มีเรื่องเล่าว่า หนุ่มคนหนึ่ง หน้าตาไม่ขี้เหร่ แต่ไม่เทห์ในสายตาบรรดาสาว ๆ เอาเสียเลย อย่าว่าแต่สาว ๆ เลย ในสายตาเพื่อน ๆ ด้วยกัน ทำอะไรก็รู้สึกขัดตาเพื่อนไปหมด บางทีแค่เดินผ่าน ก็ทำเหมือนเขาไร้ตัวตน ไม่คุย ไม่ทัก ผ่านแล้วผ่านเลย
ทำให้เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เหมือนมันมีอะไรปิดในสิ่งที่เขามีอยู่ มันควรได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่ แม้หน้าตาเขาไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ที่สุด ไม่แตกต่างจากหนุ่ม ๆ ทั่วไปในหมู่บ้านเดียวกัน
วันหนึ่งเขาจึงเข้าไปหาพระอาจารย์ที่วัด เล่าความเป็นไปให้ท่านฟัง พระอาจารย์นึกสงสาร จึงให้คาถาโบราณมา อันที่จริงคาถานี้ก็ไม่ได้ลึกลับอะไรหรอก เป็นคาถาที่มีผู้เคยใช้มาแล้ว มีผู้นำไปเผยแพร่ในหนังสือ อินเตอร์เน็ตเว็บไซต์มาแล้ว ท่านอาจารย์เองอาจจะนำมาจากหนังสือหรืออินเตอร์เน็ตด้วยซ้ำไป หรือท่านอาจจะทรงจำตาม ๆ กันมา เรื่องนี้มิได้สอบถาม แต่เขาพยายามจดจำและทำตามที่อาจารย์แนะนำทุกประการ
เมื่อหนุ่มได้คาถามาแล้วก็พยายามท่องให้ขึ้นใจ ท่องให้คล่องปากเสียก่อน ไม่ให้สะดุดปาก เมื่อมั่นใจแล้วเขาก็ไปขอสีผึ้งที่ใช้ทาปากจากคุณตามา (อาจารย์ไม่ได้ให้สีผึ้งมา และห้ามไม่ให้เอาสีผึ้งอาจารย์อื่นมาเสกด้วย น่าจะเป็นกุสโลบายของอาจารย์ เพื่อให้เขาใช้ความเพียรพยายามในการแสวงหาสีผึ้งเอง สวดคาถาเสกเองให้ได้ แต่หากใช้สีผึ้งของอาจารย์อื่นมาเสกก็ไม่ผิด แต่ความพยายามอาจจะไม่เต็มร้อย เพราะคิดว่าเป็นสีผึ้งดีแล้ว อาจารย์เสกดีแล้ว จึงไม่สวดไม่เสกเองอย่างเต็มที่ แต่อาจารย์ต้องการให้บริกรรมคาถาเสกเองอย่างเต็มที่ ของดีจึงน่าจะอยู่ที่คาถา)
จากนั้นเขาจึงทำการตั้งขันธ์ห้า ดอกไม้ห้าคู่ เทียนห้าคู่บูชาครู ทำการสวดเสกสีผึ้งด้วยตัวเขาเอง เบื้องต้นก็ทำตามตำราอาจารย์ว่าสวด 108 จบดี เขาก็สวด ๆ สวดเกิน 108 จบเสียด้วยซ้ำ เกินไม่เป็นไร ไม่ถือว่าผิด แต่ถ้าหากสวดขาดหรือสงสัยว่าสวดไม่ครบ 108 ทำให้มันขาดความมั่นใจเกิดความสงสัยได้ว่าสวดครบ 108 หรือเปล่า
คาถาเสกขี้ผึ้งด้วยตนเอง แบบเจาะจงชื่อ
มุทุจิตตัง สุวามุขขัง ทิสสะวา นิมามัง ปิยังมะมะ เมตตาชิวหา ยะมะทุรัง ทะกาวาจัง สัททังสุตตะวา สัพเพชะนา พะหูชะนา อิตถีชะนา สัมมะนุนะ พราหมะนานุนะ ปะสังสันติ อิตถี อิตถี ปิยังมะมะ อิตถีอี อี……………. ปิยังมะมะ (ปุริโสไอ้……………. ปิยังมะมะ) นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะพะกะสะ มะอะอุ พุทโธ โอม สวาหะ สวาหะ ปิยะมะมัง ปิยังมะมะ
วิธีใช้คาถาเสกสีผึ้ง แบบระบุบุคคล
- หากเป้าหมายเจาะจงผู้หญิงคนใด ก็ให้สวด ระบุชื่อผู้หญิงคนนั้น เว้นคำในวงเล็บ ข้อความสีน้ำเงิน
- หากเป้าหมายเจาะจงผู้ชายคนใด ก็ให้สวด ระบุชื่อผู้ชายคนนั้น สวดคำในวงเล็บ เว้นข้อความสีแดง
- หากเจาะจงชื่อทั้งหญิงและชายทั้งสองคน ก็สวดทั้งหมด
- หากไม่เจาะจงชื่อให้ใช้คำว่า อีทั้งหลาย ไอ้ทั้งหลาย
หนุ่มคนนั้น ตอนแรกเขาก็สวดโดยการระบุว่า อีทั้งหลาย ไอ้ทั้งหลาย เป้าหมายให้เป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อน ๆ เมื่อสวดได้ครบ 108 บทแล้ว ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เป็นพื้นฐานของการใช้กับบุคคลทั้งปวงแล้ว ต่อไปถ้าจะใช้เจาะจงใคร ให้สวดก่อนใช้อีกสามจบเจ็ดจบก็พอ (สวดแบบเจาะจงชื่อ)
แรก ๆ เขาก็นำไปใช้กับกลุ่มเพื่อนก่อน สวดกำกับอีกครั้งจึงทาสีผึ้งที่ปากที่คิ้ว แล้วไปพูดไปคุยกับเพื่อน ๆ (ต้องเข้าหาเพื่อน เข้าหากลุ่มเป้าหมาย เข้าหาเหยื่อนะ ไม่ใช่ให้เพื่อนหรือกลุ่มเป้าหมายเข้ามาหาเราเอง แต่ถ้าเป็นร้านค้าร้านขายอีกแบบหนึ่ง) เมื่อเขาได้เข้าไปพูดคุยกับเพื่อน ๆ ในกลุ่ม ปรากฏว่าเขาพูดอะไรก็ได้รับความสนใจจากเพื่อน ๆ ไปหมด แม้เรื่องนั้นเขาจะเคยพูดมาแล้วก็ตาม เหมือนเพื่อน ๆ มีความตื่นเต้นที่จะฟัง สนใจที่จะอยากรู้จนไม่เดินไปไหนเลย ทำให้เขาเกิดความมั่นใจ ต่อไปจึงใช้กับสาวแบบเจาะจงบ้าง ก่อนใช้สวดเสกสีผึ้งแบบเจาะจงชื่อผู้หญิงกำกับไปอีก 7 ครั้ง แล้วใช้นิ้วนางป้ายสีผึ้งทาปาก (อาจารย์ไม่ได้บอกว่าใช้นิ้วไหน) เข้าไปหาหญิง พูดคุยก็ได้รับความสนใจจากหญิงอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน จากที่ผู้หญิงไม่ค่อยพูดด้วย หรือถามคำตอบคำ เป็นอันว่าผู้หญิงชวนเขาคุยเองเหมือนไม่อยากให้เขาเดินไปที่อื่นอย่างนั่นแหล่ะครับ
ทั้งหมดที่เล่ามา อาจจะมองได้หลายมุม
- ด้วยอำนาจแห่งคาถาที่ใช้เสกสีผึ้งทาปาก ซึ่งเราเรียนแล้ว สวดแล้ว อาราธนาบูชาครูใช้คาถาแล้ว ต้องไม่หลบหลู่ ไม่ประมาท ต้องมีความเชื่อมั่นว่าใช้ได้จริง มีคุณจริง ไม่งั้นก็ต้องสวดไม่เสกล่ะ แต่เมื่อสวด เมื่อเสก เมื่อใช้ต้องมีความเชื่อมั่น
- เป็นเพราะความกล้าหาญของเขา เมื่อก่อนแม้เขาอาจจะเคยทำอย่างนี้ เคยกล้าพูดกล้าคุย แต่อาจจะไม่เต็มที่ มีความกล้าหาญไม่เต็มร้อย เมื่อเขาได้สวดได้เสกสีผึ้งเอง ทำให้ให้เขามีความกล้าหาญเต็มร้อยในการเข้าหาเพื่อน ๆ ในการเข้าหาผู้หญิง