ถ้าให้ใครหลายคนลองไปเดินตากลมชมวิวตามเส้นถนนเล็กๆ ที่ข้างทางเต็มไปด้วยหญ้าป่ารกร้าง มะรุมมะตุ้มรุมสะกิดให้พลอยระคายผิวเท้า รอบๆ ตัวไม่ได้ล้อมรอบไปด้วยบรรยากาศที่มีแอร์เหมือนห้างสรรพสินค้าที่มีแอร์เย็นฉ่ำ มีร้านอาหารสุดหรู มีสินค้าให้เดินช้อปปิ้งกระหน่ำหลากหลาย หนำซ้ำเบื้องบนยังมีแสงอาทิตย์แผดเผาเจิดจ้าปกคลุมลงมาอาบผิวหน้า ผิวกายให้ต้องหมองคล้ำอีก ถ้าเป็นสาวๆ ในเมืองเชื่อเลยว่ายากนะ ที่จะมีใครชอบมาเดินในที่แบบนี้ นอกเสียจากลูกสาวชาวไร่เจ้าของพื้นที่แห่งนี้ เอ๊ะ หรือเดี๋ยวนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว แม้แต่ลูกสาวชาวไร่ก็ยังคอยต้องวิ่งหลบแดด หากจำเป็นต้องออกมาโดนแดดก็ต้องโร่หา SPF 60 Up มาประโคมผิวเพราะอยากผิวขาวเหมือนสาวๆ ในเมืองใหญ่ ใช่แบบนี้หรือเปล่านะ
ฉันเป็นสาวแห่งเมืองริมทะเล นานทีจะเคยได้มีโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ แต่แค่ได้มองผ่านตาแบบนี้ก็รู้สึกดีไม่น้อย เพราะฉันปล่อยใจสัมผัสลอยตาม ..เห็นสายลมพัดพลิ้วทำให้ต้นไม้ ใบหญ้าแถวนั้นเอนไหวไปตามแรงลม บนฟ้าก็สวยสดใส ตกกลางคืน… แทบไม่ต้องจินตนาการเลยว่าฟ้ายามค่ำของที่นี่จะมีหมูดาวสุกสกาวมากมายเพียงใด อาจจะเป็นผืนทะเลดาวระยิบแห่งหนึ่งที่สวยไม่แพ้ทะเลดาวแห่งเมืองเหนือ แต่ก็คงสวยงามจับใจ ถ้าเราหยุดใจมองสรรพสิ่งรอบตัวพร้อมดื่มด่ำคุณค่าในสิ่งที่มันเป็น เราก็อาจจะถลำลึกไปกับมนต์เสน่ห์อันน่าหลงใหลในสิ่งๆ นั้น อย่างยากจะห้ามใจให้ถอนตัวได้ง่ายยิ่งขึ้น
ท้องฟ้าก็ต้องเป็นสีฟ้า ก้อนเมฆลอยมาก็ต้องเป็นสีขาวผสานกันอย่างลงตัวกลมกลืน เบื้องล่างที่เท้าเราเหยียบเดินก็คือผืนดินสีแดงที่แห้งแล้งกันดารในสายตาคนเมือง ทว่าคนเมืองนี่แหละที่มีความทุรกันดารในด้านจิตใจกันอย่างไม่รู้ตัว หากเมื่อเทียบกับวิถีมนุษย์ที่ใช้ท่ามกลางพื้นที่ชนบทอันเงียบสงบ ใครที่ได้ปลีกวิเวกมาพักผ่อนที่นี่ เราเชื่อว่าหัวใจเขาจะได้สัมผัสกับความผ่อนคลาย แม้อากาศร้อน แต่ใจอย่าเพิ่งร้อนตามนะ เพราะสายลมรอบตัวยังคงบอกเราเช่นนั้น ท้องฟ้ายังอ้าแขนกว้างสุดตาโอบกอดเราให้อบอุ่น ความหมายของท้องฟ้าแอบบอกกับเราว่า จงปล่อยวางความกังวลใจให้หมดสิ้น อะไรที่นำติดตัวมาจากเมืองใหญ่ จงเอามาปล่อยทิ้งที่นี่ให้หมด หันหลังเดินจากคุณจะได้จากมาอย่างสบายใจ
สีเขียวของที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ที่แผ่ปกคลุมพื้นดินอยู่ แม้จะแอบเกาผิวเท้าให้เราคันยิบๆ อยู่บ้าง แต่อย่าลืมก้มมองดูนะ บางทีอาจจะเป็นดอกหญ้าเล็กๆ ที่สวยเลิศน้อยกว่าดอกกุหลาบ ไม่หวามไหวราวดอกลิลลี่ ไม่ชวนให้แฮปปี้เหมือนคาร์เนชั่น หรือเมื่อเด็ดดมแล้วไม่น่าระทึกใจ ไหวเต้นเหมือนเหล่าดอกสุดสวยในร้านขายดอกไม้ตามเมืองใหญ่ที่ใครต่อใครมักซื้อมอบให้กัน
‘แต่ดอกหญ้าเล็กๆ ที่โดนผู้คนเหยียบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็มีคุณค่าในตัวมันเองพอ มันสวยงามมีค่าทัดเทียมกับดอกกุหลาบในสายตาใครบางคนนั้นได้’
เชื่อไหม… ว่าคุณค่าดอกหญ้าไม่สวยผู้ต่ำต้อย มันยังคงรอคอยให้ใครบางคนมองเห็นคุณค่ามันเสมอ เหมือนที่ท้องฟ้าก็ยังคงทอดสายตาส่งยิ้มให้ดอกหญ้าอยู่เสมอทุกๆ วัน และเช่นกันกับดอกหญ้าที่แม้ว่ากี่ครั้งกี่คราที่โดนผู้คนเหยียบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่ามันก็ยังคงอวดเก่ง แตกกิ่งก้านใบตัวเองขึ้นมาใหม่และผลิดอกกระจิดริดสีขาวอมเหลือง ส่งยิ้มทักทายท้องฟ้าอย่างไม่อ่อนล้าทุกๆ วัน แม้ในวันที่ท้องฟ้าต้องทำหน้าที่โอบกอดโลกทั้งใบไว้ก็ตาม ในวันที่ท้องฟ้าสละหน้าที่เพื่อใครหลายคนได้ชื่นชม ปลาบปลื้มด้วยอารมณ์แจ่ใส แต่หากวันใดที่ท้องฟ้าเหนื่อยขึ้นมา.. อย่าลืมก้มมองหา ดอกหญ้าดอกเดิม ที่ยังยังคงซุกซ่อนตัวในซอกดินตำแหน่งเดิม แม้บางวันดอกหญ้าจะขึ้นเติบโตงดงามเคียงข้างก้อนหิน แต่ก็จะไม่ยอมให้ก้อนหินกลิ้งหล่นมาทับแน่นอน ดอกหญ้า.. จะยังอยู่ตรงนี้เพื่อส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้ท้องฟ้าทุกๆ วัน
…สาวแห่งเมืองริมทะเลก็คงเช่นเดียวกัน หากก็จะยังคงเป็นเหมือนเดิมอย่างนั้นกับคนในฝันตลอดไป