เจ้ากรรมนายเวร คืออะไร ?
สำหรับเรื่องเจ้ากรรมนายเวร เป็นเรื่องที่หนักสำหรับผมที่จะให้ความกระจ่าในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องกรรม การให้ผลของกรรม เป็นหนึ่งในอจินไตย 4 ซึ่งท่านแปลว่า เป็นสิ่งที่ไม่พึงคิดหริอจำแนกตรรกะลงไปได้ หมายถึง สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่
- พุทธวิสัย วิสัยแห่งความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
- ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌาน ทั้งมนุษย์ และเทวดา
- กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม และวิบากกรรม คือการให้ผลของกรรมที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ
- โลกวิสัย วิสัยแห่งโลก คือการกำเนิดโลก ความเป็นมาเป็นไปของโลก การมีอยู่ของสวรรค์ นรก และสังสารวัฏ
ผมเองก็ยอมรับว่าศึกษามาน้อยมาก ๆ ทั้งในส่วนของพระไตรปิฎก ทั้งในการปฏิบัติ แต่ก็อยากเขียน ผมใช้เวลาคิดอยู่ 5 นาทีว่าจะเขียนหรือไม่ โดยที่ไม่ได้เปิดตำราดูว่าจะเขียนอย่างไร ฉะนั้น ความคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรของผมอาจจะผิดพลาดหรือไม่ตรงกับความคิดท่านอื่นก็ได้ ขอให้ท่านผู้มีปัญญานำไปพิจารณาเลือกเฟ้นเอง
เจ้ากรรมนายเวร คืออะไร ? ผมเลือกใช้คำนี้ แทนที่จะใช้คำว่า “เจ้ากรรมนายเวร คือใคร” หมายความว่า เจ้ากรรมนายเวรอาจจะเป็นสภาวะอย่างใดอย่างหนึ่งที่นอกเหนือจากบุคคลหรือสัตว์
คำว่า “เจ้ากรรมนายเวร มีในพระไตรปิฎกหรือไม่” หากว่าโดยศัพท์แล้ว เท่าที่ทราบ คำนี้ไม่มีในพระไตรปิฎก แต่หากว่าโดยเนื้อความ เหตุการณ์ บุคคล ที่เข้าในลักษณะของการจองเวรต่อกันมีปรากฎในคัมภีร์ทั้งหลาย
ต่อไปนี้ ผมจะกล่าวถึงลักษณะของเจ้ากรรมนายเวร ตามความเข้าใจของผม
เจ้ากรรมนายเวร คือสภาวะที่เป็นเวรต่อกัน เป็นข้าศึกต่อกัน ตรงกันข้ามกัน ขัดแย้งกัน เป็นอุปสรรคต่อกัน หักล้างกัน เป็นได้ทั้งบุคคล สัตว์ เหตุการณ์ โดยมีกรรมเป็นเครื่องประกอบ
เจ้ากรรมนายเวร ไม่จำเป็นต้องเป็นบุคคลบุคคลที่อาฆาตกันมาแต่อดีตชาติ นั่นยาวไป สืบสาวไม่ถึง เช่น คนเหยียบเท้ากัน ขับรถชนกัน ขับรถปาดหน้ากัน แล้วอาฆาตพยาบาทจองเวรกัน จองเวรด้วยการด่ากันบ้าง ตบตีกันบ้าง ฟ้องร้องกันบ้าง 1 นาที ก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรกัน 1 นาที จองเวรเช่นนั้น 10 ปี ก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรกัน 10 ปี จองเวรกันถึงชาติหน้า ก็เป็นเจ้านายเวรกันถึงชาติหน้า จนกว่าจะให้อภัยกัน ความเป็นเจ้ากรรมนายเวรหายไปด้วยการไม่จองเวรต่อกัน ทั้งหมดมีกรรมเป็นเครื่องประกอบ (คำว่า มีกรรมเป็นเครื่องประกอบ ไม่ได้หมายความว่ามีกรรมเป็นตัวสำรอง เหมือนตัวประกอบภาพยนต์ แต่มีกรรมเป็นหลัก มีกรรมเป็นเครื่องปรุงแแต่งให้เกิดขึ้น และให้เข้าใจในความหมายนี้ทุกแห่งที่ผมเขียนว่ามีกรรมเป็นประกอบ)
เจ้ากรรมนายเวร ไม่จำเป็นต้องมาจากอดีตชาติเสมอไป ไม่จำเป็นต้องทะลุมิติมา ไม่จำเป็นต้องเป็นภูตผีดวงวิญญาณใด ๆ แต่เป็นสัตว์ บุคคล หรือสภาวะการณ์ที่เราสามารถเห็นได้ในปัจจุบันนี้
เจ้ากรรมนายเวร ถ้าหากจัดเป็นกรรมหรือมาในลักษณะของกรรม ก็จัดเข้าในประเภทอุปปีฬกกรรม (กรรมบีบคั้น, กรรมที่มาให้ผล บีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมนั้น ให้แปรเปลี่ยนทุเลาลงไป บั่นทอนวิบากมิให้เป็นไปได้นาน) หรือมิเช่นนั้นก็ อุปฆาตกกรรม (กรรมตัดรอน, กรรมที่แรง ฝ่ายตรงข้ามกับชนกกรรม และอุปัตถัมภกกรรม เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรมสองอย่างนั้น ให้ขาดไปเสียทีเดียว เช่น เกิดในตระกูลสูง มั่งคั่ง แต่อายุสั้น เป็นต้น)
มีพุทธพจน์ว่า
น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน.
ในกาลไหน ๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับด้วยเวรเลย
แต่ย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร ธรรมนี้เป็นของเก่า
อรรถกถา อธิบายว่า
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น หิ เวเรน เป็นต้น ความว่า เหมือนอย่างว่า บุคคล แม้เมื่อล้างที่ซึ่งเปื้อนแล้วด้วยของไม่สะอาดมีน้ำลายและน้ำมูกเป็นต้น ด้วยของไม่สะอาดเหล่านั้นแล ย่อมไม่อาจทำให้เป็นที่หมดจดหายกลิ่นเหม็นได้, โดยที่แท้ ที่นั้นกลับเป็นที่ไม่หมดจดและมีกลิ่นเหม็นยิ่งกว่าเก่าอีก ฉันใด บุคคลเมื่อด่าตอบชนผู้ด่าอยู่ ประหารตอบชนผู้ประหารอยู่ ย่อมไม่อาจยังเวรให้ระงับด้วยเวรได้, โดยที่แท้ เขาชื่อว่าทำเวรนั่นเองให้ยิ่งขึ้น ฉันนั้นนั่นเทียว แม้ในกาลไหน ๆ ขึ้นชื่อว่าเวรทั้งหลาย ย่อมไม่ระงับได้ด้วยเวร, โดยที่แท้ เวร ชื่อว่าย่อมเพิ่มยิ่งขึ้นอย่างเดียว ด้วยประการฉะนี้.
สองบทว่า อเวเรน จ สมฺมนฺติ ความว่า เหมือนอย่างว่า ของไม่สะอาด มีน้ำลายเป็นต้นเหล่านั้น อันบุคคลล้างด้วยน้ำที่ใสย่อมหายหมดได้, ที่นั้นย่อมเป็นที่หมดจด ไม่มีกลิ่นเหม็น ฉันใด, เวรทั้งหลาย ย่อมระงับ คือ ย่อมสงบ ได้แก่ ย่อมถึงความไม่มี ด้วยความไม่มีเวร คือ ด้วยน้ำคือขันติ(ความอดทน) และเมตตา (ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน) ด้วยการทำไว้ในใจโดยแยบคาย [และ] ด้วยการพิจารณา ฉันนั้นนั่นแล. ที่มา เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
จากพุทธพจน์ และอรรถกถานี้ ผมขออธิบายเพิ่มเติมว่า บุคคลด่าโต้ตอบกันไปมาบ้าง ตบตีกันบ้าง ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันบ้าง ใส่ความซึ่งกันและกันบ้าง แม้หนึ่งนาทีก็ถือว่าเป็นผู้มีเวรต่อกันหนึ่งนาที สิบปีก็ถือว่าเป็นผู้มีเวรต่อกันสิบปี สิบชาติก็ถือว่าเป็นผู้มีเวรต่อกันสิบชาติ การที่บุคคลผู้มีเวรต่อกันในระยะเวลานั้น ๆ นั่นแหล่ะเรียกว่าเจ้ากรรมนายเวร (ตามภาษาที่ใช้กัน และน่าจะเป็นคำอธิบายที่เห็นได้ชัดที่สุด ถ้าคุณยังเชื่อและใช้คำว่าเจ้ากรรมนายเวรอยู่) เมื่อเวรถูกระงับด้วยความไม่มีเวรต่อกัน ความเป็นเจ้ากรรมนายเวรก็สิ้นสุดลง โดยมีกรรมเป็นเครื่องประกอบ ดังคำกล่าวที่ว่า
กัมมัสสะโกมหิ เรามีกรรมเป็นของของตน
กัมมะทายาโท มีกรรมเป็นผู้ให้ผล
กัมมะโยนิ มีกรรมเป็นแดนเกิด
กัมมะพันธุ มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
กัมมะปะฏิสะระโณ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ยัง กัมมัง กะริสสามิ กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา เราจักทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป
ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ เราจะต้องเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้นๆ สืบไป
วิธีปฏิบัติต่อเจ้ากรรมนายเวร
วิธีปฏิบัติต่อเจ้ากรรมนายเวร ก็ง่ายมาก ๆ ด้วยการปฏิบัติตามพุทธพจน์ที่ว่า อเวเรน จ สมฺมนฺติ ก็เวรทั้งหลาย ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร หากเราทะเลาะกับใคร มีความบาดหมางกับใคร ก็หยุดทะเลาะเสีย ให้อภัยซึ่งกันและกัน หากเกิดความอาฆาตพยาบาทก็ละเสียด้วยเมตตา หากมีเรื่องวิวาทกับใครก็ปรับความเข้าใจกัน ให้อภัยกัน แม้ตัวเราเองก็ไม่สร้างเวรกับใคร ๆ ใคร ๆ ก็อย่าได้ก่อเวรกับเรา หรือเมื่อเวรเกิดขึ้นแล้วกับเราก็ละเสียด้วยความไม่โกรธ ไม่อาฆาต มีจิตประกอบด้วยเมตตาธรรม