พระที่เข้าจำพรรษา แต่พรรษาขาด หรือไม่ได้เข้าจำพรรษาเลย ยังนับพรรษานั้นอยู่ไหม ในเรื่องนี้มีพระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนจำนวนมากเข้าใจว่า ถ้าพระภิกษุอธิษฐานอยู่จำพรรษาแล้ว แต่พรรษาขาด (หมายถึง เข้าจำพรรษาแล้วไปรับอรุณในที่อื่นจากวัดที่จำพรรษาโดยมิได้สัตตาหกรณียะ) หรือไม่ได้อธิษฐานจำพรรษา พรรษานั้นจะนับไม่ได้ เช่น ถ้าจำพรรษานั้นครบจะมีพรรษา ๗ แต่พอพรรษาขาดก็กลายเป็นมีพรรษา ๖ เท่าเดิม เป็นต้น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
ความจริง การที่ไม่ได้เข้าจำพรรษา หากไม่มีเหตุที่สมควร ก็จะต้องอาบัติทุกกฏ ส่วนการที่เข้าจำพรรษาแล้วขาดพรรษา หากขาดพรรษาโดยไม่มีเหตุที่สมควร ก็จะทำให้ต้องอาบัติทุกกฏ (ดูรายละเอียดในวัสสูปนายิกขันธกะ) และภิกษุที่ไม่เข้าจำพรรษาหรือพรรษาขาดนี้จะไม่ได้รับอานิสงส์พรรษา ๔ อย่างมีการฉันคณโภชนะได้เป็นต้นตลอด ๑ เดือนหลังออกพรรษา และไม่มีสิทธิ์ในการกรานกฐินเท่านั้น (ถ้าได้กรานกฐินจะได้อานิสงส์เพิ่มอีก ๑ ข้อ คือเพิ่มข้อสามารถอยู่ปราศจากไตรจีวรได้และจะได้อานิสงส์ทั้ง ๕ นี้เพิ่มอีก ๔ เดือนหรือจนกว่ากฐินจะเดาะ) (ดูรายละเอียดในกฐินขันธกะ) ไม่ได้เกี่ยวกับจะนับพรรษานั้นไม่ได้แต่อย่างใด เพราะพรรษาของภิกษุที่เรียกว่า ๑ พรรษา ๒ พรรษาเป็นต้นนั้น ไม่ได้หมายถึงเข้าจำพรรษามา ๑ พรรษา แต่หมายถึงอุปสมบทมาครบ ๑ ปีก็เรียกว่า ๑ พรรษา โดยคำว่า พรรษา ในเรื่องนี้แปลว่า ปี
(ถ้าจะยกตัวอย่างการใช้คำว่า พรรษา ในความหมายว่า ปี ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ก็ดูได้อย่างเรื่องพระชนม์พรรษาของในหลวงที่ใช้คำว่า พรรษา เช่นกันโดยที่ในหลวงมิได้เข้าพรรษาแต่อย่างใด)
โดยนัยเดียวกัน แม้จะจำพรรษาครบแล้ว แต่ถ้ายังอุปสมบทไม่ครบ ๑ ปี ก็ยังไม่จัดว่าอุปสมบทได้ ๑ พรรษา
อนึ่ง ในอรรถกถาของธรรมบทและชาดก เมื่อจะกล่าวถึงพรรษาของภิกษุ ก็มักจะกล่าวโดยมีคำว่า อุปสมฺปทาย (โดยการอุปสมบท) เช่นในตัวอย่างว่า
อุปสมฺปทาย ปญฺจวสฺสิโก หุตฺวา (ชา.อฏฺ.๑/๑๕๕ วณฺณุปถชาตกวณฺณนา)
เป็นผู้มีพรรษา ๕ โดยการอุปสมบท (หรือแปลอีกสำนวนว่า เป็นผู้อุปสมบทได้ ๕ พรรษา)
จะเห็นได้ว่า #ท่านนับพรรษาโดยมุ่งถึงการอุปสมบท #หาได้มุ่งถึงการเข้าจำพรรษาไม่
และในฎีกาท่านก็แสดงไว้ว่า
ปญฺจวสฺโส”ติ อุปสมฺปทโต ปฏฺฐาย ปริปุณฺณปญฺจสํวจฺฉโร. ทสวสฺโสติ เอตฺถ เอเสว นโย.
สํวจฺฉรวเสน ปญฺจวสฺเสสุ ปริปุณฺเณสุ วุตฺถวสฺสวเสน อปริปุณฺเณสุปิ ปญฺจวสฺโสเยว. (วินยวินิจฺฉยฏีกา อธิบายคาถา ๑๑๓๙)
คำว่า #มีพรรษาห้า หมายถึง นับตั้งแต่อุปสมบทได้ ๕ ปีบริบูรณ์. แม้ในคำว่า มีพรรษาสิบ ก็นัยนี้เช่นกัน.
พึงทราบว่า เมื่อมีพรรษา ๕ บริบูรณ์ด้วยอำนาจแห่งปี ถึงจะมีพรรษา ๕ ไม่บริบูรณ์ด้วยอำนาจแห่งพรรษาที่เข้าจำแล้ว ก็จัดว่าเป็นผู้มีพรรษา ๕ นั่นเอง
***พรรษา ในเรื่องการเข้าพรรษา แปลว่า ฤดูฝน ส่วน พรรษา ที่หมายถึงอายุการบวช แปลว่า ปี #การเข้าพรรษากับการนับอายุบวชเป็นคนละเรื่องกัน
หมายเหตุ :
ถ้าภิกษุไม่ได้จำพรรษาแรกหรือพรรษาแรกขาด ก็ต้องเข้าจำพรรษาหลัง ไม่ควรเที่ยวจาริกไปตลอด ๓ เดือน
(ดู ขุททสิกขา คาถา ๓๑๒)
ดูวีดิโอบรรยายเรื่องนี้ได้ที่
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1641148899292322&id=1620181371389075
พระมหาภาคภูมิ สีลานนฺโท
จิรํ ติฏฺฐตุ สทฺธมฺโม
ขอพระสัทธรรมจงดำรงมั่นตลอดกาลนาน
ที่มา ว่าด้วยภิกษุที่มีพรรษาขาดหรือไม่ได้เข้าจำพรรษาก็นับพรรษานั้นต่อได้
สรุปพรรษาขาด แล้วขาดพรรษาหรือไม่
- เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษา แต่ไม่อธิษฐานเข้าจำพรรษา ต้องอาบัติชื่อว่าทุกกฎ ไม่ได้รับอานิสงส์แห่งการจำพรรษา ไม่มีสิทธิ์รับกฐิน (ข้อนี้แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ได้จำพรรษาแล้วจะมีอานิสงส์แห่งการจำพรรษาจากที่ไหน) ส่วนการนับพรรษาบวชยังนับเหมือนเดิม
- พระภิกษุที่อธิษฐานจำพรรษาแล้ว แต่พรรษาขาด ต้องอาบัติชื่อว่าทุกกฎ ไม่ได้รับอานิสงส์แห่งการจำพรรษา ไม่มีสิทธิ์รับกฐิน ส่วนการนับพรรษาบวชยังนับเหมือนเดิม
- สรุปก็คือ ไม่จำพรรษา หรือจำพรรษาแล้วอยู่ไม่ครบพรรษาขาด เป็นอาบัติทุกฎก ไม่ได้รับอานิสงส์แห่งการจำพรรษา ไม่มีสิทธิ์รับกฐิน แต่อายุพรรษาบวชยังนับเหมือนเดิม เพราะอายุพรรษาบวชนับแต่วันบวช ไม่ใช้มานับเอาช่วงเข้าพรรษา ไม่มีใครแซงอายุพรรษากันได้
บทความแนะนำ
เรื่องน่ารู้ ถาม-ตอบ เกี่ยวกับวันเข้าพรรษา ???
ถามตอบเกี่ยวกับวันเข้าพรรษา ที่ชาวบ้านควรรู้