หากใครได้ดูคลิปล่าสุดที่ “เอ๋ซ่า ล่าผีเฮี้ยน บุกโรงเรียนร้าง ที่สิงห์บุรี” จะได้ยินว่าคุณเอ๋ได้สวดคาถาบทหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อความว่า
สุปินานัง จิเจรุนิ สัมภะเวสี จุตินัง
เรามาดูว่าแต่ละคำของคาถามีที่มาอย่างไร มีความหมายอย่างไร
สุปินานัง
สุปินานัง ทราบว่าเป็นคาถาเห็นผีที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านให้ท่องไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผี คำว่าผีในความหมายนี้ หมายถึง ผู้ที่ตายแล้วไม่มีกายหรือขันธ์ห้าแบบมนุษย์ มีแต่อทิสมานกาย จะเป็นพระอรหันต์อยู่พระนิพพานเป็นพรหม เป็นเทวดา เปรต อสุรกาย สัตว์นรก เรียกว่าเป็นผีหมด ผมคิดว่าถ้ามนุษย์ต่างดาวมา เราก็คงจะเรียกว่าผีเหมือนกัน
ท่านให้ภาวนาคาถานี้ สุ ปิ นา นัง ภาวนาไปเรื่อย ๆ จะทำสมาธิภาวนาก็ได้ นอนภาวนาก็ได้ เดินภาวนาก็ได้ จะทำให้เห็นผี ( อทิสมานกาย ) หรือผีจะมาปรากฏทางใดทางหนึ่ง อาจจะทางตาเนื้อ หรือทางสมาธิ หรือความฝันก็ได้
อันที่จริงแล้ว คำว่า สุปินานัง นี้ ไม่ใช่คำใหม่ เป็นภาษาบาลี หรือตรงกับภาษาบาลี คำเต็มน่าจะคำว่า สุปิน (อ่านว่า สุปินะ) ซึ่งแปลแบบไทย ๆ ว่าความฝัน หรือสุบินนั่นเอง แต่เหตุที่ได้คำว่า สุปินานัง นั้น น่าจะมาจากการแจกวิภัติตามหลักไวยากรณ์นั่นเอง ซึ่งผมจะไม่อธิบายในเรื่องนั้น
จิ เจ รุ นิ
จิ เจ รุ นิ สี่คำนี้ เราทราบกันมาว่า เป็นหัวใจของพระอภิธรรม หรือหัวใจพระสังคะหะ เป็นคำย่อของแม่บทใหญ่ของพระอภิธรรม
- จิ ย่อมาจาก จิต
- เจ ย่อมาจาก เจตสิก
- รุ ย่อมากจาก รูป
- นิ ย่อมาจาก นิพพาน
แต่ผมจะไม่อธิบายต่อนะครับว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน คืออะไร
คาถาหัวใจพระสังคะหะนี้ โบราณจะเขียนใส่ใบลานหรือกระดาษแล้วยัดใส่เข้าไปในปากคนตาย ว่ากันว่าจะไม่เน่าเหม็นเลย ใช้ในทางปลุกภูตผีก็ได้ คาถานี้ใช้ได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับเจตนาและสมาธิจิตของผู้นั้น
สัมภะเวสี จุตินัง
คาถา สัมภะเวสี จุตินัง บางคนก็บอกว่าใช้ภาวนาเรียกผี บางคนบอกว่าใช้ภาวนาปล่อยผีไป หมายความใครอยากเห็นผี หรืออยากให้ผีมาปรากฏ ให้ภาวนา สัมภะเวสี จุตินัง สัมภะเวสี จุตินัง สัมภะเวสี จุตินัง แต่บางคนก็บอกว่า ถ้าเราเจอผีแล้วหรือเข้าใจว่าตรงนี้มีผี ต้องการปลดปล่อยผี ต้องการส่งผีไปเกิด หรือไปภพภูมิที่ดี ให้ภาวนาว่า สัมภะเวสี จุตินัง สัมภะเวสี จุตินัง สัมภะเวสี จุตินัง ไปเรื่อย ๆ
สัมภเวสี คนทั่วไปจะเข้าใจว่าคือผู้ต้องเกิด, สัตว์โลก, ผู้ค้นหาที่เกิด หมายถึง คนที่ตายแล้วแต่ยังไม่ได้ไปเกิด หรือ เป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ยังหาที่เกิดใหม่ไม่ได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกบ้าง ผิดบ้าง
สัมภเวสี ผู้ต้องเกิด, ผู้ค้นหาที่เกิด นั้นใช่ ซึ่งรวมถึงสัตว์ทั้งหมด (มนุษย์/เทวดาก็คือสัตว์ในความหมายนี้) ที่ยังเป็นปุถุชนและพระเสขะที่ต้องแสวงหาพ่อแม่หรือแสวงหาที่เกิดซึ่งยังไม่ถึงนิพพาน และต้องเวียนว่ายตายเกิด พูดง่าย ๆ ผมคนเขียนบทความนี้และท่านผู้อ่านที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ต่างก็เป็นสัมภเวสีทั้งนั้นครับ
ตามหลักอภิธรรมแล้ว สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ใน 31 ภพภูมิ เมื่อกำลังตายนั้น จุติจิต คือจิตขณะที่กำลังตายจะเกิดขึ้น และเกิดขึ้นขณะเดียวเท่านั้น “ปฏิสนธิจิต” ก็จะเกิดต่อทันทีไม่มีจิตดวงใดมาคั่น และเมื่อเกิด ปฏิสนธิจิต แล้วก็คือเกิดในภพใหม่แล้ว คือจุติจิต เกิดปฏิสนธิจิต ต้องเกิดต่อทันที ยกเว้นพระอรหันต์ที่ไม่มีปฏิสนธิจิต เกิดต่อเพราะท่านไม่ต้องมาเกิดอีกแล้ว (ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับ ประมวลศัพท์ ของ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) อยู่ในคำว่า ภูตะ หน้า 207)
ฉะนั้น จึงไม่มีจิตหรือดวงวิญญาณไหนไปแอบซ่อนอยู่รอการเกิด ตายแล้วเกิดทันที แต่ประเด็นคือเกิดเป็นอะไรเท่านั้นเอง เป็นเปรต อสุกาย เที่ยวหลอกหลอนคนอื่น ก็ถือว่าเกิดมาแล้ว ถือว่าเขาได้เกิดมาใช้กรรมของเขาด้วยการเป็นเปรต ไม่ใช่เขาแอบหนีมาเป็นเปรตรอเกิด หรือถ้ารอเกิด ก็เกิดตามกรรม เหมือนกับเราที่รอเกิดนี่แหล่ะ บางคนรอเกิดเป็นเทวดา บางคนรอเกิดเป็นพรหม หรือบางคนรอเกิดเป็นสัตว์นรกก็มี เราทุกท่านที่ไม่ใช่พระอเสขะจึงเป็นสัมภเวสีด้วยกันทั้งนั้น
จุตินัง
น่าจะมาจากคำว่า จุติ ซึ่งแปลว่า เคลื่อน, ตายจากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง, เปลี่ยนสภาพจากกำเนิดหนึ่งไปเป็นอีกกำเนิดหนึ่ง, โดยมากใช้กับพวกเทวดาหรือพวกอทิสมานกาย ส่วนที่เป็นคำว่า จุตินัง น่าจะมาจากการแจกวิภัติตามหลักบาลีไวยากรณ์
“สุปินานัง” “จิ เจ รุ นิ” “สัมภะเวสี จุตินัง” ใช้เรียกผี ปลุกผีได้หรือไม่ โดยส่วนตัวผมแล้ว ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้กับทุกคน ไม่ใช่ว่าทุกคนที่สวดคาถานี้แล้วผีจะแห่มานะครับ มันต้องมีเคล็ดลับองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย เป็นต้นว่า กำลังของจิตที่เป็นสมาธิ หากจิตเป็นสมาธิ จิตมีกำลังพอ ควรแก่การใช้งานในเรื่องนั้น ๆ แล้ว สวดคาถาอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์ ไม่สวดบทคาถาแค่พูดด้วยภาษาตนเองหรือนึกคิดก็อาจจะเกิดมีขึ้นได้ หรือคนนั้น ๆ เคยเป็นญาติกับผีมาก่อน เป็นสหาย มีกรรมที่เกี่ยวข้องกัน เขาก็อาจจะปรากฏกายให้เห็นได้ครับ