ไม่นับถือศาสนา เป็นบาปไหม
การไม่นับถือศาสนาใด ๆ แม้แต่พระพุทธศาสนา ไม่เป็นบาป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทำชั่ว ไม่ชั่ว ทำชั่ว ไม่เป็นบาป ทำดี ไม่เป็นดี ทำดีไม่เป็นบุญ
เหตุว่า ต้นตอหรือรากเหง้าแห่งบาปหรืออกุศลนั้น ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ เรียกว่า อกุศลมูล 3 อย่าง
โลภะ (ความอยากได้) เกิดขึ้นแล้ว อกุศลอื่น ๆ ก็จะตามมา เช่น อิจฉา ความอยาก, ปาปิจฉา ความอยากอย่างชั่วช้าลามก, มหิจฉา ความอยากรุนแรง, อภิชฌาวิสมโลภะ ความอยากได้ถึงขั้นเพ่งเล็ง ความอยากจะเกิดมากขึ้น แสดงออกมาทางกาย เช่น ขโมยของคนอื่น ทางวาจา หลอกลวงเอาทรัพย์สินคนอื่น
โทสะ (ความคิดประทุษร้าย) เมื่อเกิดขึ้นแล้ว อกุศลอื่น ๆ ก็จะตามมา เช่น ปฏิฆะ ความหงุดหงิด, โกธะ ความโกรธ, อุปนาหะ ความผูกโกรธ พยาบาท ความคิดปองร้าย ถ้าปล่อยให้มีโทสะมาก ผู้นั้นจะเป็นคนชั่ว คนพาล และเป็นภัยต่อสังคม หนักเข้าก็จะเกิดการฆ่าฟัน ทำร้ายซึ่งกันและกัน
โมหะ (ความหลงไม่รู้จริง) เมื่อเกิดขึ้นแล้ว อกุศลอื่น ๆ ก็จะตามมา เช่น มักขะ ลบหลู่คุณท่าน, ปลาสะ ตีเสมอ, มานะ ถือตัว, มทะ มัวเมา, ปมาทะ เลินเล่อ โมหะทำให้ขาดสติ เห็นแก่ตัว ไม่รู้ผิดชอบ ร้ายแรงกว่าโลภะ และโทสะ รวมทั้งส่งเสริมให้โลภะและโทสะมีกำลังมากขึ้นอีกด้วย
เมื่ออกุศลมูลเหล่านี้ โลภะ โทสะ โมหะ มีอยู่แล้ว อกุศลอื่นที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็เจริญมากขึ้น การกระทำทุกอย่าง ที่ประกอบด้วย โลภะ โทสะ โมหะ ก็จะเป็นบาปหมด เป็นความชั่วหมด ไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไร จะมีศาสนาหรือไม่มี จะมีพระพุทธเจ้าหรือไม่มีพระพุทธเจ้าก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งไม่ดี เป็นบาป ส่งผลชั่วอยู่เช่นเดิม
อกุศลมูล ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นรากเหง้าของอกุศลทั้งปวง มีโทษร้าย ส่งผลชั่วร้ายด้วยตัวของมันเอง ไม่ใช่พระพุทธเจ้าบัญญัติว่าให้เป็นความชั่ว
พระพุทธเจ้า ไม่ได้อุบัติขึ้นมาเพื่อให้ใครเป็นบาป ไม่ได้ตรัสรู้เพื่อให้ใครตกนรก พระพุทธเจ้าไม่ได้สร้างนรกไว้ลงโทษคนที่ไม่เชื่อ หรือไม่ทำตาม แต่การกระทำของบุคคลนั้นต่างหากที่สร้างนรกหรือสวรรค์ขึ้นมา คือสร้างเหตุหรือหนทางไปสู่นรกหรือสวรรค์ด้วยตัวของเขาเอง พระพุทธเจ้าเป็นแต่ผู้ชี้แนะว่า นี่คือหนทางหรือต้นเหตุที่ทำให้ไปสู่อบายภูมิ นี่คือหนทางหรือต้นเหตุให้ไปสู่สุคติภูมิ เหมือนบุรุษผู้รู้ชี้แนะว่า นี่คือไฟนะ เมื่อจับแล้วจะทำให้ร้อน ผิวหนังพุพองและทำให้เสียชีวิตได้ ผู้รู้ก็เป็นแต่เพียงผู้บอก หาใช่ผู้สร้างไฟขึ้นมาไม่ หาใช่ผู้บัญญัติให้ไฟร้อนไม่ หาใช่ผู้ทำให้ผิวหนังพุพองหรือทำให้เสียชีวิตไม่
แม้ในยุคอื่น ๆ ที่ไม่มีพระพุทธเจ้า คนยุคคนั้นไม่รู้จักพระพุทธเจ้าเลย เช่น ยุคพระเวสสันดร คนทำชั่วก็ยังเป็นบาป ส่วนคนทำดีก็ยังเป็นบุญ คนทำชั่วก็ยังไปสู่อบายภูมิ คนทำดีก็ยังไปสู่สวรรค์
สรุป คือ ทำอะไรก็ตามที่ประกอบด้วย โลภะ โทสะ โมหะ เป็นบาปได้ทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับจะนับถืออะไรหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระพุทธเจ้า