การให้ทาน เป็นหนึ่งในมงคลอันสูงสุด
การให้ทานย่อมเป็นมงคลอันประเสริฐ ถามว่าเหตุไรบุคคลจึงคิดให้ทาน แก้ว่าเพราะสาเหตุ ๒ ประการคือ
๑. มีปัญญาสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ
๒. มีความไม่โลภ
คำว่ามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ หมายถึงมีปัญญาพิจารณาเห็นบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์ในเบื้องหน้า เห็นว่าการให้ทานรักษาศีลภาวนาย่อมได้บุญกุศลนำมาซึ่งความสุข เห็นว่าการละเมิดศีลเป็นบาปนำมาซึ่งความทุกข์ ดังนี้ชื่อว่ามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เมื่อบุคคลอาศัยปัญญาสัมมาทิฏฐิและความไม่โลภคิดจะบริจาคทาน ทานนั้นย่อมจะมีผลมาก ถ้ามีคำถามว่าทานจะมีผลมากนั้นต้องประกอบด้วยสิ่งไรบ้าง ก็ตอบว่าสำหรับผู้บริจาคทานต้องประกอบด้วย เจตนาสัมปทา หมายถึงผู้บริจาคทานมีจิตศรัทธา เลื่อมใสในการให้ทานไม่เสียดายวัตถุข้าวของใน ๓ กาลคือ
เจตนาในการให้ทาน ทั้ง ๓ กาล
๑. บุพพเจตนา คือก่อนให้ทานก็มีความศรัทธาเลื่อมใสเตรียมพร้อมเตรียมตัวเตรียมการที่จะให้ทานด้วยความเบิกบานหรรษา
๒. มุญจนเจตนา คือขณะให้ก็ร่าเริงปิติศรัทธาไม่เสียดายสิ่งของสยิ้วนิ่วหน้า
๓. อปราปรเจตนา ครั้นเมื่อให้ทานผ่านไปแล้วเมื่อย้อนนึกถึงการให้ทานครั้งนั้นเมื่อใดก็เกิดปิติชื่นชมโสมนัสไม่รู้สึกเสียดาย
เมื่อเจตนาพร้อมทั้ง ๓ กาลคือก่อนให้ขณะให้หลังให้ ท่านเรียกว่า เจตนาสัมปทา คือถึงพร้อมด้วยเจตนา สำหรับวัตถุที่นำมาบริจาคต้องเป็นวัตถุที่ได้มาโดยบริสุทธิ์ ไม่ผิดศีลผิดธรรมได้มา ชื่อว่าวัตถุสัมปทา ฉะนั้นถ้าฝ่ายทายกคือผู้ให้ ถึงพร้อมด้วยองค์ ๒ ดังกล่าวมาข้างต้นคือเจตนาสัมปทาและวัตถุสัมปทา ย่อมทำให้ทานมีผลมากมีอานิสงส์มาก ยิ่งถ้าผู้รับเป็นพระอรหันต์เพิ่งออกจากสมาบัติย่อมจะมีผลทันตาเห็นภายในเจ็ดวันหรือภายในชาตินี้ สำหรับการให้ทานถ้าแบ่งตามผู้รับแบ่งได้เป็น ๒ คือ
ทาน ๒ ประเภท แบ่งตามผู้รับ
๑. ปาฏิปุคคลิกทาน คือการให้ทานที่เจาะจงตัวผู้รับตามความชอบใจของผู้ให้ทาน
๒. สังฆทาน คือการถวายทานแก่หมู่สงฆ์ไม่เจาะจงผู้รับ
ในทานทั้ง ๒ นั้นสังฆทานย่อมมีผลอานิสงส์ยิ่งใหญ่มากกว่าปาฏิปุคลิกทาน สำหรับปาฏิปุคลิกทานนั้นถ้าจะมีผลมาก ผู้ให้จะต้องถึงพร้อมด้วยเจตนาสัมปทา ทั้ง ๓ กาล ส่วนผู้รับก็ต้องประกอบด้วยองค์ ๓ คือ
ผู้รับทาน ประกอบด้วยองค์ ๓ มีอานิสงส์มาก
๑. ปราศจากราคะ หรือกำลังปฏิบัติเพื่อละราคะ
๒. ปราศจากโทสะ หรือกำลังปฏิบัติเพื่อละโทสะ
๓. ปราศจากโมหะ หรือกำลังปฏิบัติเพื่อละโมหะ
(ถ้าผู้รับทานไม่ได้ประกอบด้วยองค์ ๓ ก็มีอานิสงส์เช่นกัน แต่เป็นทานที่มีอานิสงส์น้อยกว่า)
สำหรับการถวายสังฆทานให้มีผลสมบูรณ์นั้น ให้บุคคลผู้ให้ทานตั้งจิตอุทิศทานว่าเราถวายทานบูชาแด่พระอริยเจ้า อย่าคิดว่าเราถวายทานแด่ภิกษุปุถุชน การถวายสังฆทานในปัจจุบันสมัยนี้มี ๒ แบบ คือ
๑. ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ คืออาราธนานิมนต์พระภิกษุสงฆ์มารับทานตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน
๒. ไปบอกขอนิมนต์พระภิกษุ ๑ รูป ๒ รูปหรือ ๓ รูปจากคณะสงฆ์ในอาวาสใดอาวาสหนึ่งโดยไม่จำเพาะเจาะจงว่าเป็นพระภิกษุรูปใด ทางคณะสงฆ์ก็จะจัดพระภิกษุตามคิวที่จัดกันไว้ในอาวาสมาให้เรา
อนึ่งเมื่อเราผู้ให้ทานนั้นไปขอภิกษุมารับสังฆทานแล้ว ทางคณะสงฆ์จะจัดส่งพระเถระมาก็ดี จัดส่งพระภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยก็ดี เราจงอย่าดีใจเสียใจว่าได้ภิกษุที่เราชอบหรือไม่ชอบ เพราะว่าถ้าเราดีใจหรือเสียใจจะไม่เป็นสังฆทาน ให้ทำจิตเป็นกลางไม่ดีใจเสียใจ แล้วตั้งใจอุทิศถวายทานบูชาแด่พระอริยเจ้า การให้ทานของเราก็จะเป็นสังฆทานสมใจ ด้วยว่าสังฆทานนี้มีผลมากมีอานิสงส์มากกว่าทานที่เจาะจงให้แก่คนที่เราชอบใจ พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงอานิสงส์แห่งทานเป็นลำดับขั้นไปดังนี้คือ
อานิสงส์ของการให้ทานมากน้อยตามผู้รับ
บุคคลให้ทานแก่สัตว์เดียรฉาน ๑๐๐ หน ไม่เท่ากับให้แก่คนทุศีล ๑ หน
บุคคลให้ทานแก่คนทุศีล ๑๐๐ หน ไม่เท่ากับให้แก่คนมีศีล ๑ หน
บุคคลให้ทานแก่คนมีศีล ๑๐๐ หน ไม่เท่ากับให้แก่พระโสดาบัน ๑ หน
บุคคลให้ทานแก่พระโสดาบัน ๑๐๐ หน ไม่เท่ากับให้แก่พระสกิทาคามี ๑ หน
บุคคลให้ทานแก่พระสกิทาคามี ๑๐๐ หน ไม่เท่ากับให้แก่พระอนาคามี ๑ หน
บุคคลให้ทานแก่พระอนาคามี ๑๐๐ หน ไม่เท่ากับให้แก่พระอรหันต์ ๑ หน
บุคคลให้ทานแก่พระอรหันต์ ๑๐๐ หน ไม่เท่ากับให้แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ หน
บุคคลให้ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ หน ไม่เท่ากับให้แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ หน
บุคคลให้ทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐๐ หน ไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ หน
บุคคลถวายสังฆทาน ๑๐๐ หน ไม่เท่ากับถวายวิหารทาน ๑ หน (วิหารทานคือการก่อสร้างกุฏิวิหารศาลาอุโบสถเสนาสนะที่อยู่ที่อาศัยถวายแก่วัดวาอาราม)
บุคคลถวายวิหารทาน ๑๐๐ หน ไม่เท่ากับมีจิตศรัทธารับพระไตรสรณาคมน์คือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่ง ๑ หน
บุคคลรับพระไตรสรณาคมน์ ๑๐๐ หน ไม่เท่ากับการสมาทานศีล ๕ ประการ ๑ หน
บุคคลสมาทานศีล ๕ ประการ ๑๐๐ หน ไม่เท่ากับการตั้งจิตแผ่เมตตาไปในสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงชั่วเวลาเพียงรีดนมโค ๑ หน
บุคคลแผ่เมตตาชั่วเวลารีดนมโค ๑ หน หน ไม่เท่ากับการเจริญอนิจจสัญญาคือการระลึกถึงความไม่เที่ยงของสังขารรูปธรรมนามธรรม ชั่วเวลาเพียงไก่ปรบปีก
ทีนี้ถ้ามีคำถามว่าทำไมสังฆทานจึงมีผลมาก พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าสังฆทานย่อมเป็นสาธารณะทั่วไปแก่พระสงฆ์ทั้งปวงมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น มีพระสงฆ์ที่บวชใหม่เป็นที่สุด สังฆทานย่อมเกื้อหนุนให้พระสงฆ์ได้มีโอกาสเล่าเรียนศึกษาทรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา อันจะทำความยั่งยืนแก่พระพุทธศาสนาไปจนถ้วน ๕,๐๐๐ ปี ฉะนั้นการถวายสังฆทานจึงมีผลมาก เพราะเป็นการบำรุงพระพุทธศาสนาไปในตัว
ทานอาจแบ่งเป็น ๒ อย่างคือ อามิสทานและธรรมทาน อามิสทานคือการให้วัตถุข้าวของ ส่วนธรรมทานคือการให้ธรรมะ
ทานอาจแบ่งเป็น ๓ อย่างคือทาสทาน สหายทาน และสามีทาน ทาสทานหมายถึงการให้ของที่เลวกว่าของที่เราใช้สอย สหายทานหมายถึงการให้ของที่เสมอกับของที่เราใช้สอย สามีทานหมายถึงการให้ของที่ประณีตกว่าของที่เราใช้สอย ในทานทั้ง ๓ ประการนั้นสามีทานมีอานิสงส์มากที่สุด ส่วนทาสทานมีอานิสงส์น้อยที่สุด
การให้ทานนั้นถ้าหากผู้ให้เป็นผู้มีศีลด้วย อานิสงส์แห่งทานก็จะยิ่งมีมาก ฉะนั้นก่อนการถวายทานจึงนิยมอาราธนาศีลก่อนด้วยเหตุฉะนี้ การให้ทานเป็นการละความโลภ การรักษาศีลเป็นการละความโกรธ การเจริญภาวนาเป็นการละความหลง ฉะนั้นพระพุทธเจ้าเมื่อจะแสดงเส้นทางไปสู่ทางนิพพานย่อมจะสั่งสอนให้เวไนยสัตว์รู้จักการให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนา ฉะนั้นบุคคลผู้ให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนา จงปรารถนาการดับโลภโกรธหลงจึงจะตรงสู่ทางนิพพานอันเป็นแดนพ้นทุกข์ ถ้ายังมัวปรารถนามนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติอยู่แล้ว ก็จะเป็นการเนิ่นช้าพาให้เวียนว่ายเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในวัฏฏสงสารสิ้นกาลนานไม่มีกำหนดที่จะหมดชาติ แต่ว่าผู้ให้ทานเป็นนิสัยก็ย่อมจะสามารถได้ซึ่งมนุษย์สมบัติและสวรรค์สมบัติได้ถ้าหากมีความปรารถนา สำหรับมนุษย์สมบัติสามารถเรียงลำดับแห่งความไพบูลย์ของผลได้ดังนี้
๑. จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์อันมีแก้วทั้ง ๗ ประการคือ ช้างแก้ว ม้าแก้ว จักรแก้ว แก้วมณี นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว มีอาณาเขตแผ่ไป ๔ ทิศ
๒. เป็นกษัตริย์มีสมบัติบริบูรณ์ มีลาภยศปรากฏไปในอาณาเขต
๓. เป็นเศรษฐีมีทรัพย์มากบริบูรณ์นับด้วยโกฏิ
๔. เป็นกฎุมพีมีทรัพย์มากแต่ไม่เท่าเศรษฐี
๕. เป็นพลเรือนมีทรัพย์พอใช้ไม่ขาดมือ
แต่อย่างไรก็ตามท่านกล่าวไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าบุคคลผู้ให้ทานจะไปสู่ที่อดอยากขาดแคลนนั้นเป็นไม่มี พระศาสดาทรงตรัสถึงผลแห่งทานไว้กับสิงหเสนาบดีเป็นความว่า
๑. ทายกผู้ให้ทานย่อมเป็นที่รักแก่คนทั้งปวง
๒. ทายกผู้ให้ทานย่อมเป็นที่คบหาแก่คนทั้งหลาย
๓. ทายกผู้ให้ทานย่อมเป็นที่สรรเสริญแก่มนุษย์และเทวดา
๔. ทายกผู้ให้ทานย่อมมียศใหญ่มีบริวารมาก
๕. ทายกผู้ให้ทานย่อมไม่กลัวไม่เก้อเขินเป็นผู้แกล้วกล้าในประชุมชน
การให้ทานย่อมยังสามารถแยกเป็น ๒ ประการได้อีกคือการให้ด้วยสงเคราะห์และการให้ด้วยการบูชา การให้ด้วยการสงเคราะห์นั้นคือให้แก่คนยากจนอนาถาหาที่พึ่งไม่ได้ ให้แก่สัตว์เดียรัจฉานก็ชื่อว่าให้ด้วยสงเคราะห์ การให้ด้วยการบูชาคือให้แก่บิดามารดาปู่ย่าตายายและครูอุปัชฌาย์อาจารย์ทั้งหลายที่มีคุณแก่ตนมาแต่ก่อนก็ดี ให้แก่ท่านผู้มีศีลมีธรรม ภิกษุสามเณร และท่านที่ตั้งอยู่ในฌานสมาบัติมรรคผล เหล่านี้ชื่อว่าให้ด้วยการบูชา ในทานทั้ง ๒ นี้ การให้ด้วยการบูชาย่อมมีอานิสงส์มากกว่าการให้ด้วยการสงเคราะห์
การให้ทานนั้นควรให้โดยเคารพในทาน อย่าให้โดยไม่เคารพประดุจเอาไปทิ้ง ควรให้ด้วยมือตนเองยกเว้นแต่สุดวิสัยจึงค่อยฝากผู้อื่นไปให้ เวลาให้ทานถ้ามีโอกาสให้ชักชวนคนอื่นให้ร่วมด้วยอย่าให้ทานคนเดียว เพราะถ้าให้ทานคนเดียวจะขาดพวกพ้องบริวารกลายเป็นคนเดียวดายไร้ญาติ ขาดมิตร ถ้าเราชักชวนให้ผู้อื่นร่วมทำทานกับเราด้วย อานิสงส์ย่อมเกื้อกูลให้เราได้มีพวกพ้องบริวาร ย่อมมีญาติ มีมิตร มีผู้รู้ใจ มีผู้คอยช่วยเหลือเกื้อกูล เวลาเห็นใครให้ทานจงอย่าไปขัดขวาง ถ้าไม่ได้ช่วยก็จงนิ่งเฉยเสีย อย่าไปพูดให้เขาเสียกำลังใจ ถ้ามีส่วนช่วยเขาได้ยิ่งดี ถ้าไม่ได้ช่วยให้กล่าวสรรเสริญชมเชยให้กำลังใจด้วยวาจา ถ้าไม่มีโอกาสกล่าววาจาให้อนุโมทนาพลอยยินดีด้วยใจ เวลาให้ทานจงอย่าให้เพื่อเอาหน้าเอาชื่อเสียง ให้ตั้งจิตศรัทธาใฝ่บุญกุศลแล้วจึงให้ทาน จงอย่าให้เพื่อจะทวงบุญคุณภายหลัง ให้แล้วให้เลยอย่าหวังให้ผู้รับทานมาตอบแทนบุญคุณเรา เมื่อเราได้ให้ทานด้วยของสิ่งใดไป ให้ตัดใจขาดจากของสิ่งนั้นไปทันทีทันใดที่เราให้ไปแล้ว อย่าตามไปดู ตามไปหวง ตามไปห่วงกังวลต่อของที่เราให้ไปแล้ว เมื่อเราให้ของสิ่งนั้นไปแล้วผู้รับทานจะนำของสิ่งนั้นไปทำอะไร จะนำไปใช้ หรือนำไปทิ้งก็อย่าไปสนใจ เพราะเราขาดจากของสิ่งนั้นมาแล้ว เราได้บุญมาแล้ว ของสิ่งนั้นไม่ใช่ของของเราที่เราจะต้องไปสนใจอีกต่อไป ถ้าเราให้แล้วตามไปดู ตามไปห่วง ตามไปหวงของที่เราให้ไปแล้ว ชื่อว่าเรายังไม่ได้ให้ ฉะนั้นตั้งแต่ขณะวินาทีที่ให้ทานต้องตัดใจจากของนั้นให้เด็ดขาด
ต่อไปจะกล่าวพรรณนาถึงธรรมทานการให้ซึ่งพระธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ธรรมทานย่อมชนะเสียซึ่งทานทั้งปวง รสแห่งธรรมย่อมชนะรสทั้งปวง ความยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดีทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหาย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง ถามว่าอย่างไรจึงชื่อว่าธรรมทาน ก็บุคคลใดเป็นผู้รู้ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วนำมาชี้แจงให้ผู้อื่นได้รับรู้ เพื่อจะได้ละเว้นจากบาปบำเพ็ญกุศล ได้ยกตนให้พ้นจากทางเสื่อมทั้งปวง หรือไปเชื้อเชิญผู้รู้ซึ่งธรรมมาแสดงชี้แจงซึ่งธรรมให้ผู้อื่นฟัง เพื่อจะให้ได้เกิดความสลดสังเวชในสังขาร เกิดความเลื่อมใสในคุณของพระรัตนตรัย หรือว่าได้จัดสร้างหนังสือพระสูตรพระวินัย พระธรรม พระกรรมฐาน แจกจ่ายให้แก่สัปบุรุษทั้งหลายและภิกษุสามเณรได้เล่าเรียนศึกษาให้สืบพระศาสนาให้เจริญต่อไปก็เรียกว่าธรรมทาน มีอานิสงส์ใหญ่กว่าอามิสทานเช่นการให้วัตถุต่าง ๆ ธรรมทานจะมีอานิสงส์ให้สติปัญญาแกล้วกล้าเหมือนพระสารีบุตร ท่านกล่าวว่าในอดีตชาติอดีตกาลครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน พระสารีบุตรได้เกิดเป็นกฎุมพีมีศรัทธาเลื่อมใสได้สร้างพระไตรปิฎกไว้ในพระพุทธศาสนา ครั้นเมื่อแตกกายทำลายขันธ์ก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลกสิ้นกาลนาน เมื่อมาเกิดในศาสนานี้ได้ออกบวชมีนามว่าพระสารีบุตร มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดแกล้วกล้ากว่าพระสาวกทั้งปวง ก็ด้วยอานิสงส์แห่งการสร้างคัมภีร์พระธรรมไว้ให้เป็นทานในพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นอุบาสกอุบาสิกาอยากจะให้ตนเป็นผู้มีปัญญา จงสร้างหนังสือธรรมะแจกจ่ายเป็นทานเถิด จะเป็นกุศลอันประเสริฐทั้งในโลกนี้และโลกหน้า อนึ่งธรรมทานที่เป็นโลกิยะคือแสดงธรรมชี้ทางมนุษย์ทางสวรรค์และทางพรหมโลกเป็นที่สุดย่อมมีผลอานิสงส์น้อย เพราะเป็นธรรมนำสัตว์ให้เวียนว่ายเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในวัฏฏสงสารไม่ให้สัตว์ถึงซึ่งพระนิพพานดับกองทุกข์ได้ ส่วนการให้ธรรมทานที่เป็นทางโลกุตตระ คือแสดงพระไตรลักษณ์ญาณปัญญาพิจารณาสังขารรูปธรรมนามธรรมให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือแสดงอริยสัจทั้ง ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ให้เห็นแจ้งประจักษ์ด้วยปัญญาอันจะนำไปสู่ทางนิพพาน ธรรมทานอย่างนี้จะมีอานิสงส์มาก ส่วนบุคคลผู้แสดงธรรมควรประกอบด้วยองค์ ๕ คือ
๑. ควรแสดงธรรมไปโดยลำดับไม่ตัดลัดให้ขาดความ
๒. อ้างเหตุผลแนะนำให้ผู้ฟังเข้าใจ
๓. ตั้งจิตเมตตาปรารถนาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง
๔. ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ
๕. ไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น หมายถึงไม่ยกตนเสียดสีผู้อื่น
เมื่อแสดงธรรมดังนี้ ย่อมเป็นธรรมทานอันประเสริฐแท้ ช่วยให้ผู้ฟังธรรมได้รับอานิสงส์ ๕ ประการคือ
๑. ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
๒. สิ่งใดเคยฟังแล้วแต่ยังไม่เข้าใจชัดย่อมเข้าใจสิ่งนั้นชัด
๓. บรรเทาความสงสัยเสียได้
๔. ทำความเห็นให้ถูกต้องได้
๕. จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส
สำหรับบุคคลผู้ให้ทานเป็นนิจ ควรจะรู้จักวิธีการเจริญจาคานุสสติด้วย จาคานุสสติเป็นกรรมฐานกองหนึ่ง แปลว่าการระลึกถึงการให้ทานเป็นอารมณ์ บุคคลที่จะเจริญจาคานุสสติให้ระลึกถึงการให้ทานของตนเอง จะเป็นการให้ทานในวันนี้ ในวันก่อน ๆ หรือการให้ทานครั้งที่เราประทับใจมาก ๆ ก็ได้ แล้วท่องในใจหรือจะออกเสียงก็ได้ว่าดังนี้ “ในเมื่อประชาชนทั้งหลายถูกมลทินคือความตระหนี่ครอบงำอยู่ แต่เราเป็นผู้ปราศจากมลทินคือความตระหนี่ เป็นผู้มีการเสียสละอย่างเด็ดขาด เตรียมพร้อมที่จะให้อยู่เสมอ ยินดีในการบริจาค เป็นผู้ควรในการขอ เป็นผู้ยินดีในทานและการแบ่งปันนั้น นับว่าเป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ” การเจริญจาคานุสสตินี้มีผลมากมีอานิสงส์มาก คือจะช่วยเพิ่มพูนบุญกุศลจากการให้ทานของเราให้เพิ่มทวีคูณเป็นร้อยเท่าพันเท่า ช่วยให้จิตใจผู้บริจาคทานผ่องใส น้อมไปในการบำเพ็ญทานมากยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้เป็นคนมีอัธยาศัยไม่โลภ มีจิตเมตตาอยู่สม่ำเสมอโดยปกติ แกล้วกล้ากล้าหาญในชุมชน มากด้วยปีติและปราโมช จิตเป็นสมาธิง่ายฟุ้งซ่านยาก นอกจากนั้นจาคานุสสติจะช่วยให้ผู้เจริญบรรลุมรรคผลนิพพานได้ง่ายมาก เป็นปัจจัยแก่พระนิพพาน ตราบที่ไม่ถึงพระนิพพานก็มีสุคติเป็นที่ไป
อนึ่งบุคคลผู้ให้ทาน จงอย่าให้ทานเจือด้วยตัณหาความอยากในภพ คืออย่าปรารถนาการเกิดในมนุษย์ สวรรค์ และชั้นพรหม ควรจะอธิษฐานตัดลัดออกจากการเวียนว่ายตายเกิดไปสู่พระนิพพาน ฉะนั้นทุกครั้งที่ทำทานให้อธิษฐานว่า “ผลทานอันนี้ที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวาย ขอให้เป็นปัจจัยแก่มรรคผลนิพพาน ในอนาคตกาลอันใกล้นี้เทอญ” ดังแสดงมาด้วยกถาที่ว่า การให้ทานเป็นมงคลอันประเสริฐ ก็จบลงเพียงนี้
ที่มา : หนังสือ พุทธมงคลอานิสงส์ โดย หลวงพ่อชุมพล พลปญฺโญ