การเกิด และแตกสลายของโลกมนุษย์
ช่วงนี้ได้ยินหลายคนหลายท่าน มาพูดให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่า โลกของเรากำลังจะแตก? น้ำแข็งกำลังละลาย เพราะโลกร้อน จะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ในไม่ช้านี้ พอได้ฟังดังนั้นข้าพเจ้าถึงกับงง… บ้างก็ว่าได้อ่านในหนังสือที่นักวิทยาศาตร์เขียนขึ้นมา อ่านในหนังสือนิตสารต่างๆ… เมื่อได้ฟังแล้วข้าพเจ้าก็อดคิดไม่ได้ ได้แต่ปลอบใจบุคคลเหล่านั้นว่า “อีกนานกว่าโลกนี้จะแตกสลายไปน่ะ หรือถ้าจะเกิดเช่นนั้นจริงก็ให้มันเกิด เราเองก็หลีกเลี่ยงไปไหนไม่ได้อยู่แล้วเพราะอาศัยอยู่ในโลกใบนี้” และได้ถามบุคคลเหล่านั้นว่า “การที่ได้เห็นได้ยินมาดังนั้น คุณเชื่อหรือเปล่าล่ะ” เขาตอบว่า “ก็เชื่อสิครับท่าน” ข้าพเจ้าเลยตอบเขาไปว่า “แหม..คุณนี่ยังไม่ได้พินิจพิจารณาอะไรก็เชื่อเสียแล้วนะ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ได้ฟังต่อๆ กันมา อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา อย่าเพิ่งเชื่อการนึกเดา อย่าเพิ่งเชื่อโดยการคาดคะแนเอาฯ คุณต้องมีเหตุมีผลกันบ้างสิ พินิจพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อนค่อยเชื่อ ไม่ใช่ว่าใครพูดอะไรก็เชื่อหมด เขาพูดอย่างนี้ก็เอนไป เขาพูดอย่างโน้นก็เอนไป คนเช่นนี้เขาอาจจะเรียกว่าเป็นคนไม่มีเหตุผล……
ถ้าหากโลกจะแตกจริงๆ ก็ขอให้ท่านทั้งหลายพยายามสร้างแต่คุณงามความดี บำเพ็ญตนตามหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา มีการให้ทาน การรักษาศีล การภาวนา เป็นต้น และข้าพเจ้าก็ได้เล่าพระสูตรที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนสามเณรวาเสฏฐะ สามเณรภารทวาช ให้เขาได้รับฟัง เมื่อเขาได้รับฟังแล้วก็โล่งอกสบายใจขึ้นมาทันที ไม่ไปกังวลอีกต่อไปว่าโลกจะแตกดังที่เขาได้ยินได้ฟังมานั้น พระสูตรนี้พระพุทธองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่องการเกิดของโลกมนุษย์ การแตกสลายของโลกมนุษย์ การเกิดของมนุษย์ เทวดา มารพรหม ว่ามีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร เมื่อเหล่าท่านทั้งหลายได้อ่านอัคคัญสูตรนี้จบแล้ว ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับตัวท่านเองไม่มากก็น้อย รวมทั้งขอให้นำความรู้ที่ได้ศึกษานี้ไปอธิบายให้คนอื่นๆได้เข้าใจเช่นท่าน ต่อไป
อัคคัญสูตร
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:- (หมายถึงพระอานนทเถระ) สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปราสาทของนาง วิสาขามิคารมารดา ในบุพพารามกรุงสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล วาเสฏฐะสามเณรและภารทวาชสามเณร หวังความเป็นภิกษุ จึงอยู่ประจำในสำนัก ของภิกษุ ลำดับนั้นในเวลาเย็นวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้นแล้ว ได้เสด็จลงจากปราสาท ทรงจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้ง ที่ร่มเงาปราสาท วาเสฏฐะสามเณรได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้นลงจากปราสาทแล้ว เสด็จจงกรมอยู่กลางแจ้งที่ร่มเงาปราสาท
ในเย็นวันหนึ่ง ครั้นเห็นแล้ว จึงเรียกภารทวาชสามเณรมากล่าวว่า ภารทวาชะ ผู้มีอายุพระผู้มีพระภาคเจ้านี้เสด็จออกจากที่เร้นลงจากปราสาท เสด็จจงกรมอยู่ที่กลางแจ้งที่ร่มเงาของปราสาทในเวลาเย็น ภารทวาชะผู้อาวุโส เรามาไปกัน เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจนถึงที่ประทับ เราพึงได้ เพื่อจะฟังธรรมอันมีกถา ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ ภารทวาชสามเณรก็รับคำของวาเสฏฐสามเณรว่า ตกลงท่านผู้มีอายุ ครั้งนั้นแล วาเสฏฐสามเณรและภารทวาชสามเณรจึงพากันเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจนถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้ถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้เดินจงกรมตามพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งกำลังเสด็จ จงกรมอยู่ ครั้งนั้แล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกวาเสฏฐสามเณรมา แล้วตรัสว่า ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอทั้งหลายแล มีชาติเป็น พราหมณ์มีตระกูลเป็นพราหมณ์ ออกบวชจากตระกูลของพราหมณ์ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ พราหมณ์ทั้งหลาย ไม่ด่า ไม่บริภาษเธอทั้งหลาย หรือดังนี้ วาเสฏฐะและภารทวาชะจึงทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมด่า ย่อมบริภาษข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยถ้อยคำตาม สมควรแก่ตนอย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อนเลย ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง ตรัสถามว่า ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็พวกพราหมณ์ด่าบริภาษเธอ ด้วยคำด่าอันสมควรอย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อนเลยอย่างไร
สามเณร ทั้งสองทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรมหมณ์ทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะประเสริฐที่สุด วรรณะอื่นเลวทราม พรมหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะขาว วรรณะอื่นดำ พวกพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระพรหม พระพรหมเนรมิตขึ้นมา เป็นทายาทของพระพรหม พวกท่านมา ละเสียจากวรรณะที่ประเสริฐที่สุดเข้าไปอยู่ในวรรณะที่เลวทราม คือพวกสมณะโล้น เป็นพวกคหบดีเป็นพวกดำ เกิดจากเท้าของพระพรหม การที่ท่านมาละเสียจากวรรณะประเสริฐสุด ฯลฯ เช่นนี้ ไม่เป็นการดี ไม่เป็นการสมควรเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ได้ พากันด่าบริภาษข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยถ้อยคำบริภาษอันสมควรแก่ตนอย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อนเลย อย่างนี้แล ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน วาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกพราหมณ์ระลึกถึงเรื่องเก่าของตนไม่ได้ จึง กล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐที่สุด วรรณะเหล่า อื่นเลวทราม พราหมณ์เท่านั้นมีวรรณะขาว วรรณะเหล่าอื่นดำ พวกพราหมณ์เท่านั้นบริสุทธิ์ หมู่ชนที่ไม่ใช่พราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดแต่อุระ เกิดจากปากของพรหมณ์ เกิดจากพระพรหม พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพรหม ดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและ ภารทวาชะ ตามที่ปรากฏชัดเจนอยู่ว่า นางพราหมณีของพวกพราหมณ์ ทั้งหลายมีระดูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดอยู่บ้าง ให้ลูกดื่มนมบ้าง ก็พราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้เกิดทางช่องคลอดของนางพราหมณีทั้งนั้น พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะประเสริฐที่สุด ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม ดังนี้ ก็พราหมณ์ เหล่านั้นย่อมกล่าวตู่พระพรหม และพูดมุสา พวกเขาจะต้องประสพ สิ่งไม่เป็นบุญมากมาย
ว่าด้วยวรรณะ ๔
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ วรรณะเหล่านี้มี ๔ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์บางพระองค์ในโลกนี้มีปกติฆ่าสัตว์ มีปกติพูดมุสา มีวาจาส่อเสียด มีวาจาหยาบคาย พูดเพ้อเจ้อ เพ่งเล็งอยากได้ของ เขา พยาบาทปองร้ายเขา มีความเห็นผิด ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้อันใด เป็นอกุศล นับว่าเป็นอกุศล มีโทษนับว่ามีโทษ ไม่ควรเสพ นับว่าไม่ควรเสพ ไม่ควรเป็นอริยธรรม ก็นับว่าไม่ควรเป็นอริยธรรม เป็นธรรมที่ดำ มีวิบากดำ วิญญูชนติเตียน ดังกล่าวมานี้ ธรรมเหล่านั้นย่อมปรากฏ อย่างชัดเจนในกษัตริย์บางพระองค์ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้พราหมณ์แล…ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้แพศย์แล…ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้ศูทรและบางคน ในโลกนี้ มีปกติฆ่าสัตว์ มีปกติถือเอาของที่เขาไม่ได้ให้ ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ อย่างนี้แล ธรรมทั้ง หลายเหล่าใด เป็นอกุศลนับว่าเป็นอกุศล ฯลฯ เป็นธรรมดำมีวิบากดำ วิญญูชนติเตียน ธรรมเหล่านั้นก็ย่อมปรากฏอย่างชัดเจน ในศูทรแม้บางคน
ว่าด้วยธรรมอันประเสริฐในโลกทั้งสอง
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์แม้บางคนในโลกนี้ เป็นผู้ขาดจากปาณาติบาต เว้นขาดจากอทินนาทาน เว้น ขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้นขาดจากสัมผัปปลาปะ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา มีจิตไม่พยาบาทเป็นสัมมาทิฏฐิ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ อย่างนี้แล ธรรมเหล่านี้เหล่าใด เป็นกุศล นับว่าเป็นกุศล ไม่มีโทษ นับว่าไม่มีโทษ ควรเสพนับว่าควรเสพ ควร เป็นอริยะนับว่าเป็นอริยะ เป็นธรรมขาว มีวิบากขาว วิญญูชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านั้นย่อมปรากฏอย่างชัดเจนในกษัตริย์บาง คนในโลกนี้…. ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้พราหมณ์แล…ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้แพศย์แล ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้ศูทรแลบางคนในโลกนี้เป็นผู้เว้นขาดจาก ปาณาติบาต ฯลฯ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา มีจิตไม่พยาบาทเขา มีความเห็นถูกต้อง ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ อย่างนี้แล ธรรมเหล่านี้เหล่าใด เป็นกุศล นับว่าเป็นกุศล ไม่มีโทษ นับว่าไม่มีโทษ ควรเสพนับว่าควรเสพ ควรเป็นอริยะนับว่าเป็นอริยะ เป็นธรรมขาว มีวิบากขาว วิญญูชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านั้นย่อมปรากฏอย่างชัดเจนแม้ในศูทรบางคน ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อวรรณะทั้ง ๔ เหล่านี้ แลรวมกันเป็น ๒ ฝ่าย คือ พวก ที่ตั้งอยู่ในธรรมฝ่ายดำ วิญญูชนติเตียนพวกหนึ่ง และพวกตั้งอยู่ในธรรมฝ่ายขาว วิญญูชนไม่ติเตียนพวกหนึ่ง ในเรื่องนี้เหตุไร พวกพราหมณ์ จึงพากันกล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะที่ประเสริฐที่สุด วรรณะอื่นล้วนเลวทราม พราหมณ์เท่านั้น มีวรรณะขาว วรรณะเหล่าอื่นดำ พราหมณ์เท่านั้นย่อมบริสุทธิ์ หมู่คนที่ไม่ใช่พราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ พราหมณ์ทั้งหลายเป็นบุตรเกิดแต่อกเกิดจากปากของพรหม เกิดจากพระพรหมโดยตรง พรหมเนรมิตขึ้นเป็นทายาทของพรหม ดังนี้ วิญญูชนทั้งหลาย ย่อมไม่รับรองถ้อยคำของพราหมณ์เหล่านั้น ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะว่า บรรดาวรรณะทั้ง ๔ เหล่านี้ ผู้ใดเป็นภิกษุผู้ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์มีกิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว ตามบรรลุประโยชน์ของตน มีสังโยชน์เครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพสิ้นแล้ว หลุดพ้นเพราะรู้โดยชอบ ผู้นั้นย่อมปรากฏว่าเป็นยอดกว่าคนทั้งหลายโดยธรรมแท้ หาใช่โดยอธรรมไม่ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในทิฏฐธรรมและในอภิสัมปรายภพ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ โดยบรรยายมานี้ พวกเธอพึงเข้าใจข้อนั้นอย่างนี้ว่า ธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในทิฏฐธรรมและในอภิสัมปรายภพ
ว่าด้วยธรรมประเสริฐที่สุด
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ พระราชาทรงพระนามว่า ปเสนทิโกศลก็ทรงทราบว่า พระสมณโคดมผู้ยอดเยี่ยม เสด็จ ออกบวชจากศากยราชตระกูลดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกศากยราชทั้งหลายแลย่อมเป็นผู้ติดตามพระเจ้า ปเสนทิโกศลทุกขณะ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกศากยราชทั้งหลายแลย่อมกระทำการนอบน้อมการไหว้ การต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม ในพระเจ้าปเสนทิโกศล ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะอย่างนี้แล ศากยะทั้งหลายย่อมพากันกระทำ การนอบน้อม การไหว้ การต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรมในพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลยังทรงกระทำการไหว้ การต้อนรับอัญชลีกรรม สามีจิกรรมนั้นในพระตถาคต ด้วยพระดำริว่า พระสมณโคดมมีชาติดีกว่า เรามีชาติไม่ดี พระสมณโคดมทรงมีกำลัง เราเองมีกำลังทราม พระสมณโคดมน่าเลื่อมใส เราเองมีผิวพรรณเศร้าหมองพระสมณโคดมมีศักดิ์ ใหญ่ เราเองมีศักดิ์น้อย ดังนี้ โดยที่แท้พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสักการะพระธรรม เคารพพระธรรม นับถือพระธรรม บูชาพระ ธรรม นอบน้อมพระธรรม พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทำการนอบน้อม อภิวาท ต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม ในพระตถาคต อย่างนี้แล ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ โดยบรรยายนี้ พระธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในทิฏฐธรรมและในสัมปรายภพ
ว่าด้วยบุตรเกิดแต่พระอุระ พระโอษฐ์พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอทั้งหลายแล มีชาติต่างกัน มีโคตรต่างกัน ออกจาก เรือนมาบวชเป็นบรรพชิต ถูกเขาถามว่า ท่านเป็นพวกไหนดังนี้ พึงตอบเขาว่า พวกเราเป็นพวกพระสมณะศากยบุตรดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ผู้ใดแลมีศรัทธาในพระตถาคตตั้งมั่น เกิดแต่มูลราก ตั้งมั่นอย่างมั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกให้เคลื่อนย้ายไม่ได้ ควรจะเรียกผู้นั้นว่าเราเป็นบุตรเกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาค เกิดจาก พระธรรม พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็น ทายาทของพระธรรมดังนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า ธรรมกายก็ดี พรหมกายก็ดี ธรรมภูตก็ดี พรหมภูตก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีบางสมัยบางคราว โดยอันล่วงไปแห่งกาลอันยาวนาน โลกนี้ก็จะพินาศไป เมื่อโลก กำลังพินาศอยู่ โดยมากหมู่สัตว์ย่อมวนเวียนไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม ในชั้นอาภัสสรพรหมนั้น สัตว์เหล่านั้นมีความสำเร็จได้โดยทางใจ มีปีติเป็นภักษาหาร มีรัศมีเอง ท่องเที่ยวไปได้ในอากาศ ดำรงอยู่ใน วิมานอันแสนงาม ย่อมดำรงอยู่ได้สิ้นกาลยืดยาวนาน ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยอีกบางครั้ง โดยอันล่วงไปแห่งกาล ยืดยาวนาน โลกนี้ย่อมเจริญขึ้น เมื่อโลกกำลังเจริญขึ้น โดยมากเหล่าสัตว์ก็จะพากันเคลื่อนจากพวกอาภัสสรพรหมมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีกและสัตว์เหล่านั้นมีความสำเร็จได้โดยทางใจ มีปีติเป็นภักษา มีรัศมีเอง ท่องเที่ยวไปในอากาศได้ ดำรงอยู่ในวิมานอัน งดงาม ย่อมดำรงอยู่ตลอดกาลยืด ยาวนาน ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็โดยสมัยนั้นแลจักรวาลนี้ก็จะกลายเป็นน้ำไปหมดมีความมืดมองไม่เห็น ทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฏ ดวงดาวนักษัตรก็ยังไม่ปรากฏ กลางวันกลางคืนก็ไม่ปรากฏ เดือนหนึ่งกึ่งเดือนหนึ่งก็ยังไม่ปรากฏ ฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฏ หญิงชายก็ยังไม่ปรากฏ หมู่สัตว์ทั้งหลายก็ถึงกาลนับว่า สัตว์ดังนี้อย่างเดียวกัน ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ในกาลบางคราว โดยอันล่วงไปแห่งกาลยืดยาวนาน ง้วนดินก็เกิดลอยอยู่บนน้ำปรากฏแก่สัตว์เหล่านั้นเหมือนน้ำนมสดที่บุคคลเคี่ยวแล้วทำให้เย็นสนิท แล้วปรากฏเป็นฝาอยู่ข้างบนฉะนั้น ง้วนดินนั้น ได้สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใสอย่างดีและเนยข้นอย่างดีฉะนั้น และได้มีรสอันน่าชอบใจ เหมือนน้ำผึ้งอันปราศจากโทษ ฉะนั้น ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะที่นั่นแล มีสัตว์บางตนมีชาติโลเลกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ สิ่งที่ลอยอยู่นี้ จะเป็นอะไรดังนี้ แล้วเอานิ้วมือช้อนเอาง้วนดินขึ้นมาลิ้มดู เมื่อเขากำลังเอานิ้วมือช้อนง้วนดินขึ้นมาลิ้มอยู่ ง้วนดินก็ได้ซ่านไปทั่ว ความอยากจึงเกิดขึ้นแก่เขาดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์เหล่าอื่นแลก็ถึงทิฏฐานุคติของสัตว์นั้นก็จะพากันเอานิ้วมือช้อนง้วนดินนั้นขึ้นมาลิ้มดู เมื่อสัตว์เหล่านั้นกำลังเอานิ้วมือช้อนเอาง้วนดินนั้นขึ้นมาชิม ง้วนดินที่แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์ และตัณหาก็เกิดขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้น
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ที่นั้นแล สัตว์เหล่านั้นจะพากันพยายามเอามือปั้นง้วนดินปั้นทำให้เป็นคำเพื่อที่จะบริโภค ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อใดแลที่สัตว์เหล่านั้นพยายามที่จะเอามือปั้นง้วนดินทำเป็นคำเพื่อที่จะบริโภค เมื่อนั้นรัศมีเฉพาะ ตัวสัตว์เหล่านั้นก็จะหายไป เมื่อรัศมีเฉพาะตัวหายไปพระจันทร์พระอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้นมา เมื่อพระจันทร์พระอาทิตย์ปรากฏขึ้นแล้ว หมู่ดาวนักษัตรก็จะปรากฏ เมื่อหมู่ดาวนักษัตรปรากฏแล้ว กลางคืนกลางวันก็ปรากฏ เมื่อกลางคืนกลางวันปรากฏแล้ว เดือนหนึ่ง กึ่งเดือนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เมื่อเดือนหนึ่งกึ่งเดือนหนึ่งปรากฏขึ้นแล้ว ฤดูและปีก็ปรากฏขึ้น ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วยเหตุเพียงประมาณเท่านี้แล โลกนี้ย่อมเจริญขึ้นมาอีก
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์เหล่านั้นพากันบริโภคง้วนดิน มีง้วนดินเป็นภักษาหาร ได้ดำรงอยู่ตลอด กาลยืดยาวนาน ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์เหล่านั้นบริโภคง้วนดิน มีง้วนดินนั้นเป็นภักษาเป็นอาหารได้ตั้งอยู่ตลอด กาลยืดยาวนานโดยประการใดแล ความแข็งแกร่งก็เกิดมีในกายของสัตว์เหล่านั้น ความมีผิวพรรณดี ก็ได้ปรากฏชัดขึ้นมา สัตว์บางพวกก็มีผิวพรรณดีบางพวกมีผิวพรรณเลว บรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดมีผิวพรรณดี สัตว์เหล่านั้นก็ดูหมิ่นสัตว์ ผิวพรรณเลวกว่าดังนี้ เมื่อสัตว์เหล่านั้นเกิดมีมานะถือตัวเพราะการดูหมิ่นเรื่องผิวพรรณเป็นปัจจัย ง้วนดินก็ได้อันตรธานหายไป เมื่อง้วนดินหายไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงประชุมกัน ครั้นประชุมกันแล้วต่างก็พากันทอดถอนใจว่า รสดี รสดี ดังนี้ แม้ในทุกวันนี้ พวกมนุษย์ได้ของมีรสดีบางอย่างเท่านั้น ก็พากันกล่าวอย่างนี้ว่า รสดี รสดี ดังนี้ หมู่พราหมณ์ทั้งหลายพากันอนุสรณ์ถึงอักขระที่รู้กันว่าเป็นของเลิศเป็นของเก่านั้น แต่หาได้รู้ถึงความหมายของอักขระนั้นเลย
ว่าด้วยกะบิดินเป็นต้นเกิดขึ้น
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล เมื่อง้วนดินของสัตว์เหล่านั้นหายไป กะบิดินก็ปรากฏขึ้น กะบิดินนั้น ปรากฏเหมือนเห็ด กะบิดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส ได้มีสีเหมือนเนยใสที่ปรุงอย่างดีหรือเนยข้นอย่างดี และได้มีรสอย่างน่า ชอบใจเหมือนน้ำผึ้งซึ่งปราศจากโทษฉะนั้น ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์เหล่านั้นก็ได้พยายามเพื่อจะบริโภคกะบิดิน สัตว์เหล่านั้นบริโภคกะบิดินนั้นแล้ว มีกะบิดินนั้นเป็นภักษาเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนาน ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์เหล่านั้นเมื่อบริโภคกะบิดิน มีกะบิดินนั้นเป็นภักษาเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนานโดยประการใดแล ความเป็นผู้กล้าแข็ง โดยประมาณโดยยิ่งก็ได้ปรากฏขึ้นในกายของสัตว์เหล่านั้น และความเป็นผู้มีผิวพรรณงดงามก็ได้ ปรากฏชัดโดยประการนั้น สัตว์บางพวกมีผิวพรรณดี บางพวกมีผิวพรรณเลว บรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดมีผิวพรรณดี สัตว์เหล่านั้นก็ดูหมิ่นสัตว์ที่มีผิวพรรณทรามว่า พวกเรามีผิวพรรณงามกว่าสัตว์เหล่านี้ สัตว์เหล่านี้มีผิวพรรณเลวกว่าพวกเรา ดังนี้ เมื่อสัตว์เหล่านั้นต่างพากันมีมานะเกิดขึ้น เพราะการดูหมิ่นผิวพรรณเป็นปัจจัย กะบิดินก็อันตรธานหายไป เมื่อกะบิดินหายไปแล้ว เครือดินได้ปรากฏขึ้นมา เครือดินนั้นได้ปรากฏคล้ายผลมะพร้าวฉะนั้น เครือดินนั้นสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส ได้มีสี เหมือนเนยใสที่ปรุงอย่างดีหรือเนยข้นอย่างดีฉะนั้น และได้มีรสน่าชอบใจ เหมือนน้ำผึ้งซึ่งปราศจากโทษฉะนั้น ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์เหล่านั้นได้พากันพยายามเพื่อที่บริโภคเครือดิน สัตว์เหล่านั้นบริโภคเครือดิน ได้มีเครือดินนั้นเป็นภักษาเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนาน ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์เหล่านั้นบริโภค เครือดิน มีเครือดินเป็นภักษาเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนานโดยประการใดแล ความเป็นผู้กล้าแข็งโดยประมาณ โดยยิ่งก็ได้ปรากฏในกายแก่สัตว์เหล่านั้น และความเป็นผู้มีผิวพรรณดีได้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน สัตว์บางพวกผิวพรรณดี บางพวกมีผิวพรรณเลว บรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดมีผิวพรรดี สัตว์เหล่านั้นก็ดูหมิ่นสัตว์ที่มีผิวพรรณทรามว่า พวกเรามีผิวพรรณงามกว่าสัตว์เหล่านี้ สัตว์เหล่านี้มีผิวพรรณเลวกว่าพวกเรา ดังนี้ เมื่อสัตว์เหล่านั้นต่างพากันมีมานะเกิดขึ้น เพราะการดูหมิ่นผิวพรรณเป็นปัจจัย เครือดินก็อันตรธานหายไป เมื่อเครือดินหายไปแล้ว เหล่าสัตว์ก็ประชุมกัน ครั้นประชุม กันแล้วก็ทอดถอนใจว่า เครือดินได้มีแก่เราหนอ เครือดินของเราได้สูญหายไปหมดแล้วหนอ ดังนี้ ในสมัยนี้มนุษย์ทั้งหลายพอ ถูกทุกขธรรมบางอย่างถูกต้องเข้าก็พากันกล่าวว่า ของนี้ได้มีแล้วแก่เรา ของนี้ของเราได้สูญหายไปหมดแล้ว ดังนี้ พวกพราหมณ์ ย่อมอนุสรณ์ถึงอักขระอันควรรู้ซึ่งเป็นของดีเป็นของเก่านั้นแล แต่ว่าพวกพราหมณ์เหล่านั้น หารู้ทั่วถึงใจความของ อักขระนั้นไม่
ว่าด้วยปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล เมื่อเครือดินของสัตว์เหล่านั้นสูญหายไปแล้ว ข้าวสาลีซึ่งบังเกิดในที่ที่ไม่ต้องไถ ไม่มีรำไม่มีแกลบ บริสุทธิ์มีกลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสารปรากฏขึ้นมา สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นก็พากันขนเอาข้าวสาลี ชนิดใดมา เพื่อเป็นอาหารมื้อเย็นในเวลาเย็น ตอนเช้าข้าวสาลีชนิดนั้นก็สุกงอมขึ้นมาแทน และในตอนเช้าสัตว์ทั้งหลายได้พา กันขนเอาข้าวสาลีชนิดใดมา เพื่อบริโภคในเวลาเช้า ในตอนเย็น ข้าวสาลีนั้นก็สุกงอมขึ้นมาแทน ความบกพร่องไปหาได้ปรากฏไม่ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล เหล่าสัตว์ทั้งหลายพากันบริโภคข้าวสาลีซึ่งสุกเองในที่ที่ไม่ต้องไถมีข้าว สาลีนั้นเป็นภักษาเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนาน ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์เหล่านั้นบริโภคข้าวสาลี ซึ่งสุกเองในที่ที่ไม่ต้องไถ มีข้าวสาลีนั้นเป็นภักษาเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนาน โดยประการใดแล ความกล้า แข็งโดยประมาณโดยยิ่งได้เกิดมีในกายของสัตว์เหล่านั้น และความเป็นผู้มีผิวพรรณงดงามก็ได้ปรากฏอย่างชัดเจนโดยประการ นั้น และเพศหญิงก็ปรากฏแก่หญิง เพศชายก็ได้ปรากฏแก่ชาย ก็ได้ยินว่าหญิงย่อมเพ่งดูชายตลอดเวลา และชายย่อมเพ่งดูหญิงตลอดเวลาเช่นกัน เมื่อชนเหล่านั้นต่างเพ่งดูกันและกันตลอดเวลา ความกำหนัดก็เกิดขึ้น ความเร่าร้อนก็ปรากฏขึ้นในกาย ชนเหล่านั้น เพราะความเร่าร้อนเป็นปัจจัย จึงได้เสพเมถุนธรรม ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็โดยสมัยนั้นสัตว์เหล่าใดแล เห็นสัตว์เหล่าอื่นกำลังเสพเมถุนธรรมกันก็โปรยฝุ่นลงบ้าง โปรยเถ้าลงบ้าง โปรยโคมัยลงบ้าง ด้วยกล่าวว่าคนถ่อยเจ้าจง ฉิบหาย คนถ่อยเจ้าจงฉิบหายดังนี้ แล้วกล่าวว่า ก็สัตว์จักกระทำกรรมอย่างนี้แก่สัตว์อย่างไรดังนี้ แม้ในขณะนี้ ในชนบทบางแห่ง เมื่อนำสัตว์ถูกฆ่าไปสู่ตะแลงแกง มนุษย์เหล่าอื่นก็จะซัดฝุ่นบ้างซัดเถ้าบ้างซัดโคมัยบ้างใส่คนชื่อนั้น พวกพราหมณ์ย่อมระลึกถึงอักขระ ที่รู้กันดีว่าซึ่งเป็นของเก่านั้น แต่ว่าพราหมณ์เหล่านั้นหารู้เนื้อความของอักขระนั้นอย่างชัดเจนไม่
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะก็โดยสมัยนั้น การซัดฝุ่นเป็นต้นนั้นแล รู้กันว่าไม่เป็นธรรม ในบัดนี้รู้กันว่าเป็นธรรม ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ โดยสมัยนั้น สัตว์เหล่าใดแลย่อมเสพเมถุนกัน สัตว์เหล่านั้นย่อมไม่ได้เพื่อจะเข้าไปยังหมู่บ้าน หรือนิคมตลอด ๓ เดือนบ้าง ๒ เดือนบ้าง ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะในกาลใดแล สัตว์ทั้งหลายถึงความชั่วช้าในอสัทธรรมนั่นตลอดเวลา ในกาลนั้น สัตว์เหล่านั้นจึงได้พากันพยายามสร้างเรือนอยู่ เพื่อประโยชน์แก่การปกปิดอสัทธรรมนั้น ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์บางตนซึ่งมีชาติขี้เกียจได้มีความคิดนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เรานี้ต้องนำเอาข้าวสาลีมาเพื่อเป็นอาหารเย็นในเวลาเย็นและเพื่อเป็นอาหารเช้าในตอนเช้า ย่อมเดือดร้อนจริง อย่ากระนั้นเลย เราควรนำเอาข้าวสาลีมาครั้งเดียวให้พอเพื่อบริโภคทั้งในเวลาเช้าและเวลาเย็นดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์นั้นก็เอาข้าวสาลีมาเพียงคราวเดียว เพื่อเป็นอาหารทั้งในเวลาเย็นทั้งในเวลาเช้า ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์อื่นจึงเข้าไปหาสัตว์นั้นถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วจึงได้กล่าวกะสัตว์นั้นว่า มาเถิด สัตว์ผู้เจริญ เราจะไปนำข้าวสาลีมาดังนี้ สัตว์นั้นจึงกล่าวว่า อย่าเลยสัตว์ผู้เจริญ เรานำเอาข้าวสาลีมาครั้งเดียวให้พอเพื่อบริโภคทั้งในเวลาเช้าและเวลาเย็นดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์นั้นก็ถึงทิฏฐานุคติของสัตว์นั้นแล้ว นำข้าวสาลีมาครั้งเดียว เพื่ออาหารทั้งสองเวลา ด้วยกล่าวว่า ได้ยินว่า อย่างนี้ก็ดีนะผู้เจริญดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์อื่นจึงเข้าไปหาสัตว์นั้นจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจึงได้ กล่าวคำนี้กะสัตว์นั้นว่า มาเถิดสัตว์ผู้เจริญ เราจะไปเก็บข้าวสาลีกันดังนี้ สัตว์นั้นจึงตอบว่า อย่าเลยสัตว์ผู้เจริญ เรานำ ข้าวสาลีมาครั้งเดียวเพื่อเป็นอาหารทั้งเช้าและเย็นดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์นั้นถึงทิฏฐานุคติของสัตว์นั้นจึงนำข้าวสาลีมาเพื่อเป็นอาหารถึง ๔ วัน ด้วยกล่าวว่า ได้ยินว่า อย่างนี้ก็ดีนะ ผู้เจริญดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์อื่นจึงเข้าไปหาสัตว์นั้นจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะสัตว์นั้นว่า มาเถิดสัตว์ผู้เจริญ เราจะไปเก็บข้าวสาลีกันดังนี้ สัตว์นั้นจึงกล่าวว่า อย่าเลยสัตว์ผู้เจริญ เรานำข้าวสาลีมาครั้งเดียวเพื่อเป็นอาหารได้ ๔ วันดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์นั้นถึงทิฏฐานุคติของสัตว์นั้นได้ไปขนเอาข้าวสาลีมาครั้งเดียว เท่านั้นเพื่อเป็นอาหาร ๔ วัน ด้วยกล่าวว่า ได้ยินว่า อย่างนี้ก็ดีนะผู้เจริญดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อใดแล สัตว์ นั้นก็ได้พยายามเพื่อจะบริโภคข้าวสาลีสั่งสมไว้ ดูก่อน วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล ข้าวสาลีจึงมีรำห่อเมล็ดบ้าง มีแกลบ ห่อเมล็ดบ้าง ต้นที่ถูกเกี่ยวแล้วไม่กลับงอกขึ้นมาอีก การขาดตอนก็ปรากฏขึ้น ข้าวสาลีจึงได้มีเป็นกลุ่มขึ้นมา
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์เหล่านั้นจึงประชุมพร้อมกัน ครั้นแล้วก็พากันทอดถอนใจว่า ผู้เจริญ ธรรมอันเลวทรามได้ปรากฏในสัตว์ทั้งหลาย ด้วยว่า ในกาลก่อน พวกเรามีความสำเร็จทางใจ มีปีติเป็นภักษา มีรัศมีเอง ท่องเที่ยวไปในอากาศได้ ดำรงอยู่ในวิมานอันงดงาม ได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนาน ง้วนดินเกิดในน้ำแก่พวกเรา ง้วนดินนั้น ได้สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส พวกเรานั้น ได้พยายามเอามือปั้นง้วนดินเป็นคำๆ เพื่อที่จะบริโภค เมื่อพวกเราพากันพยายามเอา มือปั้นง้วนดินทำเป็นคำๆ เพื่อที่จะบริโภคอยู่ รัศมีเฉพาะตัวก็หายไป เมื่อรัศมีเฉพาะตัวหายไป พระจันทร์พระอาทิตย์ก็ปรากฏ เมื่อพระจันทร์พระอาทิตย์ปรากฏแล้ว หมู่ดาวนักษัตรทั้งหลายก็ได้ปรากฏ เมื่อหมู่ดาวนักษัตรทั้งหลายปรากฏแล้ว กลางคืน กลางวันก็ปรากฏ เมื่อกลางคืนกลางวันปรากฏแล้ว เดือนหนึ่งกึ่งเดือนหนึ่งก็ปรากฏ เมื่อเดือนหนึ่งกึ่งเดือนปรากฏอยู่ ฤดูและปีก็ปรากฏ พวกเราเหล่านั้นบริโภคง้วนดิน มีง้วนดินเป็นภักษาเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนาน เพราะ อกุศลกรรมอันลามก ง้วนดินของพวกเรานั้นจึงได้หายไป เมื่อง้วนดินหายไปแล้ว กะบิดินก็ปรากฏ กะบิดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส พวกเราเหล่านั้น ได้พากันพยายามเพื่อจะบริโภคกะบิดินนั้น พวกเรานั้นบริโภคกะบิดินนั้นแล้ว มีกะบิดินนั้นเป็นภักษาเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนาน เพราะความปรากฏแห่งอกุศลธรรมอันลามกของพวกเรานั้น กะบิดินจึงได้หายไป เมื่อกะบิดินหายไปแล้ว เครือดินก็ปรากฏขึ้นมา เครือดินนั้นก็สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส พวกเรานั้นได้พากันพยายาม เพื่อจะบริโภคเครือดินนั้น พวกเรานั้นบริโภคเครือดินนั้นแล้ว ก็มีเครือดินเป็นภักษาเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนาน เพราะความปรากฏแห่งอกุศลธรรมอันลามกของพวกเรานั้น เครือดินจึงได้หายไป เมื่อเครือดินหายไปแล้ว ข้าวสาลีอันเกิดสุกในที่ที่ไม่ต้องไถ ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ บริสุทธิ์ มีกลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสารก็ได้ปรากฏขึ้น พวกเราไปนำเอาข้าวสาลีชนิดใดมา เพื่อเป็นอาหารเย็นในเวลาเย็น ในตอนเช้าข้าวสาลีนั้นก็สุกงอกขึ้นมาอีก พวกเราไปนำเอาข้าวสาลีชนิดใดมาเพื่อเป็นอาหารเช้าในเวลาเช้า ในตอนเย็น ข้าวสาลีนั้นก็สุกงอกขึ้นมาเอง ความขาดหาได้ปรากฏไม่ พวกเรานั้นเมื่อบริโภคข้าวสาลีซึ่งเกิดในที่ที่ไม่ได้ไถ ก็มีข้าวสาลีนั้นเป็นภักษาเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนาน เพราะความปรากฏแห่งอกุศลธรรมอันลามกของพวกเรานั้นแล ข้าวสาลีจึงมีรำหุ้มเมล็ดบ้าง มีแกลบหุ้มเมล็ดบ้าง ข้าวสาลีที่เราเกี่ยวแล้วหาได้งอกขึ้น อีกไม่ แม้ความขาดตอนก็ได้ปรากฏ ข้าวสาลีเป็นกลุ่มจึงเกิดขึ้น ไฉนหนอ เราควรแบ่งข้าวสาลีกัน และพึงกั้นเขตคันกันดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์ทั้งหลายจึงพากันแบ่งข้าวสาลีและกั้นเขตคันกันขึ้น
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์บางตนมีความโลเล รักษาส่วนของตนเอาไว้ ถือเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ได้ ให้บริโภค สัตว์เหล่าอื่นได้จับสัตว์นั้นได้ ครั้นจับได้แล้วจึงกล่าวว่า สัตว์ผู้เจริญ ท่านทำกรรมชั่วที่รักษาส่วนของตนไว้ถือเอา ส่วนอื่นที่เขาไม่ได้ให้บริโภค สัตว์ผู้เจริญ ท่านอย่าได้ทำกรรมชั่วช้าอย่างนี้อีกดังนี้ สัตว์นั้นก็รับคำสัตว์เหล่านั้นว่า เราจะไม่ทำ อย่างนี้อีกผู้เจริญ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้ในครั้งที่ ๒ สัตว์นั้น ฯลฯ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้ในครั้งที่สาม สัตว์นั้นก็รับอย่างนั้น และสัตว์นั้นก็ยังคงรักษาส่วนของตน แล้วถือเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ได้ให้บริโภค สัตว์ทั้งหลายได้พากันจับ สัตว์นั้นแล้ว ครั้นจับแล้วกล่าวคำนี้ว่า สัตว์ผู้เจริญ ท่านทำกรรมชั่วช้าที่รักษาส่วนของตนแล้วถือเอาส่วนที่เขาไม่ได้ให้กลืน กิน สัตว์ผู้เจริญ ท่านอย่าได้ทำอย่างนี้อีกดังนี้ สัตว์เหล่าอื่นเอามือทุบ เอาก้อนหินขว้าง เอาท่อนไม้ตี ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ในเพราะเรื่องนั้นเป็นสำคัญแล อทินนาทานจึงปรากฏ การครหาจึงปรากฏ มุสาวาทจึงปรากฏ การจับท่อนไม้จึง ปรากฏ สัตว์ประเสริฐทั้งหลายจึงได้ประชุมพร้อมกัน ครั้นแล้วก็ทอดถอนใจว่า ผู้เจริญ ธรรมอันลามกเลวทรามปรากฏในหมู่ สัตว์ได้ ก็อทินนาทานจักปรากฏ การครหาจักปรากฏ มุสาวาทจักปรากฏ การจับท่อนไม้จักปรากฏ อย่ากระนั้นเลย เราควร นับถือสัตว์ผู้หนึ่งซึ่งจะว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้ ติเตียนผู้ที่ควรติเตียนได้ ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้ ส่วนพวกเราจักให้ส่วนแห่ง ข้าวสาลีแก่ผู้นั้นดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์เหล่านั้นจึงเข้าไปหาสัตว์ที่มีรูปงามกว่า น่าดูกว่า น่า เลื่อมใสกว่าศักดิ์ใหญ่กว่าแล้วได้กล่าวคำนั้นว่า มาเถิดสัตว์ผู้เจริญ ท่านจงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้โดยชอบ จงติเตียนผู้ที่ ควรติเตียนได้ จงขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้ ส่วนพวกเราจักให้ส่วนแห่งข้าวสาลีแก่ท่านดังนี้ สัตว์นั้นได้รับคำสัตว์เหล่านั้นว่า อย่างนั้นผู้เจริญดังนี้ แล้วได้ว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้โดยชอบ ติเตียนผู้ที่ควรติเตียนได้ ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้ ส่วนสัตว์ เหล่านั้น ก็ได้ให้ส่วนแห่งข้าวสาลีแก่สัตว์นั้น
ว่าด้วยต้นเหตุเกิดอักขระว่ามหาสมบัติ กษัตริย์ ราชา
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะชนผู้เป็นหัวหน้าอันมหาชนสมมติแล้วอักขระว่า มหาสมมติจึงได้เกิดขึ้นเป็น ครั้งแรก ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะผู้เป็นหัวหน้าเป็นใหญ่แห่งเขตฉะนั้น อักขระว่ากษัตริย์ กษัตริย์ จึงอุบัติขึ้นเป็น คำที่ ๒ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตุผู้เป็นใหญ่ย่อมยังชนบทเหล่าอื่นให้ยินดีโดยชอบธรรม ฉะนั้น อักขระว่า ราชา ราชา ดังนี้จึงปรากฏขึ้นเป็นคำที่ ๓ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตุดังกล่าวมานี้แล การบังเกิดขึ้นของหมู่ กษัตริย์จึงเกิดขึ้นมาด้วยอักขระที่เข้าใจกันว่าเลิศเป็นของเก่า เรื่องของสัตว์เหล่านั้นจะเหมือนกัน และไม่เหมือนกันกับสัตว์อื่น นั้นก็ด้วยธรรม หาใช่ด้วยอธรรมไม่ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชน ทั้งในทิฏฐธรรมและ อภิสัมปรายภพ
ครั้งนั้นแล สัตว์บางจำพวกเหล่านั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ผู้เจริญ การถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้จักปรากฏ การครหาจักปรากฏ มุสาวาทจักปรากฏ การถือเอาท่อนไม้จักปรากฏ การขับไล่จักปรากฏในเพราะบาปธรรมใด บาปธรรม เหล่านั้นได้ปรากฏในหมู่สัตว์ทั้งหลาย อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรลอยอกุศลธรรมอันลามกทิ้งเสียเถิดดังนี้ สัตว์เหล่านั้นจึงได้ พากันลอยอกุศลธรรมอันลามกนั้นทิ้งไป ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะสัตว์ทั้งหลายพากันลอยอกุศลธรรมทิ้งไป ฉะนั้น อักขระว่า พราหมณ์ดังนี้ จึงบังเกิดขึ้นครั้งแรก พราหมณ์เหล่านั้นจึงสร้างกระท่อมมุงด้วยใบไม้ในราวป่าแล้วเพ่งอยู่ในกระท่อมที่ มุงด้วยใบไม้นั้น พวกพราหมณ์เหล่านั้นไม่มีการหุงต้ม ไม่มีการตำข้าว ในเวลาเย็นในเวลาเช้า พวกเขาก็พากันเที่ยวไปยังหมู่ บ้านตำบลและเมืองแสวงหาอาหาร เพื่อบริโภคในเวลาเย็นและในเวลาเช้า พวกเขาได้อาหารแล้วก็เพ่งอยู่ในกุฏิใบไม่ในราวป่า นั้นอีก หมู่มนุษย์พบเขาเข้า ก็กล่าวอย่างนี้ว่า ผู้เจริญ สัตว์เหล่านี้สร้างกระท่อมมุงด้วยใบไม้ในราวป่าแล้วเพ่งอยู่ในกระท่อม ซึ่งมุงด้วยใบไม้นั้น พวกเขาไม่มีการหุงต้ม ไม่มีการตำข้าวในเวลาเย็นในเวลาเช้า พวกเขาพากันเที่ยวไปยังหมู่บ้านตำบลและ เมืองแสวงหาอาหาร เพื่อบริโภคในเวลาเย็นในเวลาเช้า เขาได้อาหารแล้วมาเพ่งอยู่ในกุฏิที่มุงด้วยใบไม้ในราวป่าอีก ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ อักขระว่า ฌายิกา ฌายิกา ดังนี้ จึงบังเกิดขึ้นเป็นคำที่สอง ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ บรรดา สัตว์เหล่านั้น บางพวกเมื่อไม่ได้สำเร็จฌานในกระท่อมที่มุงด้วยใบไม้ในราวป่า จึงเที่ยวไปรอบหมู่รอบนิคม ทำคัมภีร์ มาอยู่ มนุษย์ทั้งหลายเห็นเขาเข้า จึงกล่าวอย่างนี้ ผู้เจริญ สัตว์เหล่านี้แลไม่ได้บรรลุฌานในกุฏิที่มุงด้วยใบไม้ในราวป่า จึงเที่ยวไป รอบบ้านรอบนิคม ทำคัมภีร์มาอยู่ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ บัดนี้ชนเหล่านี้ไม่เพ่งอยู่ ชนเหล่านี้ไม่เพ่งอยู่ในบัดนี้ฉะนั้น
อักขระว่า อชฺฌายิกา อชฺฌายิกา ดังนี้จึงบังเกิดขึ้นเป็นคำที่ ๓ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็คำนั้น โดยสมัยนั้นสมมติกันว่า เป็นคำเลว แต่ในสมัยนี้ คำนี้สมมติกันว่าประเสริฐ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะการพรรณาดังว่ามานี้ การบังเกิดขึ้น ของหมู่พราหมณ์นั้นโดยอักขระที่เข้าใจกันว่าเลิศเป็นของเก่าจึงได้มี เรื่องของสัตว์ทั้งหลายจะเหมือนหรือไม่เหมือนกันโดย ธรรมเท่านั้นหาใช่โดยอธรรมไม่ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ ธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในทิฏฐธรรมและ อภิสัมปรายภพ
ว่าด้วยการเกิดขึ้นแห่งแพศย์
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ บรรดาสัตว์นั้นบางพวก ยึดมั่นเมถุนธรรมแยกประกอบการงาน ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์เหล่านั้นยึดมั่นในเมถุนธรรมแล้ว แยกประกอบการงาน ฉะนั้น อักขระว่า เวสฺสา เวสฺสา ดังนี้จึงบังเกิดขึ้น ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตุดังกล่าวมานี้ การบังเกิดของพวกแพศย์จึงมีได้อย่างนี้ ท่านย่อคำไว้แล้ว ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตุดังกล่าวนี้แล การบังเกิดขึ้นของหมู่ศูทรนั้น จึงมีได้ด้วยอักขระที่เข้าใจกันว่าเลิศเป็นของเก่า เรื่องของสัตว์เหล่านั้นจะเหมือนกันหรือไม่เหมือนกับสัตว์อื่น ก็โดยธรรมเท่านั้น หาใช่โดยอธรรมไม่ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ธรรมเหล่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในทิฏฐธรรมและในอภิสัมปรายภพ
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยที่กษัตริย์ติเตียนธรรมของตน จึงออกจากเรือนบวชด้วยคิดว่า เราจะเป็นสมณะ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยที่พราหมณ์ ฯลฯ แพศย์ ฯลฯ ศูทร ติเตียนธรรมของตนจึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า เราจักเป็นสมณะดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ การบังเกิดขึ้นแห่งหมู่สมณะจึงได้มีขึ้นด้วยหมู่ทั้ง ๔ เหล่านี้ เรื่องของสัตว์เหล่านั้นจะเหมือนหรือไม่เหมือนกับสัตว์เหล่าอื่นก็โดยธรรมเท่านั้น หาใช่โดยอธรรมไม่ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ธรรมเหล่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในทิฏฐธรรมและในอภิสัมปรายภพ
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี แพศย์ก็ดี ศูทรก็ดี ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือกรรมด้วยมิจฉาทิฏฐิ เพราะการยึดถือกรรมด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิเป็นเหตุ เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคคติ วินิบาต นรก
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี แพศย์ก็ดี ศูทรก็ดี ประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นสัมมาทิฏฐิ สมาทานกรรมด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เพราะการยึดถือกรรมด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิเป็นเหตุ เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี แพศย์ก็ดี ศูทรก็ดี มีปกติทำกรรมสองอย่าง ด้วยกาย ด้วย วาจา ด้วยใจ มีความเห็นเจือปนกัน ยึดถือกรรมด้วยอำนาจความเห็นอันเจือปนกัน เพราะการยึดถือกรรมด้วยอำนาจความ เห็น อันเจือปนกันเป็นเหตุ เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก ย่อมเสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์ก็ดี ฯลฯ พราหมณ์ก็ดี ฯลฯ แพศย์ก็ดี ฯลฯ ศูทรก็ดี สำรวมทางกาย สำรวม ทางวาจา สำรวมทางใจ อาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้ง ๗ แล้ว ย่อมปรินิพพานในโลกนี้แท้
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ บรรดาวรรณะทั้ง ๔ เหล่านี้ วรรณะใดเป็นภิกษุผู้อรหันต์ สิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบแล้ว มีกรณียะอันกระทำแล้ว ปลงภาระได้แล้ว ตามบรรลุประโยชน์ของตนแล้ว มีสังโยชน์เครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพสิ้นแล้ว ดับแล้ว เพราะรู้โดยชอบ วรรณะนั้นปรากฏว่าเป็นผู้เลิศกว่าวรรณะเหล่านั้นโดยธรรม หาใช่โดยอธรรมไม่ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในทิฏฐธรรมและอภิสัมปรายภพ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้สนังกุมารพรหมก็ได้ กล่าวคาถาไว้ว่า
กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้มีความรังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์ดังนี้
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็คาถานี้สนังกุมารพรหมขับไว้ถูกต้องไม่ผิด ภาษิตไว้ถูก ไม่ผิด ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เรารู้แล้ว ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้เราเองก็กล่าวอย่างนี้ว่า
กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้มีความรังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายดังนี้
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระดำรัสนี้แล้ว วาเสฏฐะและภารทวาชะก็ยินดีชื่นชม ภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล
จบอัคคัญญสูตร ที่มา: พระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ของมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 15 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ตั้งแต่หน้า 145 อัคคัญญสูตร