
เมื่อกล่าวคำถวายดอกไม้ธูปเทียนแล้ว ก็ให้กราบนมัสการลงสามหน จากนั้นก็ได้ว่าคาถาชุมนุมเทวดาซึ่งเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ สถิตอยู่ในสากลโลกนี้ ในเรื่องเทวดานั้นมีในทางพระพุทธศาสนา ก็จึงยอมรับว่าเป็นสิ่งที่มีจริง บรรดาท่านผู้ทรงคุณความรู้ทั้งหลาย เช่นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พระองค์ท่านก็ทรงยอมรับว่า ในเรื่องเทวานุภาพนั้นเป็นของที่มีจริงแน่นอน คาถาชุมนุมเทวดานั้น ว่าดังนี้
๏ สัคเค กาเม จ รูเป คิริสิขรตเฏ จันตลิกเข วิมาเน ทีเป รัฏเฐ จ คาเม ตรุวนคหเน เคหวัตถุมหิ เขตเต ภุมมา จายนตุ เทวา ชลถลวิสเม ยักขคันธัพพนาคา ติฏฐันตา สันติเก ยัง มุนิวรวจนัง สาธโว เม สุณันตุ ฯ ๏ ธัมมัสสวนกาโล อยัมภทันตา ธัมมัสสวนกาโล อยัมภทันตา ธัมมัสสวนกาโล อยัมภทันตา ฯ
การกล่าวคาถาชุมนุมเทวดานี้ ก็เพื่อให้จะให้มาร่วมชุมนุม ฟังการสวดมนต์ของเรา และอำนวยความสวัสดีให้
ระยะที่ ๑
จากนั้นจึงนั่งกระหย่งเท้าประนมมือ ตั้งใจยึดถือเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ไม่ถือถึงอันยิ่งไปกว่าจนตลอดชีวิต แล้วว่าพระไตรสรณคม ก่อน
๏ พุทธังรสณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ ทุติยัมปิพุทธังรสณังคัจฉามิ ทุติยัมปิธัมมังสรณังคัจฉามิ ทุติยัมปิสังฆังสรณังคัจฉามิ ตติยัมปิพุทธังสรณังคัจฉามิ ตติยัมปิธัมมังสรณังคัจฉามิ ตติยัมปิสังฆังสรณังคัจฉามิ ฯ

เมื่อจบพระไตรสรณคมแล้ว จึงสวดคาถาพระพุทธคุณต่อไป คือ
๏ อิติปิโสภควา อรหังสัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทัมมสารถิ สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธภควาติ ฯ
เมื่อสวดพระพุทธคุณจบแล้ว ให้นำใจน้อมใจระลึกถึงพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณของพระพุทธเจ้า จนเห็นแจ่มแจ้งชัดดังที่ระลึกนั้น แล้วจึงว่า
๏ พุทธัง ภควันตัง อภิวาเทมิ ฯ เสร็จแล้วกราบลงหน ๑
ระยะที่ ๒
ระยะที่ ๒ ให้เงยหน้าขึ้นนั่งตรงในท่าเดิม ว่าคาถาพระธัมมคุณ คือ สวากฺขาโต ภควตาธัมโม สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ฯ
แล้วจึงให้นำใจน้อมใจไประลึกถึงคุณพระปริยัติธรรม พระปฏิบัติธรรม พระปฏิเวธธรรม จนเห็นแจ้งชัดตามที่ระลึกนั้น จากนั้นจึงให้ว่า
๏ ธัมมัง นมัสสามิ ฯ เสร็จแล้วกราบลงหน ๑
ระยะที่ ๓
ระยะที่ ๓ เงยขึ้นนั่งตรงในท่าเดิม ว่าคาถาพระสังฆคุณ คือ
๏ สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ อุชุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ ญายปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ สามีจิปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ ยทิทัง จัตตาริ ปุริสยุคานิ อัฏฐปุริสปุคคลา เอสภควโต สาวกสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชลีกรณีโย อนุตฺตรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ ฯ
แล้วพึงให้นำใจน้อมใจระลึกถึงพระสังฆคุณ คือความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติควร ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นแจ่มแจ้งชัดแล้วตามที่ได้ระลึกนั้น จากนั้นจึงให้ว่า
๏ สังฆัง นมามิ ฯ เสร็จแล้วให้กราบลงหน ๑
ระยะที่ ๔
ระยะที่ ๔ พึงให้ก้มกราบลงเพียงประนมมือ ระลึกถึงคุณของบิดาและมารดาที่มีต่อเรา ตั้งแต่ปฏิสนธิในครรภ์ ตลอดกระทั่งการที่ตนได้มานั่งอยู่ ณ ที่นี้ให้เห็นแจ่มแจ้งชัดตามที่ได้ระลึกมานั้น แล้วกราบลงหน ๑
ระยะที่ ๕
ระยะที่ ๕ ระลึกถึงท่านผู้มีคุณแก่ตน มีอุปัชฌาย์ครูบาอาจารย์เป็นต้น จนเห็นแจ่มแจ้งชัดแล้วกราบลง รวมเป็น ๕ ระยะด้วยกัน ตามที่กล่าวมานี้เป็นกิจเบื้องต้นของการสวดมนต์ ต่อจากนี้ จะมีคาถาบทหนึ่งบทใดภาวนา ก็ให้พึงว่าในระยะต่อไปนี้

เมื่อได้เจริญบริกรรมไปจนสิ้นสุดแล้ว จึงลดมือลงแล้วให้ทำอารมณ์ตามหลักสมถกัมมัฏฐาน พอเป็นนิสัยไว้บ้าง คือตั้งใจพิจารณาสังขารของตนและของผู้อื่น ว่าต้องแก่ จะหลบหนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ จะหลบหนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย จะหลบหนีความตายไปไม่พ้น เป็นอนิจจังไม่เที่ยงไม่คงทนยั่งยืน มีความทรุดโทรมแปรปรวน แล้วก็แตกสลายไปในที่สุดเมื่อได้พิจารณาแล้วก็พึงใช้ขันติเมตตาจิต แผ่เมตตาไปให้โดยทั่วถึงกัน ทั้งยังมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงว่าเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรและภัยเบียดเบียนกันเลย รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด
การสวดมนต์ที่กระทำเป็น ๕ ระยะนี้ สำหรับอาการกิริยาที่จะนั่งท่านั้น พึงตามความสะดวกและถนัดก็ได้ แต่ให้ทำเป็นระยะ ๆ ตามที่กล่าวมานั้น และถ้าหากเป็นการรีบด่วน พึงกระทำแต่เพียงจิตใจก็ได้ นับว่าเป็นการเพียงพอแล้ว