เวลาที่สาวๆ รู้สึกหมดกำลังใจ ท้อแท้ โดยเฉพาะอาการหมดไฟในการทำงาน จะหาทางแก้ปัญหานี้อย่างไรกันบ้างคะ และนี่ก็คือประเด็นที่แก้วใสอยากพูดถึงมากๆ โดยวันนี้จะขอหยิบเอาประสบการณ์จากชีวิตของแก้วใสเองมาเล่าสู่กันฟัง
เมื่อหลายปีก่อน… สมัยที่แก้วใสยังเป็นวัยรุ่นหัวใส ในช่วงวัยที่กำลังเรียกว่า มีไฟ มีฝัน มีพลังในการคิดและลงมือทำทุกสิ่งที่เราคาดหวังด้วยประกายพลังแห่งความมุ่งมั่น ทะเยอทะยานสูง เหมือนเราจุดพลุปุ้ปประกายไฟก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในพริบตาทันทีทันใด ใช่แล้วค่ะ ช่วงวัยสาวๆ (แหม… พูดไปก็ดูเหมือนวัยตัวเองแก่มากขึ้นยังไงไม่รู้แฮะ จริงๆ ตอนนี้แก้วใสยังไม่แก่น้าา.. >_<) คือ ในช่วงวัยที่อายุเรา 20 ต้นๆ เวลาเราฝันอยากทำสิ่งใด เมื่อตอนลงมือแล้วเราจะทุ่มเททำแบบไม่มีวันย่อท้อหรือยอมแพ้ได้ง่ายๆ เลย ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะยากเพียงใดก็ตาม สำหรับเส้นทางในการเขียนหนังสือของแก้วใสก็เช่นเดียวกัน ส่วนตัวก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่าเรามีความมุ่งมั่น มีไฟในการทะเยอทะยานไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
จนกระทั่งวันที่รุ่นพี่บก.ที่แก้วใสเคารพ(รัก)มากๆ คนหนึ่ง แก้วใสและพี่เค้าสนิทกันมากค่ะ มีอะไรจะปรึกษากันตลอดและร่วมมือหารือเพื่อทำโปรเจกต์หนังสือร่วมกัน หลายครั้งพี่บก.มักจะโทร.มาพูดคุยกับแก้วใสอยู่เสมอ นอกจากการได้ปรึกษาหารือกันเรื่องงานหนังสือแล้ว สิ่งที่ทำให้แก้วใสประหลาดใจก็คือ คำพูดที่พี่เขาบอกว่า ‘วัยของเขามันเริ่มหมดไฟแล้ว แต่การได้โทร.คุยกับน้องๆ เวลาได้ฟังเสียงน้องๆ ที่มีฝันมีไฟมากกว่า มันพลอยทำให้พี่ได้รับพลังอย่างมหาศาลกลับมาด้วยพร้อมกันเสมอ’ ฟังแล้วก็รู้สึกดีใจและยิ้มเลยค่ะ แต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งกับประโยคนี้มากมายเท่าไรนัก จนกระทั่งแก้วใสได้มาเจอเหตุการณ์นี้ขึ้นกับตัวเอง
หลายวันมานี้… แก้วใสรู้ดีว่าสังขารเรามันเดินมาไกลมากแล้ว จากวัยช่วง 20 ต้นๆ จนเกือบจะเข้าวัย 20 ปลายๆ (แต่ยังไม่แก่นะจ๊ะ ^^) ด้วยความที่เป็นคนสนุกกับการทำงานมากและด้วยความที่สนุกมาก มีงานมาก ยิ่งมีงานทำมากก็ยิ่งรู้สึกขลุกกับมันจนไม่อยากถอนตัวออกมาสักแม้แต่นาทีเดียว ไม่อยากหลับ ไม่อยากนอน ไม่อยากกินข้าวกินปลาอาบน้ำด้วยซ้ำ(ขนาดหนัก) แต่เมื่อเรายิ่งสนุกกับมันจนไม่ได้แบ่งเวลาพักผ่อนเลย ทำให้สุขภาพของเราอ่อนแอ สภาพจิตใจก็เริ่มอ่อนกำลัง เหมือนแบตเตอรีภายในมันเริ่มหมด พลังใจหรือไฟฝันในช่วงแรกๆ ที่เคยทำงานสนุกเริ่มพ่วงมาพร้อมสภาวะร่างกายที่อ่อนล้า โรยแรง เคยแอบคิดและท้อนิดๆ ว่าเราเลือกทางเดินของอาชีพนี้แล้ว หากวันนี้เรายังอายุไม่มากแต่เรากลับปวดล้าร่างกายและมีกำลังใจถดถอยลงเรื่อยๆ แบบนี้จะทำยังไง คงไม่ดีแน่.. หากปล่อยเอาไว้ให้เป็นต่อไป เพราะเราอาจจะสะสมความเครียดอย่างลำพัง กลายเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้าเรื้อรังได้แบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้
เพราะยิ่งผ่านช่วงวัยของอายุมาหลายปี ยิ่งเราเริ่มโตเข้าสู่คำว่า ‘ผู้ใหญ่’ ภาระปัญหาต่างๆ มันทำให้ชีวิตเราต้องอยู่อย่าง ‘แบก’ ความรับผิดชอบหลายต่อหลายอย่าง บวกกับการทำงานที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แน่นอนว่าไฟในตอนแรกที่เคยปะทุพุ่งสวยราวพลุประดับฟ้าในยามที่เราจุด ในเวลานี้มันเริ่มริบหรี่ลงเสียแล้ว น่าใจหายทีเดียว… แก้วใสรู้สึกเคว้งคว้างและใจหายกับตัวเองเงียบเชียบ
จนกระทั่งไม่กี่วันมานี้ก็มีน้องคนหนึ่งเข้ามาในชีวิตค่ะ น้องคนนี้ทำให้มุมมองชีวิตที่เคยโดดเดี่ยวอ้างว้างหายไป อาการหมดไฟกลับมาเริ่มมีพลังอีกครั้ง น้องคนนี้เป็นนัก(อยาก)เขียนที่ชื่นชอบหนังสือของแก้วใสอย่างมาก เธอเป็นแฟนคลับหนังสือโดยมีแก้วใสเป็นไอดอล ฟังแล้วช่างน่าปลื้มใจไม่น้อย น้องแฟนคลับคนนี้พยายามติดต่อเข้ามาพูดคุยกับแก้วใส โดยพยายามหาช่องทางสื่อสารอยู่เป็นเวลา 2 วันกระทั่งได้เข้ามาพบเฟสบุคและได้แอดคุยกัน
จากการสนทนากับน้อง ทำให้ประโยคของรุ่นพี่บก.คนนั้นลอยมาสะกิดความรู้สึกในใจอีกครั้ง ประหนึ่งแสงจากไฟฉายส่องลอดเข้ามายังอุโมงค์ที่มีตัวเราซ่อนอยู่ภายในหลืบมุมหนึ่งมุมใด จนทำให้เราค้นพบประตูทางออก นาทีนั้น.. แก้วใสร้องอ๋อและเข้าใจประโยคนี้ของพี่ชายบก.อย่างทันทีทันใด เพราะทุกๆ วัน น้องแฟนคลับมักจะมาพูดคุยทักทายแก้วใสด้วยคำพูดที่สดใส น่ารัก คำพูดของน้องที่สะท้อนแต่สิ่งดีๆ ในประโยคสนทนา มันล้วนคือกำลังใจที่ผลักดันแก้วใสให้ฟื้นคืนพลังอีกครั้ง วันนี้ยิ่งแก้วใสพูดคุยกับน้องมากเท่าไร แม้จะเป็นการคุยผ่านแชทก็ตาม แม้จะแค่อ่านจากตัวอักษรที่พิมพ์โต้ตอบกันไปมา แต่หากใช้หัวใจอ่านก็ทำให้ซึมซับได้ล้ำลึกค่ะว่า ถ้านี่คือคำพูดที่เปล่งจากปาก เสียงของน้องคนนี้จะต้องสดใสเจื้อยแจ้วทำให้เราได้ยินแล้วต้องยิ่งรู้สึกสดใสมีพลังตามไม่น้อยแน่นอน ความรู้สึกราวกับพี่บก.คนนั้น ที่มักโทร.มาฟังเสียงแก้วใสบ่อยๆ เพราะเสียงเรามันสดใส มีชีวิตชีวา นั่นคือ สิ่งที่พี่ชายบอกเอาไว้ก่อนวางสายว่า ‘การได้คุยกัน ได้ยินเสียงใสๆ จากแก้วที่มีไฟมากกว่า มันทำให้พี่ฟังแล้วอารมณ์ดี สดใสขึ้นตามและมีพลังใจ มีไฟกลับมาลุยงานได้อีกครั้ง’
ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่แก้วใสกำลังมองหาเด็กปั้นเป็นนักเขียนภายในสังกัดทีมงานของแก้วใส โดยมีชื่อโครงการเก๋ไก๋ว่า โครงการปั้นนักเขียนไอเดียใส และบังเอิญที่น้องแฟนคลับคนนี้รักการเขียนเท่าชีวิตจิตใจและยินดีอย่างมากหากแก้วใสจะเปิดรับน้องเข้ามาร่วมงานด้วยกัน และแล้วความบังเอิญก็กลายเป็นความลงตัว น้องสาวได้เข้ามาเป็นนักเขียนภายใต้ทีมงานของแก้วใสจริงๆ โดยมีแก้วใสช่วยสอนงานเขียนให้ และที่ทำให้ชีวิตแก้วใสกลับมายิ้มได้อีกครั้งก็คือ ช่วงหลังนี้ พอได้มีโอกาสร่วมงานเขียนกับน้องคนนี้ ทำให้แก้วใสมองเห็นช่วงวัยในอายุ 20 ต้นๆ ของตัวเองสะท้อนออกมาจากน้องสาวแฟนคลับคนนี้ ที่มักจะมาพูดคุยทักทายและให้กำลังใจกันผ่านตัวหนังสือ ด้วยประโยคที่ปลุกพลังให้เราสดใสตาม แก้วใสคุยกับน้องเขาทีไรรู้สึกไฟในตัวเริ่มหวนสู่หัวใจอีกครั้งและอีกครั้งได้เรื่อยๆ และแล้วก็ ร้องอ๋อ.. อย่างนี้นี่เองสินะการที่เราได้อยู่ใกล้สิ่งใด เราก็จะซึมซับสิ่งนั้นๆ มา และหากเรารู้สึกหมดพลัง หมดไฟ การเดินออกมาหามาพูดคุยหรือปฏิสัมพันธ์กับคนที่มีไฟ มีพลังสดใส ตัวเราก็จะได้รับสิ่งนั้นสะท้อนกลับมาด้วย
วันนี้มีใครบ้างมั้ยคะ ที่มีอาการหมดพลัง หมดไฟจากการทำงาน จากการใช้ชีวิตต่างๆ หากมี.. จงมองหาคนรอบตัวสักคน ใครก็ได้ที่เขามีไฟมุ่งมั่นในสายตาคุณ คนที่มีบุคลิกกระตือรือร้น เป็นคนแอคทีฟอยู่ตลอดเวลาและเป็นคนมองโลกในแง่บวกอยู่เสมอ คนๆ นี้หากคุณอยู่ใกล้เขา รับรองค่ะว่าเขาจะถ่ายทอดอภิพลังชีวิตและพลังใจมาให้คุณได้ใช้สอยอย่างมหาศาลมากไม่น้อยทีเดียว แต่ต้องก้าวขาตัวเองออกมาจากกรอบจำเจเดิมๆ เสียก่อนนะคะ แล้วหมั่นมีปฏิสัมพันธ์กับคนประเภทนี้เป็นประจำบ่อยๆ รับรองค่ะว่าเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะพบกับสิ่งเปลี่ยนแปลงใหม่ที่จะช่วยพลิกชีวิตคุณให้กลับมาสดใสได้ดีอีกครั้ง เหมือนที่แก้วใสกำลังเป็นอยู่ในทุกวันนี้ยังไงละคะ ^__^