มีเรื่องเล่าว่า สุภาพสตรีท่านหนึ่งฝันร้ายอยู่บ่อย ๆ เป็นประจำเกือบทุกคืน เช้าวันหนึ่ง เธอจึงเตรียมดอกไม้ธูปเทียนและเครื่องสังฆทานเพื่อไปทำบุญตักบาตรและถวายสังฆทานที่วัดเพื่อให้เรื่องร้าย ๆ ที่ปรากฏในความฝันนั้นไม่ให้เกิดขึ้นในชีวิตจริง หลังจากที่เธอกล่าวคำถวายสังฆทานและยกขึ้นประเคนเสร็จแล้ว ก่อนที่หลวงพ่อจะให้พร เธอได้ประนมมือขึ้นกราบเรียนท่านว่า
อุบาสิกา : หลวงพ่อเจ้าคะ ช่วงนี้หนูฝันร้ายบ่อยเหลือเกิน หลวงพ่อช่วยสวดมนต์ แผ่เมตตาให้โยมไม่ให้ฝันร้ายหน่อยเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ : เรื่องการแผ่เมตตานั้นอาตมาทำอยู่เนื่องนิตย์ทุกเช้าเย็น และพระทุกรูปก็ทำเช่นนั้นเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่การที่จะไม่ให้ฝันร้ายหรือให้ได้อานิสงส์แห่งการแผ่เมตตาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น โยมต้องแผ่เมตตาด้วยตนเอง ถ้าอาตมาแผ่เมตตาให้ อานิสงส์แห่งการแผ่เมตตาก็ย่อมเกิดขึ้นที่อาตมาเอง ฉะนั้น ใครอยากได้อานิสงส์แห่งการแผ่เมตตา มีการหลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นต้น ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ต้องทำการแผ่เมตตาด้วยตนเอง
จากเรื่องที่ยกตัวอย่างมา ผมเห็นด้วยกับหลวงพ่อ เพราะอานิสงส์แห่งการแผ่เมตตาทั้ง 11 ประการตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้น อานิสงส์ของการแผ่เมตตาเกิดขึ้นกับบุคคลผู้แผ่เมตตาทั้งนั้น หาได้เกิดขึ้นกับบุคคลอื่นไม่
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้คนครึ่งโลกแผ่เมตตาหรือสวดภาวนาไม่ให้รัสเซียทำสงครามกับยูเครน สงครามจะยุติไหม คงเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าผู้ทำสงครามคือปูตินแผ่เมตตาแค่คนเดียว สงครามน่าจะยุติลงได้ง่ายขึ้น อานิสงส์ของการแผ่เมตตาย่อมเกิดขึ้นได้ แม้ไม่ครบทุกข้อในเวลาอันสั้นก็ตาม อย่างน้อยเป็นที่รักของประชาชนและทหารที่ต้องออกรบทั้งสองประเทศ
ทุกวันนี้ คนเราเข้าใจผิดเป็นอย่างมาก เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อขอความเมตตาจากพระพุทธรูป หลวงปู่ หลวงพ่อ หรือเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในที่ต่าง ๆ ให้ท่านแผ่เมตตาให้เรา ให้เราเป็นสุข ปราศจากความทุกข์ แต่พระพุทธเจ้าให้เราทำการแผ่เมตตาด้วยตนเอง อานิสงส์ของการแผ่เมตตาก็จะเกิดขึ้นกับตนเองโดยที่ไม่ต้องร้องขอ
อานิสงส์เมตตา ๑๑ ประการ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติ
อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ตั้งไว้เนือง ๆ อบรมแล้ว
ปรารภดีแล้ว อานิสงส์ ๑๑ ประการเป็นอันหวังได้
อานิสงส์ ๑๑ประการเป็นไฉน คือ ผู้เจริญเมตตา
ย่อมหลับเป็นสุข ๑
ตื่นเป็นสุข ๑
ไม่ฝันลามก ๑
ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ ๑
ย่อมเป็นที่รักของอมนุษย์ ๑
เทวดาย่อมรักษา ๑
ไฟ ยาพิษ หรือศาตราย่อมไม่กล้ำกลาย ๑
จิตของผู้เจริญเมตตาเป็นสมาธิได้รวดเร็ว๑
สีหน้าของผู้เจริญเมตตาย่อมผ่องใส ๑
ย่อมไม่หลงใหลกระทำกาละ ๑
เมื่อยังไม่แทงตลอดธรรมอันยิ่งย่อมเข้าถึงพรหมโลก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติ
อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้วทำให้เป็นดังยาน
ทำให้เป็นที่ตั้ง ตั้งไว้เนืองๆ อบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว
อานิสงส์ ๑๑ ประการนี้เป็นอันหวังได้ ฯ
……………………………………………………….
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ ( ภาษาไทย ) เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค หน้าที่ ๒๗๕ หัวข้อที่ ๕๗๔
การแผ่เมตตานั้น ไม่ใช่การสวดมนต์ ไม่ใช่การท่องอย่างนกแก้วนกขุนทอง แล้วจะมาบอกว่านั่นคือการแผ่เมตตา การแผ่เมตตาต้องออกมาจากจิตที่เป็นกุศลจิตจริง ๆ หรืออาจจะเหนือนั้นเสียอีก พระพุทธเจ้าจึงใช้คำว่า เมตตาเจโตวิมุตติ หมายถึงจิตที่พ้นจากนิวรณ์ทั้งห้า หมายถึงจิตระดับฌานแล้ว และเมตตาจิตนั้น ต้องทำให้มาก ทำเป็นเครื่องอยู่ จิตตั้งอยู่ในเมตตาเนื่อง ๆ จึงจะหวังอานิสงส์แห่งการแผ่เมตตาทั้ง 11 ประการ ส่วนจิตที่ยังไม่ได้ระดับฌาน ก็ได้อานิสงส์ในระดับพื้น ๆ เช่น หลับเป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข ไม่ฝันร้าย ส่วนอานิสงส์ของการแผ่เมตตาในระดับสูง เช่น ไฟ ยาพิษ หรือศาตราย่อมไม่กล้ำกลาย, เมื่อยังไม่แทงตลอดธรรมอันยิ่งย่อมเข้าถึงพรหมโลก คงต้องว่ากันในระดับฌาน คือในระดับที่ว่า เมตตาเจโตวิมุตติ