ทำไมพระจึงเรียกชาวบ้านว่า “โยม” มีวิธีใช้อย่างไรบ้าง ตอนแรกตั้งใจจะเขียนให้เป็นจริงเป็นจังแบบวิชาการสักหน่อย แต่เอาเข้าจริง ๆ ไม่รู้จะเขียนอธิบายอย่างไร กลัวคนอ่านเข้าใจผิดและถือแบบผิด ๆ ตาม เป็นอันว่าเขียนตามความเข้าใจ แต่จะพยายามอ้างอิงหลักการหรือที่มา
ความหมายของคำว่า “โยม” จาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน
โยม เป็นคำนาม
- คําที่พระสงฆ์ใช้เรียกบิดามารดาของตนหรือเรียกผู้ใหญ่รุ่นราวคราวเดียวกับบิดามารดา เช่น โยมพ่อ โยมแม่ โยมย่า โยมยาย โยมน้า
- เป็นคําใช้แทนชื่อบิดามารดาของพระภิกษุสามเณร
- เรียกผู้ที่เป็นบิดามารดาของพระว่า โยมพระ
- เรียกผู้ที่แสดงตนเป็นผู้อุปการะพระภิกษุสามเณรโดยเจาะจงว่า โยมอุปัฏฐาก
- เรียกฆราวาสที่อยู่ปฏิบัติรับใช้พระภิกษุสามเณรในวัดว่า โยมวัด
- เรียกฆราวาสผู้อุปการะพระทั่ว ๆ ไป ว่า โยมสงฆ์.
สรุปตามความหมายในพจนานุกรม โยม เป็นคำที่พระภิกษุ-สามเณร เรียกคนที่ไม่ใช่พระซึ่งมีอายุมากกว่าตน เป็นบิดามารดาหรือรุ่นบิดามารดา เช่น โยมพ่อ โยมแม่ โยมตา โยมยาย โยมน้า หรือโยมพี่ก็อนุโลมตามความนับถือ โยมเป็นคำกลาง ๆ ใช้เรียกได้ทั้งชายและหญิง
ส่วนผู้ที่มีอายุเสมอกันหรือน้อยกว่าไม่นิยมเรียกว่าโยมหรือใช้คำว่าโยมนำหน้า คือจะไม่เรียกว่าโยมน้อง โยมลูก โยมหลาน หากรู้จักชื่อหรือมีความคุ้นเคยกันก็เรียกชื่อก็ได้ แต่หากไม่ยังไม่รู้จักกัน เพิ่งเจอหน้าก็อนุโลมเรียกรวม ๆ ว่าโยมได้ ซึ่งใช้เรียกชายหรือหญิงก็ได้
มีอีกคำที่ใช้เรียกเจาะจงชายหญิงทั่วไปที่ไม่ใช่ญาติ แต่ควรใช้เรียกเฉพาะพุทธศาสนิกชนเท่านั้น คือเรียกผู้ชายว่าอุบาสก หรือสั้น ๆ ว่า ประสก เรียกผู้หญิงว่า อุบาสิกา หรือสั้น ๆ ว่า สีกา
คำว่า โยม พระภิกษุสามเณรใช้เรียกบิดามารดาหรือญาติที่มีอายุมากกว่า หรือบุคคลตามที่ได้กล่าวไว้ในพจนานุกรม ปกติผู้ถูกเรียกหากเป็นบิดามารดาหรือญาติผู้ใหญ่ก็จะใช้คำแทนตนเองว่าโยมเช่นกัน แต่หากเป็นโยมอุปัฏฐากหรือโยมที่มีอุปการะแก่สงฆ์ก็ใช้คำแทนตนเองว่าโยมได้ หรือใช้คำสุภาพอื่นตามความเหมาะสม เช่น ผม กระผม ฉัน ดิฉัน เป็นต้น
ทำไมจึงเรียกว่า “โยม” หากตอบแบบกำปั้นทุบดินก็จะตอบว่าไม่รู้จะเรียกว่าอะไร จึงต้องใช้กัปปิยโวหารว่าโยม เพื่อเป็นเอกลักษณ์แสดงให้เห็นความแตกต่างในระว่างการสนทนาว่านี่เป็นการสนทนากันระหว่างพระกับชาวบ้าน ไม่ใช่พระกับพระ หรือฆราวาสกับฆราวาส
ทำไมจึงต้องเป็นคำว่า โยม ผมยังหาที่มาไม่ได้ บางท่านกล่าวว่าคำว่าโยมนี้มาจากภาษาเขมร ซึ่งผมยังไม่ทราบรายละเอียดมากนัก แต่เป็นไปได้เป็นอย่างมากที่คำนี้จะมาจากภาษาเขมร
ในสมัยพุทธกาลพระเรียกชาวบ้านอย่างไร เท่าที่ทราบในสมัยพุทธกาล หากรู้ชื่อผู้ที่สนทนาด้วย พระจะเอ่ยชื่อ เรียกตามชื่อหรือโคตร แต่หากไม่รู้จักชื่อใช้คำว่า ตฺวัง ซึ่งแปลว่า ท่าน เธอ คุณ แต่สำหรับผู้หญิงและภิกษุณีพระใช้คำว่า ภคินิ ซึ่งแปลว่าน้องหญิง หรือน้องสาวนั่นเอง (แต่ในประเทศไทยคงจะใช้เรียกไม่ได้)