที่เทวลดาบสกำลังบ่นพึมพำคล้ายคนหัวเสียเพราะถูกเหยียบชฎา นารทดาบสก็ออกไปข้างนอกเพื่อทำธุระส่วนตัว เทวลดาบสคิดว่า ต้องย้ายที่นอนใหม่ ไม่อย่างงั้นต้องโดนมันเหยียบอีกแน่
เสร็จแล้วก็ลุกขึ้น หันศีรษะไปอีกทางหนึ่ง นารทะกลับเข้ามาก็คิดว่า เมื่อสักครู่ท่านเทวละนอนหันศีรษะมาทางนี้ เดี๋ยวเราต้องเดินไปทางปลายเท้าท่านจะเหมาะกว่า จึงเดินหลบไปอีกทางหนึ่ง
แต่พอเดินไปได้ไม่ไกลก็เหยียบที่คอของเทวละเข้าอีกจนได้ เสียงเทวละร้องเอะอะโวยวายลั่นโรงงาน เมื่อตอนก่อนออกไปท่านเหยียบชฎา เราก็พอทน แต่พอกลับเข้ามากลับมาเหยียบที่คออีก “เราทนไม่ไหวแล้วเราขอสาปแช่งท่าน”
“ท่านครับ ผมขอโทษ ผมไม่มีเจตนาจริงๆ และก็ไม่รู้ว่าท่านนอนหันศีรษะกลับไปอีกทางหนึ่ง อย่าให้ถึงกับต้องมีการสาปแช่งกันเลยครับ และไม่ได้ต้องแช่งเพื่อเป็นการสั่งสอนให้ได้สำนึก”
จากนั้นเทวละก็กล่าวคำสาปแช่งนารทะว่า “พระอาทิตย์ มีรัศมีแผ่กว้างออกไปได้ตั้งหนึ่งพันเท่า มีเดชกำหนดได้หนึ่งร้อยเท่า สามารถกำจัดความมืดได้ พรุ่งนี้เช้า พอพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมา ขอให้ศีรษะของท่านจงแตกออกเจ็ดเสี่ยง”
นารทะ กล่าวว่า “ท่านครับ ผมบอกท่านแล้วว่า ผมไม่มีความผิดอะไร เพราะไม่มีเจตนา ท่านก็ยังสาปแช่ง ถ้าอย่างนั้น หากใครมีความผิด ศีรษะของผู้นั้นจงแตก”
จากนั้นนารทะก็ได้สาปแช่งกลับบ้าง แต่เนื่องจากพระนารทดาบสเป็นผู้ทรงศีลมีตบะบำเพ็ญบุญบารมีมานานจนบุญญาธิการแก่กล้า พอเปล่งวาจาออกมักเป็นไปตามนั้น ดังนั้น ท่านนารทะจึงมาทบทวนว่า
ใครจะเป็นผู้ที่ต้องคำสาปกันแน่ ก็รู้ว่าเป็นท่านเทวละแน่นอน ทันใดนั่นเองความเมตตาก็เกิดขึ้นภายในจิตใจของท่าน เกรงว่าศีรษะของท่านเทวละจะต้องแตกเพราะเรื่องเพียงเท่านี้เอง
ประชาชนเดือดร้อนตลอดถึงพระราชา
พอก่อนรุ่งอรุณ ท่านนารทะจึงได้ห้ามพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกำลังของอิทธิฤทธิ์ ชาวเมืองเห็นว่าได้เวลาสว่างแล้ว แต่พระอาทิตย์ไม่ขึ้นก็ร้อนใจ เข้าไปเฝ้าพระราชาทูลถามถึงเหตุที่เป็นอาเพศเช่นนั้น พระราชาจึงตรวจดูงานราชกิจของพระองค์ทุกอย่างก็ไม่ขาดตกบกพร่อง ในที่สุดได้ทราบความจริง ที่เกิดขึ้นทั้งหมด จากนั้นก็เสด็จไปพบพระดาบสทั้งสอง พร้อมกับมีดำรัสกับนารทะว่า “ท่านนารทะ ชาวบ้านชาวเมืองลำบาก ทำงานไม่ได้ เวลานี้โลกมืดสนิท เป็นเพราะเหตุใด ขอให้ท่านช่วยบอกหน่อยเถอะว่า จะหาวิธีแก้ไขอย่างไร”
“มีอยู่ทางเดียวคือ ให้เทวละขอโทษอาตมา แล้วทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ”
วิธีแก้คำสาปแช่ง
เทวละเป็นคนดื้อรั้นไม่ยอมขอโทษไม่ยอมรับเงื่อนไขทุกอย่าง พระราชาจึงรับสั่งให้ทหารจับมาก้มกราบนารทะ ท่านนารทะจึงยอมยกโทษให้ และทูลพระราชาว่า “เทวละ ยอมขอโทษแบบไม่เต็มใจ ถึงยังไงศีรษะก็ต้องแตกแน่นอน ถ้าพระอาทิตย์ขึ้น เอายังงี้ก็แล้วกัน ที่นอกเมืองมีสระน้ำอยู่ ให้ท่านใช้ดินเหนียวก้อนโตๆ เกือบเท่าศีรษะทูนไว้บนหัว แล้วให้ท่านลงไปแช่อยู่ในน้ำ พออาตมาคลายฤทธิ์แล้วพระอาทิตย์ก็จะขึ้น จากนั้นก้อนดินที่ศีรษะก็จะแตก พร้อมกับให้ท่านดำลงไปในน้ำแล้ว ไปโผล่เสียที่อื่น เพียงเท่านี้ก็จักไม่มีอันตรายแก่เทวละเลย”
เมื่อได้ปฏิบัติตามที่นารทะแนะนำทุกอย่าง ทันทีที่แสงเงินแสงทองตั้งขึ้น ก้อนดินที่ตั้งอยู่บนศีรษะ ของเทวละก็แตกแยกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง เทวละก็พ้นจากอันตรายพ้นจากคำสาปอาถรรพณ์ทันที พร้อมกับการสำนึกได้ว่า ได้ทำผิดพลาดไป”…
ที่มา : ชมรมอนุรักษ์ผงสมเด็จ นาก บางกอก
ความรู้และข้อคิดในเรื่องนี้
- การสาปแช่งมีมาทุกยุคสมัย มีมาแต่โบราณ
- เมื่อก่อนนักบวชไม่ได้อยู่ประจำในวัดเสมอไป เมื่อเข้าไปในเมืองก็พักในบ้านบ้าง ในสวนบ้าง
- การนอนไม่เป็นที่นำมาซึ่งโทษ
- เมื่อก่อนพระราชาเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง
- เมื่อเกิดเหตุไม่ดีขึ้นกับบ้านเมือง พระราชาจะตรวจดูงานราชกิจของพระองค์ว่ามีอะไรบกพร่องไหม นอกจากนั้นยังให้ชาวเมืองช่วยตรวจสอบด้วย (แบบนี้คือพระราชาในฝัน ทรงพระเจริญ)
- การเป็นคนดื้อรั้นนำมาซึ่งโทษ
- ในเรื่องนี้ ถ้าเทวละเต็มใจขอโทษก็เรื่องคงจบแค่นี้ เมื่อเทวละไม่ได้เต็มใจขอโทษ แต่คำสาปก็เบาบางลง มีกำลังน้อย จึงทำเป็นกลอุบายการนำดินเหนียวก้อนโต ๆ เกือบเท่าศีรษะทูนไว้บนหัว แล้วให้ท่านลงไปแช่อยู่ในน้ำ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก้อนดินที่ศีรษะก็จะแตก พร้อมกับให้ท่านดำลงไปในน้ำแล้ว ไปโผล่เสียที่อื่น