สัมภเวสี คืออะไร
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได้ให้ความหมายของคำว่า สัมภเวสี ดังนี้
[สำพะ-] น. ผู้แสวงหาที่เกิด ในคติของศาสนาพราหมณ์หมายถึงคนที่ตายแล้ววิญญาณกำลังแสวงหาที่เกิด แต่ยังไม่ได้เกิดในกำเนิดใดกำเนิดหนึ่ง, ผู้ต้องเกิด, สัตว์โลก. (ป.; ส. สมฺภเวษินฺ).
ที่ผมทำสีแดงไว้ คือความหมายของสัมภเวสีตามคติของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งมีหลายศัพท์ที่เราพูดกันในพระพุทธศาสนา แต่กลับนำความหมายของศาสนาอื่นมาอธิบาย อย่างคำว่า “วิญญาณ” คนส่วนมากเข้าใจว่า คือสิ่งที่มีอยู่ในกายเมื่อมีชีวิต เมื่อตายจะออกจากกายล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ นั่นคือวิญญาณของศาสนาพราหมณ์ แต่วิญญาณในพระพุทธศาสนา หมายถึง ความรับรู้ เช่น จักษุวิญญาณ คือ ความรับรู้ทางตา โสตวิญญาณ คือ ความรับรู้ทางหู เป็นต้น
สัมภเวสี ในทางพระพุทธศาสนา
ผมไปเจอท่านหนึ่ง ใช้ชื่อว่า ลูกศิษย์ธรรม โพสต์ความหมายของคำว่า “สัมภเวสี” ไว้ที่เว็บไซต์ www.dhammahome.com ในหัวข้อ สัมภเวสี คือ อะไร มีข้อความดังนี้
สัมภเวสี หมายถึง สัตว์โลกที่ยังแสวงหาที่เกิด คือยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยใหญ่อยู่ เมื่อยังไม่สำเร็จพระอรหันต์ตราบใด ก็ยังเป็นสัมภเวสีอยู่ตราบนั้น แต่สัมภเวสีนี้ ยังมีชาวพุทธอยู่ไม่น้อยที่เข้าใจว่า ได้แก่สัตว์ที่ยังท่องเที่ยวแสวงหาที่เกิดอยู่ คือยังไม่ทันเกิดในภพใดภพหนึ่ง หลังจากที่ตายไปแล้ว โดยเฉพาะชาวพุทธฝ่ายมหายานบางนิกาย เชื่อว่าผู้ที่ตายแล้วจะต้องอยู่ในอันตรภพ (ระหว่างภพ) เป็นเวลา ๗ วัน ๑๕ วัน ๑ เดือนบ้าง เพื่อรอคอยปฏิสนธิ จึงจะไปเกิดในกำเนิดทั้ง ๔ กำเนิดใดกำเนิดหนึ่งได้ สัตว์ที่อยู่ในอันตรภพนี้คือสัมภเวสี เพราะยังแสวงหาภพที่เกิดอยู่ ความเชื่อเรื่องอันตรภพนี้ก็ยังมีอยู่แม้ในหมู่ชาวพุทธไทยบางท่าน ทั้งนี้เพราะได้อิทธิพลจากพระพุทธศาสนามหายาน นิกายมนตรยาน ซึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่ในประเทศไทย ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๗
แต่ตามหลักความจริงในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแล้ว สัตว์ที่อยู่ในอันตรภพนี้ไม่มีเลย เพราะเมื่อความตายบังเกิดขึ้น จิตเคลื่อนไป ปฏิสนธิจิตก็ปรากฏในทันที จิตหรือวิญญาณจะเที่ยวเร่ร่อนอยู่โดยไม่มีรูปร่าง หรือมีภพที่เกิดนั้น ไม่มีเลย เพราะจิตนั้นจะต้องอาศัยร่างเป็นที่อยู่ ดังคำบาลีว่า คูหาสยัง…จิตนี้มีถ้ำคือกายเป็นที่อาศัย ถ้าหากว่าผู้ตายแล้วจะต้องไปรออยู่ในอันตรภพ ก็เท่ากับว่าภพหรือภูมิที่เกิดของสัตว์ มีเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่ง ซึ่งเดิมมีอยู่ ๓๑ ภูมิ ก็จะต้องเป็น ๓๒ ภูมิ แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ภูมิที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มี ๓๑ ภูมิ คือ อบาย ๔ สวรรค์ ๖ รูปพรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔ และมนุษย์โลก ๑ เท่านั้น ผู้ที่ตายแล้ว ถ้ายังมีกิเลสก็ต้องเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่งทันที ไม่มีการรอหาที่เกิด แต่การที่จะไปเกิดในภพใดภพหนึ่งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับแรงเหวี่ยงของกรรมที่ส่งไป ฉะนั้น การที่คนบางคนพบเห็นว่า ญาติคนนั้น คนนี้ตายไปแล้ว มาปรากฏตัวให้เห็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็หมายถึงว่า เขาได้ไปเกิดแล้วในภพใหม่ แต่เป็นกำเนิดของโอปปาติกะ คือ อาจจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือเป็นเทวดาจำพวกใดจำพวกหนึ่งก็ได้ ซึ่งกำเนิดพวกนี้เป็น อทิสสมานกาย มองดูด้วยตาเนื้อไม่เห็น จะปรากฏแก่เราได้ ก็เมื่อเขาทำกายให้หยาบ ด้วยประสงค์จะแสดง หรือบอกให้ผู้ที่เขาต้องการจะให้รู้ได้ทราบเท่านั้น………
ความหมายของ สัมภเวสี ตามนัยอรรถกถา
พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายถึง ความแตกต่างระหว่างสัตว์ที่มีชื่อว่า สัมภเวสี และสัตว์ที่ชื่อว่า ภูตะ ไว้ในอรรถกถาคัมภีร์ขุททกนิกาย ชื่อ ปรมัตถโชติกา หน้า ๒๗๗ ตอนอธิบายบาลี เมตตสูตร ข้อที่ว่า… “ภูตา วา สมฺภเวสี วา สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตฺตตา ขอสัตว์ทุกจำพวกทั้งที่เป็นภูตะ ทั้งที่เป็นสัมภเวสี จงถึงความสุขเถิด…” โดยแยกอธิบายออกเป็น ๓ นัย ดังนี้
๑ คำว่า ภูตะ หมายถึงสัตว์ที่เกิดแล้ว คือเกิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว คำว่าภูตะนี้ เป็นชื่อของพระขีณาสพทั้งหลาย ผู้ที่เกิดเสร็จแล้วนั่นเอง จึงไม่มีการนับว่าจักเกิดต่อไปอีก ส่วนเหล่าสัตว์ที่ยังแสวงหาภพอยู่ชื่อว่า สัมภเวสี คำว่า สัมภเวสี นี้ เป็นชื่อของพระเสขะและปุถุชนทั้งหลาย ผู้ยังแสวงหาภพที่เกิดอยู่อีกต่อไป (คือผู้ที่ต้องเกิดอีกต่อไป)
๒ อีกประการหนึ่ง ในบรรดากำเนิดทั้ง ๔ พวกสัตว์ที่เกิดในไข่และสัตว์ที่เกิดในครรภ์ ชื่อว่า สัมภเวสี ตราบเท่าที่ยังไม่ทำลายกระเปาะไข่ และยังไม่ทำลายรกออกมา ต่อเมื่อสัตว์เหล่านั้นทำลายกระเปาะไข่ หรือทำลายรกออกมาข้างนอกได้แล้ว จึงชื่อว่า ภูตะ ส่วนพวกสัตว์ที่เกิดในเถ้าไคล และพวกสัตว์ที่เกิดผุดขึ้น (โอปปาติกะ) ชื่อว่า สัมภเวสี ในขณะแห่งปฐมจิต (คือจิตดวงแรกที่มาปรากฏในภพนั้น) ชื่อว่า ภูตะ นับตั้งแต่จิตดวงที่ ๒ เป็นต้นไป
๓ อีกประการหนึ่ง จำพวกสังเสทชสัตว์ (สัตว์ที่เกิดในเถ้าไคล) และจำพวกโอปปาติกสัตว์ ก็ชื่อว่า สัมภเวสี ตราบเท่าที่ตนยังไม่เคลื่อนไปจากอิริยาบทที่ตนเกิด สู่อิริยาบทอื่นต่อจากนั้นไป (คือเมื่อเปลี่ยนไปสู่อิริยาบทอื่นแล้ว) จึงชื่อ ภูตะ
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า
บุคคลผู้ไม่ใช่พระอรหันต์
ผู้ยังไม่หมดกิเลสโดยเด็ดขาด
ผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่
จัดเป็นสัมภเวสีทั้งสิ้น.
ความหมายของ ภูตะ และ สัมภเวสี จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
ภูต, ภูตะ คือ สัตว์ผู้เกิดแล้ว หรือเกิดเสร็จไปแล้ว,
นัยหนึ่ง ภูต, ภูตะ หมายถึงพระอรหันต์ เพราะไม่แสวงหาภพเป็นที่เกิดอีก
อีกนัยหนึ่ง ภูต, ภูตะ หมายถึงสัตว์ที่เกิดเต็มตัวแล้ว เช่น คนคลอดจากครรภ์แล้ว ไก่ออกจากไข่แล้ว เป็นต้น ต่างกับ สัมภเวสี คือสัตว์ผู้ยังแสวงหาที่เกิด ซึ่งได้แก่ปุถุชนและพระเสขะผู้ยังแสวงหาภพที่เกิดอีก หรือสัตว์ในครรภ์และในไข่ที่ยังอยู่ระหว่างจะเกิด
เท่าที่ปัญญาผมพิจาณาดู เรา ๆ ท่าน ๆ เป็นได้ทั้ง ภูตะ และ สัมภเวสี
หากยกกิเลสเป็นเกณฑ์ ถ้าเรายังไม่หมดกิเลส ยังต้องเกิดอีกในภพน้อยใหญ่ เราก็คือ สัมภเวสี เป็นสัมภเวสีในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี่แหล่ะ ไม่ใช่ตายแล้วจึงเป็นสัมภเวสี แต่หากหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ เราก็เป็นภูตะ หรือ ภูต เป็นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน
หากใช้เวลาหรือการเคลื่อนของอัตภาพจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งเป็นเกณฑ์ ช่วงที่เราอยู่ในครรภ์ ชื่อว่า สัมภเวสี (รอคลอด รอเกิด) เมื่อทำลายรก เคลื่อนจากครรภ์ คือคลอดออกมาแล้ว เกิดออกมาแล้ว ชื่อว่า ภูตะ หรือ ภูต แต่ผมก็ยังไม่เจอคำอธิบายที่ชัดเจนว่า ชื่อว่า ภูตะ เฉพาะช่วงเวลาที่คลอดออกมา หรือชื่อว่า ภูตะ จนกว่าจะตาย (น่าจะชื่อว่า ภูตะ จนกว่าจะตายหรือเกิดในอัตภาพใหม่ ถ้าเช่นนั้น ก็แสดงว่า เป็น สัมภเวสี > ภูตะ > สัมภเวสี > ภูตะ (แต่ถ้าเอาการไม่หมดกิเลสเป็นเกณฑ์ ก็ถือว่าเป็นสัมภเวสีอยู่ตลอด) วนเวียนไปมา จนกว่าจะบรรลุพระอรหันต์ เป็นภูตะ แล้วไปกลับไปเป็นสัมภเวสีอีก คือไม่เกิดอีก)
ที่มา :