นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของนักเผยแผ่หรือ?
เรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องที่ท่านได้บรรลุญาณที่เรียกว่า จุตูปปาตญาณคือญาณที่ทำให้ทราบการเกิดความแตกต่างของสัตว์ทั้งหลาย ว่ามีได้เพราะอะไร ท่านเห็นความมีอยู่ของนรกสวรรค์ด้วย ทิพพจักขุ คือตาทิพย์ซึ่งความรู้เหล่านี้จะเกิดขึ้นก็ต้องได้อภิญญา ซึ่งแปลว่าความรู้อันยิ่ง ไม่ใช่วิสัยของคนธรรมดาจะรู้ได้ เหมือนกับการรับภาพในอากาศ การฟังเสียงจากที่ไกลเป็นวิสัยของเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุตามลำดับ ปัจจุบันใคร ๆ ไม่อาจปฏิเสธว่าในบรรยากาศมีเสียงกล่าวถึงเรื่องต่าง ๆ จากภายในประเทศบ้าง ภายนอกประเทศบ้าง แต่ถ้าเขาไม่มีวิทยุเขาก็ไม่อาจจะทราบเสียงนั้นได้ เมื่อต้องการจะทราบฉันใดเรื่องนรกสวรรค์ก็มีลักษณะฉันนั้น
การถกเถียงในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องของคนที่ถกเถียงรสว่าอร่อยไม่อร่อยด้วยหู แทนที่จะพิสูจน์ด้วยลิ้น ซึ่งเถียงกันอย่างไรก็ได้แต่หาข้อยุติไม่ได้ เรื่องนรกสวรรค์ก็เหมือนกัน การรู้ การเห็นนรกสวรรค์เป็นวิสัยของญาณและทิพย์จักษุ เมื่อไม่มีเครื่องมือสองประเภทนี้ ก็ต้องเถียงกันด้วยโวหารที่ไม่มีทางจบสิ้นเป็นการเสียเวลาโดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ที่สำคัญคือเรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องของผลแห่งกรรมอันถือว่าเป็น อจินไตย คือไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิดเอาแต่จะทราบได้ด้วยการลงมือปฏิบัติ เหมือนการทราบชัดรสอาหารด้วยการบริโภคฉะนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้เราควรจับหลักอะไร ?
ก็ต้องอาศัยตถาคตโพธิสัทธาคือเชื่อพระปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพราะเรื่องนี้ พระองค์ทรงรู้ เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วหาได้รู้เมื่อยังครองเรือนอยู่ไม่ พระพุทธเจ้านั้นทรงมีหลักในการสอนธรรม ๓ ประการ ข้อที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ
“ทรงแสดงธรรมเพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในสิ่งที่เขาควรรู้ควรเห็น”
ในเรื่องที่ทรงแสดงนั้นมีเรื่องนรกสวรรค์อยู่ด้วย แสดงว่าเรื่องนี้ควรรู้ควรเห็น เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้นั้นมีมากมายสุดจะนับจะประมาณได้ แต่ข้อที่นำมาสั่งสอนนั้น อุปมาเหมือนใบไม้กำมือเดียวจากใบไม้ในป่าเท่านั้น และในใบไม้กำมือเดียวนั้นมีเรื่องนรกสวรรค์รวมอยู่ด้วย เรื่องเหล่านี้ปรากฎในคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งชั้นบาลี อรรถกถาและตำรารุ่นหลังเป็นอันมาก จนคนผู้ทราบประมาณแห่งความรู้ตนไม่อาจปฏิเสธได้
“อาจจะมีปัญหาว่า การเชื่อถือในลักษณะนี้จะไม่เป็นการเชื่อเพราะอ้างตำราหรือ? เพราะในกาลามสูตรห้ามมิให้เชื่อโดยอ้างตำรา มิใช่หรือ ?”
ปัญหาก็จะติดตามมาว่าก็กาลามสูตรเองเล่ามิใช่เป็นตำราด้วยหรือ เมื่อเป็นตำรา แม้กาลามสูตรเองต้องเชื่อไม่ได้ด้วยนะซิ ในที่สุดก็จะเกิดปัญหาวัวพันหลักขึ้นมา
ในชั้นนี้ขอให้ข้อสังเกตเพียงว่าแหล่งแห่งความเชื่อของคนเรานั้นอาจจำแนกได้ดังนี้
๑.ประจักษ์ประมาณคือ เชื่อเพราะได้เห็น ได้ยิน ได้สูดดม ได้ลิ้ม ได้จับต้อง ได้รู้ด้วยตนเอง แล้วจึงเกิดความเชื่อขึ้นมา
๒.อนุมานประมาณ รู้ด้วยการอนุมาน คือการคาดคะเนเอาว่าเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เช่นเราเคยเห็นควันเกิดจากไฟ ต่อมาเห็นเฉพาะควันไม่เห็นไฟ ก็อนุมานได้ว่าที่ตรงนั้นต้องมีไฟ เพราะที่ใดมีควันที่นั้นมีไฟ
๓.ศัพท์ประมาณคือ การศึกษาจากหลักฐานต่างๆ เช่น ตำรา โบราณคดี เป็นต้น ให้สังเกตว่าแหล่งแห่งความเชื่อเหล่านี้ไม่ใช่ข้อยุติว่าจะต้องถูกต้องเสมอไป จำเป็นจะต้องใช้ปัญญาเข้าพิจารณาเสียก่อนทั้งนั้น ตามที่ท่านแสดงว่าบุคคลไม่เชื่อด้วยเหตุผล ๑๐ ประการ ซึ่งมักจะเผยแพร่กันแบบไม่ตลอดสายอยู่เสมอนั้น พระพุทธเจ้าทรงมุ่งไปที่ประเด็นว่า
“ไม่ควรเชื่อเพียงเพราะเป็นตำรา”
แต่โดยหลักปฎิบัติแล้วให้นำเอาแหล่งแห่งความรู้เหล่านั้นเองไปพินิจพิจารณาด้วยเหตุผลสติปัญญาจึงจะเชื่อในเรื่องนั้น ๆ
สำหรับบางคนที่อ้างว่าตนไม่รู้ไม่เห็นตนไม่เชื่อนั้น นอกจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว ข้อที่ไม่ควรลืมว่าการที่บุคคลยอมรับว่าท่านผู้นั้นเป็นพ่อเป็นแม่ของตนเป็นต้นนั้น ไม่ได้เชื่อเพราะเห็นเป็นต้น แต่เชื่อเพราะท่านบอกและคนอื่นบอกว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้กับตนและตนอนุมานเอาจากพฤติกรรมที่ท่านแสดงวิญญาณของแม่เท่านั้นเพราะอะไร ?
“เพราะว่าเราไม่ได้รู้เห็นตอนที่ท่านเกิดเรามาด้วยสายตาของเราเองจึงต้องเชื่อด้วย วิธีที่สองและสาม”
เรื่องนรกสวรรค์จึงเป็นเหมือนคนที่เคยขึ้นไปยอดเขาหิมาลัยมาเล่าถึงความสวยงามของภูเขาและทิวทัศน์ที่ตนได้เห็นมาบนภูเขาหิมาลัย ผู้ฟังทำได้สองประการ คือ
เชื่อตามที่เขาบอกให้ทราบเพราะเขาไปรู้เห็นมาด้วยตนเอง
ขึ้นไปดูภูเขาในจุดที่เขาบอกว่าเขาเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้
“หากปฏิเสธไปเลยว่าเขาโกหกได้ไหม ?”
“ไม่ได้หรอก” ทำอย่างนี้ก็เสียเชิงวิทยาศาสตร์แย่นะซีเพราะนักวิทยาศาสตร์นั้นเขามี หลักสำคัญอยู่ว่า “จะไม่ยืนยันหรือปฏิเสธอะไรในเรื่องที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทดสอบ”
แต่การพิสูจน์ทดสอบอะไรก็ตาม ต้องพิสูจน์ด้วยเครื่องมือและกรรมวิธีเฉพาะเรื่องนั้น ๆ ไม่ใช่จะเอากล้องจุลทัศน์ดูไปเสียทุกเรื่อง
อย่างไรก็ตามเรื่องนรกสวรรค์นั้นเท่าที่พบมาทรงมีวิธีแสดงหลายวิธี คือ
๑.แสดงถึงภพหรือภูมิ ที่คนสัตว์จะต้องไปเกิดตามสมควรแก่กรรมของตน เรียกว่า ปรโลก คือ โลกอื่น ตรงกันข้ามกับโลกนี้ที่เรียกว่า อิธโลก
๒.แสดงในรูปของกรรมที่บุคคลกระทำแล้วจะนำให้เขาอุบัติในคติภพนั้น ๆเช่น ทรงแสดงอานิสงส์ คือผลอันเกิดขึ้นจากการกระทำความดีมีการให้ทาน รักษาศีล มีศรัทธา เมตตา เป็นต้นจะจบลงด้วยคำว่าตายแล้วไปบังเกิดในสุคติหรือทุคติ หากกระทำตรงกันข้ามหรืออย่างที่รับสั่งปรารภ คน ๔ คนผู้มีการกระทำแตกต่างกัน ได้ตายไปว่า
คพภเมเก อุปปชชนติ นิรยํ ปาปกมโน สคคํ สุคติโน ยนติ ปรินิพพนติ อนาสวา คนทั้งหลายบางพวกย่อมเกิดในครรภ์ ผู้มีบาปกรรมย่อมเข้าถึงนรก ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติย่อมไปสวรรค์ ท่านผู้ไม่มีอาสวะย่อมปริพพาน
๓. ทรงแสดงในรูปของธรรมอันเป็นเหตุให้คนไปบังเกิดในนรกและสวรรค์ เช่น
น หิ ธมโม อธมโม จ อุโภ สมวิปากิโน อธมโม นิรยํ เนติ ธมโม ปาเปติ สุคตํ ธรรมและอธรรมทั้งสอง หามีวิบากเสมอกันไม่ อธรรมนำไปสู่นรก ธรรมยังบุคคลให้ถึงสุคติ
๔.ทรงแสดงในรูปของสรรค์ที่บุคคลจะประสบด้วยการกระทำของตนในปัจจุบัน เช่นมีฐานะร่ำรวยอยู่เย็นเป็นสุขเป็นสวรรค์ ทำผิดติดคุกประสบความเดือดร้อนเป็นนรก
๕.แสดงในรูปของการเป็นเทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต ด้วยการการปฏิบัติตามธรรมและอธรรม เช่นเป็นเทวดาเพราะมีหิริ โอตตัปปะ เป็นพรหมเพราะมีพรหมวิหารเป็นต้น
๖.แสดงในรูปของความรู้สึกในด้านจิตใจโดยเฉพาะ เช่นสุขกายสบายใจเป็นสวรรค์กลัดกลุ้มเดือดร้อนใจเป็นนรก
สำหรับคนที่ไม่สมัครใจที่จะเชื่อจะด้วยเหตุผลอย่างไรก็ตามให้ยึดหลักการทำความดีเอาไว้ คือ
หากสวรรค์นรกไม่มีอยู่จริง ตนก็อยู่อย่างไม่มีเวรมีภัยในปัจจุบัน
หากสวรรค์นรกมีเมื่อตายไปก็จะได้บังเกิดในสวรรค์
หากกระทำความชั่วแล้วแม้ว่าจะไม่มีนรกสวรรค์ตนก็ได้รับความเดือดร้อนที่เห็นในปัจจุบันตายไปหากนรกสวรรค์มีก็ต้องตกนรก
การทำความดีในปัจจุบันอย่างน้อยที่สุดจะได้รับความสุขในโลกนี้ เมื่อมีนรกสวรรค์ในโลกหน้าก็จะได้บังเกิดในสวรรค์อีกเป็นการได้ถึงสองชาติ แต่ผู้ทำความชั่วกลับตรงกันข้ามคือต้องเดือดร้อนในโลกนี้เป็นอย่างน้อย หากนรกสวรรค์เกิดมีเข้าก็เดือดร้อนทั้งสองโลก
วิธีการแสดงเรื่องนรกสวรรค์ตามที่กล่าวมานี้จะพบว่าผลจะออกมาในลักษณะเดียวกัน ใครจะเชื่อในระดับใดก็ตาม หากต้องการความสุขก็ต้องทำดีหนีความชั่ว ผลจะเกิดขึ้น ให้พิสูจน์ได้ทั้งในปัจจุบันและด้วยญาณของท่านผู้รู้
ให้สังเกตว่าการตกนรกหรือขึ้นสวรรค์นั้นเป็นการใช้คำว่า ตก และขึ้นแห่งระดับจิตของบุคคลคือยกจิตจากกระแสอธรรม และขึ้นสู่กระแสธรรมเมื่อจับจุดนี้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์หรือถกเถียงกันให้เสียเวลา เพราะถึงจุดหนึ่งแล้วตนจะรู้เอง ขอเพียงยึดมั่นในการยกระดับจิตของตนให้สูงไว้ก็พอแล้ว การจะทราบชัดในเรื่องนี้ได้จริงๆ นั้นนอกจากทราบด้วย “ญาณ”ดังกล่าวแล้วอีกวิธีหนึ่งคือ
“จะทราบชัดด้วยตนเอง เมื่อตนตายไปแล้ว”
การรอคอยพิสูจน์วิธีนี้หากทำความดีไว้ก็ไม่เสียหายแต่ถ้าทำความชั่วมากๆก็ออกจะเสี่ยงเอาการทีเดียวทางที่ดีแล้วคือ
“เพียรพยายามสร้างความดีในปัจจุบันให้มากๆไว้เป็นการปลอดภัยที่สุด”
สำหรับประเด็นที่ว่า “ไม่ใช่เป็นเครื่องมือนักเผยแผ่หรือ” นั้น ออกจะเป็นการกล่าวหาที่ไร้เหตุผลเอามากที่เดียว “ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนั้น?”
เพราะว่าเรื่องนรกสวรรค์นี้เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายท่านรู้เห็นด้วยญาณและได้แสดงแก่ชนทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นเรื่องควรรู้ควรเห็นประการหนึ่ง พระพุทธเจ้านั้นทรงแสดงเรื่องนี้ด้วยพระมหากรุณาแก่สัตว์โลก พระทัยที่เต็มเปี่ยมด้วยพระบริสุทธิคุณ ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของพระองค์ แต่ทรงทำเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่สรรพสัตว์ พระอรหันต์ทั้งหลายก็มีนัยเดียวกัน
พระสงฆ์ที่ทำงานเผยแผ่นั้น ท่านไม่มีความรู้อะไรเป็นส่วนตัวของท่าน แต่ท่านรู้เพราะการได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านทำงานไปตามหน้าที่ของท่านที่กำหนดไว้ว่า
“พระสงฆ์คือหมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระ
พุทธเจ้าและสอนบุคคลอื่นให้ปฏิบัติตามด้วย”
หากจะถามว่าปฏิบัติตามซึ่งอะไร ?
คำตอบคือปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เวลาพระเทศน์ทุกครั้งจึงมีคำว่า “บัดนี้จะแสดงพระธรรมเทศนาพรรณนาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า”ก่อนทุกครั้ง เพื่อบอกให้ทราบว่าที่กล่าวต่อไปนี้ไม่ใช่คำสอนของท่านนะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์จึงทำหน้าที่เป็นเหมือนราชทูตอ่านพระสาส์น และในการสอนนี้เองมีหน้าที่ซึ่งกำหนดไว้ว่าเป็นหน้าที่ของพระ คือ “บอกทางสวรรค์ให้แก่ชาวบ้าน”
ที่ว่าเป็นเครื่องมือจึงไม่ทราบว่าเป็นเครื่องมือในทางแสวงหาผลประโยชน์จากอะไร เพราะถ้าเรื่องนี้นักเผยแผ่สร้างขึ้นมาเอง
นักเผยแผ่ก็กล่าวมุสาอันเป็นเหตุอย่างหนึ่งให้ตนตกนรก นักเผยแผ่ไม่กลัวนรกหรือ ?
ที่ไม่ควรลืมคือเรื่องนรกสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่จะต้องรู้ได้ชัดด้วย จุตูปปาตญาณ หรือทิพยจักษุ
การอธิบายเรื่องนรกสวรรค์ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย ๆ ใครจะเอาเรื่องอธิบายยากมาสอนให้ลำบากเล่า ในเมื่อเรื่องง่ายๆมีมากมายก่ายกองอธิบายเรื่องนั้นๆไม่ดีกว่าหรือ ?