งูทะเลเป็นสิ่งมีชีวิต ที่เคยถูกค้นพบมาแล้วใต้ท้องทะเลลึก แต่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจะสามารถจัดสัตว์ใต้ทะเลลึกแบบนี้เป็นสัตว์ประเภทงูหรือสัตว์ประหลาด มันจึงมีชื่อเรียกรวมๆ ว่างูทะเล (สัตว์ประหลาด) วันนี้เราจะพาไปรู้จักเจ้าสัตว์ประเภทนี้ให้มากขึ้น สรุปแล้วมันเป็นงูหรือสัตว์ประหลาดใต้ท้องทะเลลึกกันแน่
งูทะเลคือสัตว์ประเภทไหน
งูทะเล หรือ มังกรทะเล เป็นสัตว์ประหลาดที่ถูกค้นพบในทะเล และแหล่งน้ำที่ต่างๆ ในโลก แต่ยังไม่สามารถจัดอันดับว่าเป็นสัตว์ชนิดใด ซึ่งมีลำตัวยาวคล้ายงูหรือมังกรขนาดใหญ่ มีการบันทึกไว้ว่าเคยมีการค้นพบงูทะเลเมื่อหลายร้อยปีก่อนนี้ ซึ่งบรูซ แคมเพจน์ นักสัตว์วิทยาได้ระบุว่า มีคนพบเห็นงูทะเลมีมากกว่า 1,200 ราย แต่ยังไม่มีหลักฐานการยืนยันที่ชัดเจนนัก ปัจจุบันเชื่อกันว่า สิ่งมีชีวิตที่รู้จักดีแล้วสามารถนำมาอธิบายและเทียบเคียงกับสิ่งที่เห็นได้ คือ ปลาปอด ปลาออร์ วาฬหรือปลาฉลาม โดยการศึกษาของนักสัตว์ลึกลับวิทยา ได้ศึกษาและพบว่า งูทะเลเป็นสัตว์ที่อยู่ในทะเลยุคก่อนประวัติศาสตร์ และยังคงมีการอยู่ถึงปัจจุบัน เช่น สัตว์เลื้อยคลานชนิดต่างๆ
บทความแนะนำ…ทำไมคนเลือกที่จะบูชาพญานาคมากกว่าพญาครุฑ
สัตว์ตระกูลงูทะเลที่เคยถูกค้นพบ
1. แคดโบโรซอรัส หรือ แคดโบโรซอรัส วิลซี่ เป็นชื่อของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่คล้ายงู อยู่ในทะเลแถบแวนคูเวอร์ และคาบสมุทรโอลิมปิกในแคนาดา รวมทั้งบริเวณใกล้เคียงกับออริกอนและอะแลสกา ซึ่งได้รับการรายงานว่ามีการค้นพบเจ้าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้เมื่อ วันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1734 บันทึกการค้นพบไว้โดยมิชชั่นนารีชาวนอร์เวย์ ชื่อฮานส์ เอดจ์ ระหว่างที่กำลังเดินทางไปเกาะกรีนแลนด์ ว่าเขาได้เห็นงูขนาดใหญ่ ชูคอขึ้นเหนือพื้นน้ำ มีจงอยปากแหลมยาว มันสามารถว่ายน้ำได้ในวงกว้าง อีกทั้งตัวของมันปกคลุมด้วยรอยเหี่ยวย่น เมื่อมันดำลงไปในน้ำ หางของมันจะโผล่ขึ้นจากน้ำ มีขนาfใหญ่เท่ากับเรือที่เขานั่งมาเลย
การค้นพบแคดโบโรซอรัสอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้นได้มีรายงานว่ามีการค้นพบ สิ่งมีชีวิตลึกลับที่คล้ายแคดโบโรซอรัส อย่างต่อเนื่อง โดยปี ค.ศ. 1937 กัปตันฮักลันด์และลูกเรือ ทำการผ่าท้องของวาฬสเปิร์มขนาดใหญ่ และพบกับซากสิ่งมีชีวิตคล้ายกับแคดโบโรซอรัส เขาจึงได้ถ่ายภาพและส่งรายงานการค้นพบดังกล่าวให้กับพิพิธภัณฑ์ ต่อมาที่พิพิธภัณฑ์ได้จำแนกซากสิ่งมีวิตนั้นว่า เป็นเพียงซากตัวอ่อนของวาฬบาลีน แต่มีคนตั้งข้อสังเกตุว่า นั้นอาจจะไม่ใช่ซากจริง แต่ซากจริงได้หายไปแล้วก่อนการตรวจพิสูจน์ เพราะมีคนที่ต้องการปกปิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้
รวมทั้งนักชีววิทยาและศาสตราจารย์ทางด้านสมุทรศาสตร์ เอ็ดเวิร์ด แอล. บอสฟิลด์ และ พอล เอช. เลบลอนด์ ได้เคยกล่าวไว้ว่า แคดโบโรซอรัส เป็นสัตว์ที่มีรายงานการค้นพบที่ไอซ์แลนด์ มีชื่อเรียกว่า แคดดี (Caddy) มาจากสถานที่พบเห็นมัน คือ อ่าวแคดโบโร วิกตอเรีย ในบริติชโคลัมเบีย ของแคนาดา อีกทั้งมีคนพบเห็นมาตลอดในระยะเวลากว่าร้อยปี เป็นสัตว์คล้ายกับสัตว์ประหลาดลอคเนสส์ ในสก็อตแลนด์ ตัวยาวเหมือนงูทะเลขนาดใหญ่ ยาวกกว่า 100 ฟุต มีหัวคล้ายม้า แกะ หรืออูฐที่ยืดเล็กน้อย คอมีความยาวเกือบหนึ่งในสามของลำตัว มีครีบหน้ายาวสำหรับการว่ายน้ำ และช่วยในความยืดหยุ่นสูงของมัน หางมีลักษณะแผ่ยาว มีสีเขียวเข้ม สีน้ำตาลและสีเทา มีหัวขนาดใหญ่มีตาสองตา มันสามารถหายใจได้ในน้ำ มีอวัยวะพิเศษกว่าล้านหน่วย ที่อยู่ใต้ผิวหนัง ช่วยในการหายใจใต้น้ำของมัน ทำให้มัแตกต่างจากสัตว์โลกอื่นๆ
บทความแนะนำ…เคล็ดลับบูชาพญานาค ขอโชคลาภจากพญานาค
ค้นพบงูทะเลยักษ์ที่ซานฟรานซิสโก
ในปี ค.ศ. 1983 ในปีที่อ่าวซานฟานซิสโก มีคน 5 คนเห็นงูทะเลยักษ์ ชื่อว่าแฟรนนี (Frannie) โดยทั้ง 5 คนเป็นคนงานก่อสร้าง เมื่อได้เห็นสิ่งมีชีวิตดังกล่าว จึงส่งสัญญาณแจ้งเตือนภัย เพราะสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาเห็นนั้นมีขนาดใหญ่มหึมา เคลื่อนที่เร็วและทำให้น้ำกระเพื่อมรุนแรง เมื่อผู้ควบคุมงานก่อสร้างได้รับการแจ้งเตือน จึงไปดูตามรายงาน และพบว่าป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ มีโหนกสามแห่ง แต่ไม่เห็นส่วนท้าย ส่วนหัวของมันดูดุร้าย
อีกทั้งในปี ค.ศ. 1985 สองพี่น้องฝาแฝด ชื่อบิลล์ กับ บ็อบ คลาร์ก ได้อ้างว่าเคยเห็นสัตว์ประหลาดในช่วงวันหนึ่งของฤดูหนาว ขณะที่พวกเขากำลังนั่งจิบกาแฟที่สะพานโกลเดนเกต ก่อนที่จะออกไปทำงานในตอนเช้า ได้เห็นฝูงแมวน้ำถูกโจมตีจากงูทะเลขนาดใหญ่ มีส่วนหัวโผล่ขึ้นมาเหมือนไดโนเสาร์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ด้านหลังของมันมีขดม้วนสี่ขด ส่วนหัวของมันมองไปรอบๆ เพื่อหาแมวน้ำ จากนั้นมันก็ชูคอขึ้นเหมือนเสาโทรศัพท์ และกระโดดขึ้นเหนือน้ำ แล้วตกลงกระทบผืนน้ำทะเลเสียงดัง ทำให้น้ำกระเซ็นแล้วมันจึงคลายเกลียวตรงคอ พวกเขาสองคนมองภาพนั้นด้วยความตื่นเต้นและกลัว
หลังจากนั้นในหว่างปี ค.ศ. 1985 – 1987 พวกเขาบอกว่าพบเห็นงูทะเลอีก 8 ครั้ง และยังเจอลูกของพวกมันด้วยด้วยความหวงลูกมันใช้เสียงขู่คำรามกับพวกเขา หลังจากนั้นก็ไม่พบเห็นอีกเลยเป็นเวลานาน 17 ปี กระทั่งในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2004 พวกเขาได้ใช้กล้องวีดิโอ สำรวจรอบเกาะอัลคาทราซ และสามารถถ่ายภาพ เคลื่อนไหวสิ่งมีชีวิตแบบเดิมได้ และเชื่อว่าสิ่งที่ถ่ายได้นั้น คือ งูทะเล
ต่อจากนั้นในปี ค.ศ. 2009 มีชาวประมงชื่อ แนช เคลลี ได้ถ่ายภาพสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่อ่าวนูชาเกช อะแลสกา มีลักษณะของหัวขนาดใหญ่ ที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำ ทั้งยังยาวมาก และคิดว่ามันย้ายไปอยู่ที่ทะเลสาบอิลลิมนาแล้ว และในปี ค.ศ. 2011 ภาพสิ่งมีชีวิตที่พี่น้องตระกูลฮิลสตราด ได้ถ่ายและพยายามจับมันไว้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ก็ปรากฎต่อสายตาของผู้คนครั้งแรก ทางสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งในเครือข่ายของดิสคัฟเวอรี่ แชนแนล
2. เนสซี หรือสัตว์ประหลาดล็อกเนสส์ เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับขนาดใหญ่จำพวกสัตว์ประหลาดทะเลสาบ หรือสัตว์ประหลาดเนสส์กับครีบรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ตามความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์ ที่เชื่อว่าอาศัยในทะเลทะเลสาบเนสส์ (ล็อกเนสส์) ในสกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร ซึ่งเรื่องการมีเนสซีนั้นมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ ซึ่งเนสซีอาจจะเป็นไดโนเสาร์ที่ยังคงเหลืออยู่ก็ได้ เนื่องด้วยทะเลสาบเนสส์มีสภาพทางภูมิศาสตร์ เคยเป็นทะเลในยุคโบราณ ทำให้ยังมีไดโนเสาร์ยังอาศัยอยู่ได้ แม้สภาพจะเปลี่ยนไปบ้างก็ตาม อีกทั้งสถานที่นี้เป็นพื้นที่ปิด จึงไม่มีความเปลี่ยนแปลงสภาพทางภูมิศาสตร์มากนัก ทำให้เนสซียังคงอยู่ได้เหมือนยุคโบราณ
การพิสูจน์และการค้นพบเนสซี
ตั้งแต่ปี ค.ศ.1933 มีการตัดและสร้างถนนผ่านทะเลสาบเนสส์ ทำให้มีคนเห็นเนสซีมากขึ้น หนึ่งในนั้นมีคู่สามีภรรยาตระกูลแมคเคย์ ได้เห็นเนสซีขณะที่พวกเขาขับรถผ่านทะเลสาบ พวกเขาได้เห็นบางอย่างมีขนาดใหญ่ในทะเล จึงให้สามีหยุดรถและลงจากรถ เพื่อไปดูว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่สิ่งที่พวกเขาได้เห็นนั้นก็หายไป จึงทำให้คำว่าสัตว์ประหลาด ปรากฎในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เป็นครั้งแรกที่ใช้คำว่าสัตว์ประหลาดด้วย ต่อจากนั้น อาเทอร์ แกรนท์ อ้างว่าขณะที่เขาขับรถมอเตอรไซด์ผ่านทะเลสาบ ได้เห็นเนสซีขึ้นมาบนบก ไฟจากหน้ารถทำให้เขาเห็นว่ามันมีรูร่างเหมือนเพลซิโอซอรัส
ต่อมามีคนสามารถถ่ายรูปเนสซีไว้มากมาย มีทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว หรือแบบเป็นเงาตะคุ่มๆ หรือภาพการเคลื่อนไหวของคลื่นน้ำ จากนั้นในวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1987 มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมจึงได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องของเนสซีอย่างจริงจัง โดยใช้วิธีติดสัญญาณโซนาร์ไปกับเรือหลายลำ แล้วแล่นไปบนผิวน้ำโดยใช้ชื่อปฏิบัติการนั้นว่า ปฏิบัติการดีปสแกน (Operation Deepscan) ผลปรากฎว่าคลื่นโซนาร์ได้สะท้อนให้เห็นเงาของวัตถุบางอย่างขนาดใหญ่ที่เคลื่อนตัวใต้ผิวน้ำ บางคนอาจจะคิดว่าเป็นฝูงปลาธรรมดา อาจจะไม่ใช่ก็ได้
โดยฝั่งคนที่ไม่เชื่อว่าเนสซียังคงมีอยู่ มองว่าหลักฐานที่มีในตอนนี้ ทั้งภาพเคลื่อนไหวและภาพนิ่ง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเนสซี ทั้งหมดเป็นหลักฐานที่ทำขึ้น เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับทะเลสาบเนสส์มากกว่า ซึ่งรูปถ่ายบางรูปเชื่อว่า เป็นเพียงหางของตัวนากที่กำลังดำน้ำ หรือเป็นขอนไม้หรือวัสดุต่าง ๆ ที่กำลังลอยน้ำอยู่ แล้วครั้งหนึ่งมีคนเคยเห็นซากสิ่งมีชีวิตคล้ายกันเนสซี แต่เมื่อนำไปตรวจสอบกลับพบว่า เป็นเพียงซากของฉลามเท่านั้น ทำให้ทุกวันนี้ เรื่องของเนสซียังคงเป็นเรื่องลึกลับของโลก มีผู้สนใจศึกษาและสำรวจหาเนสซี แต่ยังไม่มีใครได้หลักฐานที่แน่นอน แต่อย่างน้อยชื่อของเนสซี ช่วยสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลสกอตแลนด์ และชุมชนใกล้เคียงเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวมาจำนวนมาก
ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับรูปร่างของเนสซี
มีผู้ตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเนสซีไว้มากมาย เช่น เชื่อว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ ในทะเลยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นยุคเดียวกับไดโนเสาร์ เช่น อีลาสโมซอรัส หรือเพลสิโอซอรัส ทะเลสาบเนสส์ มีการเชื่อมกับทะเลอื่นๆ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ในยุคน้ำแข็ง ทำให้ทะเลสาบเนสส์แยกตัวออกจากทะเลอื่นๆ แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ยังคงติดอยู่ที่เดิม และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เนื่องจากไม่มีการรบกวนและมีอาหารให้มันกินได้ แต่สัตว์พวกเดียวกันในแหล่งอื่นได้สูญพันธุ์ไป
รวมทั้งความเชื่อว่าเนสซี เป็นสัตว์จำพวกอื่น ที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบเนสส์ เช่น แมวน้ำกลายพันธุ์ หรือปลาไหล หรือปลาฉลามขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ มีโหนกและมีหนามเหมือนที่ใครหลายคนเห็นมา
หรือแท้ที่จริงแล้วเนสซีและสัตว์ประหลาด ในทะเลหรือทะเลสาบที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เป็นเพียงปรากฏการณ์คลื่นนิ่งที่เกิดขึ้นบนผิวน้ำ ทำให้คนที่เห็นคิดภาพตามที่เห็น เหมือนเรื่องของพญานาคในแม่น้ำโขง หรือบึงโขงหลงในพื้นที่ภาคอีสานของประเทศไทย
การติดตามค้นหาเนสซีของมนุษย์
ปัจจุบันมีบริษัทที่ให้ค่าหัว ในการติดตามหาเนสซีอย่างเป็นล่ำเป็นสัน อย่างบริษัทวิลเลียมฮิลล์ บริษัทพนันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้ประกาศให้รางวัลสำหรับ ผู้ที่ค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับเนสซีได้ ด้วยเงินรางวัล 1 ล้านปอนด์หรือประมาณ 70 ล้านบาท ซึ่งในปี ค.ศ. 2007 กอร์ดอน โฮลมส์ เจ้าหน้าที่ห้องแล็บมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ได้บันทึกภาพการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต ที่เขาเชื่อว่าคือเนสซี ขณะที่เขากำลังนั่งชมทิวทัศน์อยู่ริมทะเลสาบเนสส์ โดยถาพเคลื่อนไหวนั้นมีความยาว 2 นาที และกลายเป็นภาพเกี่ยวกับเนสซีที่สมบูรณ์ที่สุดในหลักฐานที่เคยมีมา
รวมทั้งมีคำสนับสนุนของเอเดียน ไชน์ นักชีววิทยาสัตว์น้ำ เกี่ยวกับภาพเคลื่อนไหวของโฮลมส์มาตรวจสอบ และมีความเห็นว่าเป็นเรื่องจริง โดยเป็นสิ่งที่ยากมากหากจะตกแต่งภาพขึ้น เพราะภาพของโฮลมส์ ไม่ได้จับเฉพาะแต่สัตว์ประหลาด แต่ยังมีทิวทัศน์ภูเขารอบๆ ทะเลสาบด้วย ซึ่งภาพหลักฐานนี้ ได้นำไปสู่การค้นคว้าและเปรียบเทียบความเร็ว รวมถึงขนาดของสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ใต้ทะเลสาบ ทำให้เชื่อได้ว่าสิ่งมีชีวิตนี้ยาวประมาณ 15 เมตร และว่ายน้ำเร็วได้ถึง 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อีกทั้งในภาพยังจับตรงบริเวณครีบ ภาพของโฮลมส์นี้เป็นภาพที่มีชื่อเสียงในสหราชอาณาจักร กระทั่งมีการเผยแพร่ของสำนักข่าวบีบีซี และรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรได้เปิดเผยหลักฐานต่อสาธารณะ ทำให้เชื่อว่าเนสซีมีอยู่จริง และกลายอเป็นสัตว์อนุรักษ์ของอังกฤษ แม้จะยังอยู่ในสัตว์จำพวกที่ไม่รู้จักของอังกฤษก็ตาม และในปีค.ศ.2009 มีหลักฐานใหม่จากดาวเทียมกูเกิลเอิร์ธ สามารถจับภาพของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นเนสซี ได้ที่ทะเลสาบเนสส์ สร้างความฮือฮาเกี่ยวกับเนสซีอีกรอบ แต่จริงๆ แล้วสิ่งนั้น คือ เรือที่กำลังแล่นอยู่
นอกจากนั้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 2014 มีรายงานว่ามีหญิงชาวอังกฤษ สามารถถ่ายรูปของเนสซีขณะลอยคอเหนือผิวน้ำไว้ได้ ที่ทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ ทางตอนเหนือของอังกฤษ ที่อยู่ห่างจากทะเลสาบเนสส์ 241กิโลเมตร ซึ่งหญิงคนนั้นคิดว่าเป็นหงส์หรือห่านลอยในทะเลสาบ และต้นปี ค.ศ. 2016 ชาวประมงใช้โซนาร์ ตรวจจับสภาพของทะเลสาบเนสส์ ทำให้เห็นสถาพของทะเลมีร่องลึกยาวประมาณ 9 ไมล์ ที่ความลึก 813 –900 ฟุต ซึ่งทำให้ทราบว่าทะเลสาบเนสส์ ลึกเป็นอันดับสองของสหราชอาณาจักร จึงเชื่อว่าที่ความลึกอย่างนี้จะทำให้เหมาะต่อการอยู่ของเนสซี
3. โอโกโปโก หรือ ไนทากะ เป็นชื่อเรียกของสัตว์ประหลาดในทะเลสาบ ที่ค้นพบที่ทะเลสาบโอคานากัน บริเวณรอบ ๆ เกาะงูหางกระดิ่ง ในเมืองเคโลว์นา รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา โอโกโปโก ได้รับการค้นพบตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 มีรูปร่างลักษณะคล้ายงูทะเลยักษ์ มีความยาว 12 – 15 เมตร มีรูปร่างยาวเหมือนงู มีครีบเล็กๆ 4 ข้าง คล้ายพายที่ช่วยให้มันว่ายน้ำได้เร็วขึ้น หางเร็วเล็ก ส่วนหัวยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนเพราะเป็นการเห็นบนผิวน้ำเท่านั้น ด้วยสภาพของทะเลสาบโอคานากัน ข้างล่างมีถ้ำมากมาย อาจเป็นที่อาศัยของ โอโกโปโก หรือสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ได้ แต่การศึกษาและค้นหาหลักฐานที่นี่ทำได้ยาก เนื่องจากน้ำขุ่นมาก
ลักษณะรูปพรรณสัณฐานของโอโกโปโก
แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยัน ลักษณะของโอโกโปโกได้ชัดเจน แต่คาร์ล ชูเกอร์นักวิจัยสัตว์ลึกลับชาวอังกฤษ ได้จัดให้โอโกโปโกอยู่ใน หมู่สัตว์ประหลาดหลายหนอก ของกลุ่มสัตว์ประหลาดในทะเลสาบเช่นเดียวกับ เนสซี ในทะเลสาบล็อกเนสส์ของสก็อตแลนด์ และทำให้เห็นว่าโอโกโปโกเป็นสัตว์เลื้อยคลานดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่ง แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันได้ชัดเจนนัก เพราะมีเพียงภาพถ่ายและภาพในฟิล์ม ที่มีแต่สิ่งที่เกี่ยวกับสัตว์ทั่วไป เช่น ตัวนาก และวัตถุไม่มีชีวิตอย่างขอนไม้ลอยน้ำ
รวมทั้งคำสันนิษฐานของผู้เชี่ยวชาญว่า โอโกโปโกอาจจะเป็นปลาสเตอร์เจียน หรือปลารูปร่างทรงประหลาด เหมือนสัตว์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ แต่ยังไม่มีใครจับปลาปลาสเตอร์เจียน ในทะเลสาบโอคานาได้ หรือสิ่งที่ยืนยันกันว่าโอโกโปโกมีอยู่จริง จะเป็นเพียงปรากฎการณ์ก๊าซในน้ำดันพุ่งขึ้นมาเหนือน้ำ ทำให้เหมือนมีอะไรโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำแค่นั้น ถึงอย่างไรคนที่อาศัยอยู่รอบทะเลสาบ ยังคงเชื่อว่าโอโกโปโกมีอยู่จริง เพราะหลายคนเคยเห็น ซึ่งเฉลี่ยในหนึ่งปีจะมีคนเห็นโอโกโปโกถึงหกคน ทำให้คนที่นี่มีการปั้นรูปปั้นของโอโกโปโกในเมืองเคโลว์นาหลายแห่ง และมีการผลิตเสื้อสกรีนรูปโอโกโปโก เพื่อจำหน่ายเป็นของที่ระลึกด้วย
สเตอส์โจด์จูเรต สัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบใหญ่
เป็นสิ่งมีชีวิตที่เชื่อว่าเป็นสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งในทะเลสาบสตูร์เชิน ในมณฑลแยมต์ลันด์ ตอนกลางของประเทศสวีเดน มีรายงานว่าเป็นสัตว์ที่มีลำตัวขนาดใหญ่ มีลำตัวยาวเหมือนงูหรือมังกร ส่วนหัวเหมือนสุนัข ลำตัวยาวถึง 6.1 เมตร ว่ายน้ำเร็ว มีฟันแหลมคมสำหรับฉีกกินเนื้อของเหยื่อ อาศัยอยู่ในระดับความลึกกว่า 90 เมตร ซึ่งในปี ค.ศ. 1635 ปรากฎหลักฐานชิ้นแรกเกี่ยวกับสเตอส์โจด์จูเรต คือ จารึกในหินศิลาของชาวไวกิง ชนพื้นเมืองในแถบสกินดิเนเวีย ต่อมาในยุคศตรรษที่ 19 มีรายงานว่ามีผู้พบเห็นโหนกหลังหลายอันในทะเลสาบ และยังมีผู้พบเห็นมาเรื่อยๆ กระทั่งปัจจุบัน
ตำนานเกี่ยวกับสเตอส์โจด์จูเรต
มีตำนานเล่าว่าโทรลสองตนอาศัยอยู่ที่ริมทะเลสาบ ซึ่งกำลังหาสิ่งของลงในหม้อต้มแบบไม่มีจุดหมาย และเวลาผ่านไปหลายปี ได้มีเสียงร้องจากหม้อ เมื่อทั้งสองเปิดดูเจอสัตว์ประหลาดหัวคล้ายแมว ลำตัวยาวสีดำเหมือนงูได้โผล่ออกมาจากหม้อ และมันได้กระโดดลงไปในทะเลสาบ กลายเป็นสัตว์ประหลาดทะเลสาบนั่นเอง
ความเชื่อปัจจุบันเกี่ยวกับสเตอส์โจด์จูเรต
ปัจจุบันคนรอบ ๆ ทะเลสาบสเตอร์จอน ยังคงเชื่อว่ามีสเตอส์โจด์จูเรตอยู่จริง สังเกตได้จากการมีสิ่งก่อสร้างหลายอย่าง ที่สร้างเป็นรูปสเตอส์โจด์จูเรต อีกทั้งรายงานการพบเห็นสเตอส์โจด์จูเรต มากที่สุดที่บริเวณตอนใต้ของทะเลสาบด้วย อย่างสามีภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่ริมทะเล และสามารถถ่ายภาพสิ่งมีชีวิตคล้ายสเตอส์โจด์จูเรต เพราะมีคลื่นยาวบนผิวน้ำ เหมือนมีการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตลำตัวยาว ขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งพักผ่อนและสามีของเธอได้เป็นคนถ่ายภาพนั้นไว้
สเตอส์โจด์จูเรตกับปัจจุบันมีสถานะคุ้มครองทางกฎหมาย ในฐานะเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ขณะที่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสัตว์ชนิดไหน และปลายปี ค.ศ. 2005 สถานะการคุ้มครองนั้นได้ถูกยกเลิกไป ปัจจุบันยังคงมีการค้นหา และศึกษาว่าสเตอส์โจด์จูเรตมีอยู่จริงหรือไม่ โดยมีการตั้งสถานีวิจัยของรัฐบาล ที่ทะเลสาบสเตอร์จอน และให้ยามรักษาการณ์ตลอเวลา และตั้งกล้องวิดีโอถ่ายทอดจากริมฝั่งทะเล ใต้ผิวน้ำ และบนผิวน้ำ แต่ยังไม่ได้หลักฐานที่บ่งชี้ชัดว่าสเตอส์โจด์จูเรตยังอยู่จริง แต ไม่ว่าเรื่องตำนานงูทะเล และสัตว์ประหลาดในท้องทะเลลึก จะยังคงมีอยู่จริงหรือไม่ แต่สิ่งเหล่านั้นได้ทำให้มนุษย์อย่างเราๆ มีโอกาสรับรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล และเชื่อว่าข้อมูลของสัตว์ประหลาดในทะเล จะเป็นข้อมูลที่สำคัญในสังคมและวงการศึกษาต่อไป
บทความแนะนำ…คาถาขอทรัพย์ บูชาพ่อปู่ศรีสุทโธ แม่ยาปทุมมา สายนาคาไม่ควรพลาด