หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต
อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต ตำบลนางาม อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น นามเดิมของท่านชื่อ ผาง ครองยุต เกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2445 ตรงกันวันอังคาร ขึ้น 2 ค่ำ เดือนเก้า ปีขาล ที่บ้านกุดเกษียร ตำบลกุดเกษียร อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุดรธานี โยมบิดาชื่อ ทัน โยมมารดาชื่อ บับพา ครองยุต มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 3 คน คนแรกเป็นหญิงชื่อ บาง ซึ่งบวชเป็นชีอยู่ที่วัดอุดมคงคาคีรีเขต คนที่สองชื่อ คำแสน ส่วนตัวหลวงปู่เป็นคนสุดท้อง โยมบิดาและมารดามีอาชีพทำนาเป็นหลัก
การศึกษาทางโลกของหลวงปู่มีความรู้สามัญชั้นประถมปีที่ 4 หลวงปู่มีอุปนิสัย รักความเป็นธรรม ถือความสัตย์ พูดจริงทำจริง รักธรรมชาติ ชอบความสงบเมตตาสัตว์มีแนวความคิดสร้างสรรค์ และชอบทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม เมื่อหลวงปู่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ตามประเพณีลูกผู้ชายชาวไทย ได้ศึกษาพระธรรมวินัยมีความรู้พอสมควรต่อมาเมื่อออกพรรษาจึงได้ลาสิกขาจากสมณเพศมาประกอบสัมมาอาชีพ หลังจากได้ลาสิกขาแล้วก็ได้สมรสกับ นางจันดี ตามประเพณี ได้ครองเรือนมาด้วยกัน อย่างราบรื่นเป็นเวลานานหลายปีโดยไม่มีบุตรสืบสกุล จึงได้ขอบุตรของญาติมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมชื่อ นางบุญปราง ครองยุต เมื่อครั้งยังอยู่ในเพศฆราวาส หลวงปู่เป็นคนขยัน เอาจริงเอาจังกับการงาน ได้ประกอบสัมมาอาชีพโดยช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา บางครั้งก็เป็นพ่อค้าเรือใหญ่ บรรทุกข้าวจากแม่น้ำมูลไปขายตามลำน้ำชีน้อย บางครั้งก็เป็นพ่อค้าวัว นำวัวไปขาย ที่เขมรต่ำ หลวงปู่ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการสร้างฐานะให้แก่ครอบครัว
หลวงปู่ผางได้ใช้ชีวิตในเพศฆราวาสเป็นเวลานาน สามารถรอบรู้เหตุการณ์ที่ผ่านมา พิจารณาดูความเปลี่ยนแปลงของชีวิตและหมู่สัตว์ทั้งหลายบรรดามีในโลก เมื่อเกิดมาแล้วต่างก็สับสนวุ่นวายแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเป็นที่เดือดร้อนไม่สุดสิ้น หลวงปู่คงจะได้สั่งสมบุญบารมีมามาก ทำให้ท่านมองเห็นความไม่แน่นอน และความไม่มีแก่นสารในชีวิต ทำให้จิตใจของท่านโน้มเอียงไปในทางแห่งความสงบ ท่านได้ทำทานเป็นการใหญ่ โดยได้ให้เกวียน วัว บ้าน ไร่ นา แก่ผู้อื่นสละทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา
หลังจากที่หลวงปู่ในเพศฆราวาสได้บริจาคทาน วัว ควาย ไร่ นา บ้านเรือน ให้แก่ผู้อื่นจนหมดสิ้นแล้ว ก็หมดห่วงและได้หันหน้าเข้าหาพระธรรม ดังนั้นเมื่ออายุได้ราว 43 ปี จึงได้ชวนกันกับภรรยาออกบวช ภรรยาได้บวชเป็นแม่ชี ส่วนหลวงปู่ได้เข้าอุปสมบทในฝ่ายมหานิกายที่วัดบ้านกุดเกษียร อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีท่านพระครูศรี (วัดคูขาด) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “จิตฺตคุตฺโต” หลังอุปสมบทหลวงปู่ผางได้เข้าศึกษาอบรมพระกรรมฐานอยู่ในสำนักวัดป่าวารินชำราบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี กับพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม (เจ้าคุณพระญาณวิศิษฏ์) และพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ต่อมาหลวงปู่จึงได้รับ การญัตติเป็นธรรมยุต ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2488 โดยมีพระมหาอ่อน เจ้าคณะอำเภอเขื่องในเป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาทรายเป็นพระกรรมวาจารย์ และพระมหาจันทร์เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อหลวงปู่ผางได้รับการญัตติเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกายแล้ว ท่านก็ยังเข้ารับการอบรมพระกรรมฐานอยู่ในสำนักท่านพระอาจารย์สิงห์ ต่อไปอีกเป็นเวลาอันสมควรแล้วจึงได้ออกปฏิบัติพระธุดงค์กรรมฐานไปวิเวกโดยลำพัง ต่อมาจึงได้พบกับพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เกิดความเลื่อมใสได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และได้เข้าอบรมอยู่กับพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าบ้านผือนาในอยู่เป็นเวลาอันสมควร คืนหนึ่งหลวงปู่ได้นิมิตไปว่า ได้ขี่ม้าขาวไปทางจังหวัดขอนแก่น ได้เห็นสถานที่ต่างๆ เลยไปจนถึงอำเภอมัญจาคีรีแล้วม้าขาวก็หยุดให้ท่านลง รุ่งเช้าขึ้นท่านจึงได้ลา พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต และพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ออกธุดงค์ไปตามนิมิตนั้นทันที หลวงปู่ผางได้ท่องเที่ยววิเวกไปแต่ผู้เดียวในป่าเขา จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาหลายปี ต่อมาท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบรรลังค์ศิลาทิพย์ ตำบลบ้านแท่น อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น เป็นเวลาหลายปี จากนั้นหลวงปู่ได้ธุดงค์ต่อไปยังภูเขาผาแดง อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ได้พักแรมที่บ้านแจ้งทัพม้า และบ้านโสกน้ำขุ่น ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับวัดดูน ซึ่งเป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์มีบ่อน้ำซึม ที่ไหลออกมาตลอดปีมิได้ขาด วัดดูนแห่งนี้เป็นโบราณสถานเก่าแก่ ชาวบ้านแถบนั้นถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยมีพระมหาสีทน กาญฺจโน ซึ่งได้ธุดงค์มาพบเข้า จึงได้บูรณะขึ้นเป็นวัดตั้งแต่ปี 2482 ต่อมาพระมหาสีทนได้เปลี่ยนชื่อจากวัดดูนเป็น วัดอุดมคงคาคีรีเขต ในปี 2492 หลวงปู่ผางได้ธุดงค์มายังวัดอุดมคงคาคีรีเขต อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ท่านอยู่จำพรรษาที่นี่จนตลอดชีวิตของท่าน เมื่อแรกที่หลวงปู่มาอยู่ที่วัดแห่งนี้ บริเวณนั้นยังเป็นป่าดงดิบ มีสัตว์ป่าดุร้ายมาก เช่น เสือ ช้าง หมี งู ฯลฯ มีภูตผีปีศาจดุร้าย หลวงปู่ได้แผ่เมตตาจิตต่อสู้กับสัตว์ร้ายและภูตผีปีศาจ จนชาวบ้านในละแวกนั้นหายหวาดกลัว และสัตว์ร้ายก็หลบหนีข้ามเขาภูผาแดงไปหมด หลวงปู่ยังนิมิตเห็นโครงกระดูกของท่านแต่ชาติปางก่อนฝังอยู่บริเวณนั้นด้วย
หลวงปู่เล่าไว้ว่า เมื่อแรกที่ท่านธุดงค์มาอยู่ที่วัดอุดมคงคาคีรีเขตนี้ ก็จำพรรษาอยู่กับพระมหาสีทนเพียงสององค์ ได้พาญาติโยมสร้างกุฏิขึ้นสองหลัง ศาลาพักฉันข้าวหนึ่งหลัง ทายกทายิกาประจำวัดที่ช่วยกันสร้างในตอนนั้นได้แก่ นายผง บ้านโสกน้ำขุ่น นายหอม บ้านดอนแก่นเฒ่า และนายสม บ้านโสกใหญ่ หลังจาก นั้นต่อมาอีก 4-5 ปี พระมหาสีทนก็ขอลาออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือไม่กลับมาอีกเลย หลวงปู่ผางเป็นผู้มีความสามารถในการพัฒนาทั้งทางด้านวัตถุและทางด้านจิตใจ หลังจากที่หลวงปู่มาอยู่ที่วัดอุดมคงคาคีรีเขตได้ไม่นานนัก ก็ได้สร้างฝายกั้นน้ำ 2-3 แห่ง สร้างกุฏิทั้งสิ้น 52 หลัง สร้างโบสถ์ สร้างเจดีย์กู่แก้ว เจดีย์ถ้ำกงเกวียน และเจดีย์ใหญ่ สร้างศาลาใหญ่ สร้างสะพานคอนกรีต 3 แห่งภายในวัด สร้างกำแพงรอบวัด จัดทำฌาปนสถาน จัดระบบสุขาภิบาลโดยสร้างถังประปาวางท่อน้ำ และจัดทำส้วมให้เพียงพอ สร้างโรงอาหาร ศาลาฉัน โรงซักผ้าย้อมผ้า โรงไฟฟ้า เป็นต้น ในปี 2505-2507 ได้นำชาวบ้านโดยร่วมมือกับหน่วย กรป.กลาง สร้างและพัฒนาเส้นทาง แยกจากทางหลวงสายอำเภอมัญจาคีรี-แก้งคร้อ ไปยังวัดอุดมคงคาคีรีเขต เป็นถนนลงหินลูกรัง กว้าง 5 เมตร ยาว 12 เมตร ทางด้านการศึกษาหลวงปู่ได้นำราษฎรสร้างโรงเรียนระดับประถมศึกษาชื่อ โรงเรียนอุดมคงคาคีรีเขต มีสาธารณะประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่หลวงปู่ได้เข้าไปช่วยเหลือเกื้อกูล และแม้แต่วัดของท่านก็ได้รับการยกย่อง จากกรมศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมา แต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่เริ่มต้นมาดีก็สำเร็จเรียบร้อยด้วยดีในบั้นปลาย ในสมัยก่อนชาวบ้านแถวมัญจาคีรีนับถือภูตผีมาก แต่ละหมู่บ้านก็มีตูบตาปู่ (ศาลเจ้า) ไว้ประจำหมู่บ้านเพื่อกราบไหว้ เซ่นสรวงบนบานบอกกล่าวขอความคุ้มครอง
หลวงปู่ผางสั่งสอนชาวบ้านให้เลิกนับถือผีหันมานับถือพระรัตนตรัย แต่ชาวบ้านเกรงกลัวผีจะมาทำร้าย ทำให้เกิดความลำบากไม่อาจเลิกนับถือผีได้
หลวงปู่มีอุบายอันชาญฉลาดเพื่อที่จะให้ชาวบ้านได้เห็นว่า พระรัตนตรัยย่อมมีอานุภาพ มากกว่าผี ท่านจึงให้ชาวบ้านเผาตูบตาปู่ทิ้ง เมื่อชาวบ้านไม่กล้าเผาท่านก็ให้กำลังใจ ชาวบ้านและบอกว่า ถ้าเจ้าปู่เจ้าผี เจ้าของตูบตาปู่มีจริงก็ให้เข้ามาดับไฟเอาเอง
ชาวบ้านจึงได้กล้าเผา บางครั้งเมื่อมีคนถามหลวงปู่ว่า เชื่อว่าผีมีจริงไหมหลวงปู่ก็ตอบว่า เชื่อมาตั้งนานแล้ว เมื่อถามว่าหลวงปู่เคยเห็นผีไหม หลวงปู่ตอบว่าเคยเห็นอยู่บ่อยๆ และเมื่อถามว่าหลวงปู่คิดกลัวผีบ้างไหม หลวงปู่ตอบว่ากลัวอยู่เหมือนกัน เพราะผีพวกนี้มันพูดยากสอนยาก แล้วก็ถามว่าผีมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ผีพูดเป็นด้วยหรือ หลวงปู่ก็ตอบว่าก็ที่กำลังนั่งกำลังถามอยู่นี่แหละคือผีทั้งนั้นเลย หลวงปู่ได้เข้ารับการตรวจสุขภาพทั่วไปที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2524 อายุได้ 80 ผลตรวจปรากฏว่าสุขภาพทั่วไปดี ความดันโลหิตและชีพจรปกติ ตาเริ่มเป็นต้อกระจกอ่อนๆ ทั้งสองข้าง ผลเอ็กซเรย์ปอดคลื่นหัวใจเป็นปกติ ผลการตรวจเลือดพบว่าหน้าที่ของไต ตับ และระดับไขมันในเลือดปกติ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2524
หลวงปู่ได้ไปเข้ารับการตรวจอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากมีอาการแน่นท้อง จากการเอ็กซเรย์ระบบทางเดินอาหารพบว่า หลวงปู่เริ่มเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร คณะแพทย์โรงพยาบาลแพทย์ปัญญาได้ถวายคำแนะนำให้รักษาโดยการผ่าตัด แต่หลวงปู่ไม่ยินยอม วันที่15 กุมภาพันธ์ 2525 หลวงปู่ได้เข้ารับการรักษา ที่โรงพยาบาลเดิมอีก ด้วยอาการอ่อนเพลียเนื่องจากมีอาการเลือดออกในทางเดินอาหารและแพทย์ยังพบว่า มีอาการของกล้ามเนื้อหัวใจตาย หลวงปู่ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลสลับกับไปพักที่บ้านคุณนายเข็มทอง โอสถาพันธุ์ จนกระทั่งวันที่ 16 มีนาคม 2525 ทางคณะศิษย์จึงได้นิมนต์กลับวัดอุดมคงคาคีรีเขต หลังจากหลวงปู่กลับวัดได้ไม่กี่วัน ก็มีอาการอาเจียน ฉันอาหารและน้ำไม่ได้ ปัสสาวะน้อย และได้ละทิ้งขันธ์ไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2525 ก่อนมรณภาพไม่กี่วัน สังขารร่างกายของหลวงปู่ทรุดโทรมมาก บรรดาศิษย์ต่างวิตกไปตามๆ กันและปลงใจว่าหลวงปู่ไม่รอดแน่ ยิ่งได้เห็นความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าความทุกขเวทนาที่หลวงปู่ได้รับอย่างแสนสาหัส ศิษย์ทุกคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ หลวงปู่ทราบดีในเรื่องนี้จึงได้ตั้งปัญหาถาม คณะศิษย์ที่คอยเฝ้าดูอาการอาพาธอยู่โดยรอบในขณะนั้น เพื่อเป็นการเตือนสติว่า
“อยากเป็นไหมล่ะ อย่างนี้?” ช่างเป็นคำถามที่ประทับใจเสียจริงๆ
ธรรมโอวาทปัจฉิม
หลวงปู่ผางเป็นพระสงฆ์ผู้มีจิตใจเมตตาอยู่เสมอ ท่านบำเพ็ญพรหมวิหารธรรมเมตตาบารมีของท่านนี้เป็นกระแสธรรมที่นุ่มนวลเยือกเย็น ในวัดอุดมคงคาคีรีเขตมีบึงเป็นที่อาศัยของจระเข้อยู่แห่งหนึ่ง ทราบว่ามีหลายตัวบางคราวน้ำป่าหลากมามากทำให้จระเข้หนีไปอยู่ในถิ่นอื่น หลวงปู่ต้องตามไปบอกให้กลับมาเฝ้าวัดที่บึงแห่งเดิมและจระเข้ก็กลับมาจริงๆ ด้วย เล่ากันว่าวันที่หลวงปู่มรณภาพ จระเข้ลอยไปทางด้านเหนือของบึงและร้องเสียงดังอยู่เป็นเวลานาน คล้ายจะบอกให้รู้ว่าหลวงปู่จะจากพวกเราไปแล้ว และเป็นการแสดงถึงความอาลัยอาวรณ์ของสัตว์คราวหนึ่งได้มีการสร้างกุฏิในบึงดังกล่าว พวกช่างไม่กล้าลงไปปักเสาในน้ำเพราะกลัวจระเข้หลวงปู่ต้องลงไปยืนแช่ในน้ำคอยไล่ไม่ให้จระเข้เข้ามารบกวนพวกช่างเมื่อถูกถามว่าไม่กลัวจระเข้หรือ หลวงปู่ตอบว่าเลี้ยงมันมาแต่เล็กแต่น้อยจะไปกลัวมันทำไมอีกเหตุการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพลังเมตตาของหลวงปู่คือ หลายครั้งที่เกิดเหตุไฟป่าใกล้กับบริเวณวัดบรรดาสัตว์ป่านานาชนิดกระเสือกกระสนหนีไฟเข้าไปอาศัยในเขตวัดส่วนพวกที่หนีไฟไม่ทันเพราะหมดกำลังและยังอ่อนก็ถูกไฟไหม้ตายเป็นกองอย่างน่าเอน็จอนาถ หลวงปู่ย่อมเห็นเหตุการณ์โดยตลอด ด้วยพลังแห่งเมตตาธรรมที่มีอยู่ในใจเป็นเหตุให้หลวงปู่ต้องอดอาหารเป็นเวลาหลายวันเข้านั่งสมาธิเพื่ออุทิศกุศลผลบุญให้แก่สัตว์ที่ถูกไฟไหม้ตาย
หลวงปู่ผางเป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัยท่านเป็นผู้มีจิตใจเข็มแข็งแก่กล้ามาก ปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลมอีกทั้งวาจาของท่านที่พูดออกมาก็มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นจริงดังคำพูดของท่านเสมอมีเรื่องเล่ามากมายที่เกี่ยวข้องกันไหวพริบปฏิภาณของหลวงปู่ เช่นมีครั้งหนึ่งมหาน้อยเป็นชาวอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่นมีนิสัยชอบถามปัญหาธรรมกับพระสงฆ์อยู่เป็นประจำ วันหนึ่งได้ไปนมัสการหลวงปู่ที่วัด แล้วถามหลวงปู่ว่า”เขาว่าพระกัมมัฏฐานถือธุดงควัตรอย่างหลวงปู่ ไม่รับเงินรับทองและใช้จ่ายรูปิยะวัตถุอนามาสด้วยมือตนเองใช่ไหม?” หลวงปู่มองดูหน้ามหาน้อยแล้วถามกลับว่า”ถามทำไม?” มหาน้อยตอบ “ก็อยากรู้สิหลวงปู่ถึงถาม” หลวงปู่ตอบ “ก็ใช่นะสิ”มหาน้อยพูดต่อว่า “นั่นก็แสดงว่า หลวงปู่ได้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์หมดความอยากแล้วใช่ไหม?” หลวงปู่ตอบว่า “เอ้า จะพูดไปอะไรปานนั้น ต้องเป็นอรหันต์เท่านั้นเหรอจึงจะไม่จับเงิน จับทอง พระคนธรรมดาไม่จับไม่ได้หรือ” มหาน้อยพล่ามต่อไปอีกว่า”ผมถามหลวงปู่เพื่อต้องการทราบว่า หลวงปู่ไม่รับเงินรับทองของอนามาสนั่นน่ะเพราะหมดความอยากแล้วใช่ไหมผมถามอย่างนี้” หลวงปู่ตอบว่า”ไม่รับเฉยๆ นี่แหละมันจะเพราะอะไร”หลวงปู่สอนไม่ให้เชื่อมงคลตื่นข่าว ไม่ให้เชื่อฤกษ์ยาม แม้ว่าในปัจจุบันการถือฤกษ์ยามนับว่าเป็นเรื่องสำคัญ จะเดินทางประกอบธุรกิจ ขึ้นบ้านใหม่และอะไรหลายๆ อย่าง ต้องมีฤกษ์ถ้าถูกวันอุบาทว์ โลกาวินาศ วันลอย วันจมแล้วต้องงด ควรเป็นวันธงชัย วันอธิบดี และวันฟู จึงจะเป็นมงคล มีครั้งหนึ่งคุณนายท่านหนึ่งมากราบหลวงปู่ ปรารถถึงวันเปิดร้านเพื่อประกอบธุรกิจการค้าคุณนายถามหลวงปู่ถึงวันที่จะเป็นมงคลสำหรับการเปิดร้าน หลวงปู่ก็บอกว่าดีทุกวันเปิดพรุ่งนี้ได้ยิ่งดี คุณนายแย้งว่า วันพรุ่งนี้เป็นวันโลกาวินาศ หลวงปู่บอกว่าไม่เคยได้ยินวันโลกาวินาศ เคยได้ยินแต่วันอาทิตย์วันจันทร์ คุณนายก็เลยเรียนหลวงปู่ว่า”เขามีมานานแล้วหลวงปู่ วันธงชัย วันอธิบดี วันฟู นี่ถึงเป็นมงคลเจ้าข้า”หลวงปู่ก็เลยถามว่า แล้ววันนี้ล่ะวันอะไร ก็ได้คำตอบจากคุณนายว่าเป็นวันฟูแต่ร้านไม่เรียบร้อยก็เลยเปิดไม่ทัน หลวงปู่จึงได้บอกให้คุณนายลองโยนก้อนหินลงไปในที่ล้างเท้า แล้วหลวงปู่ก็ถามว่า แล้วก้อนหินมันฟูไหม ได้คำตอบว่า “จม”หลวงปู่จึงได้สั่งสอนว่า “ที่ว่าวันฟู มันทำไมจึงไม่ฟู นี่แหละมันฟูไม่จริง”นี่แสดงให้เห็นถึงปฏิภาณไหวพริบในการสอนธรรมะของหลวงปู่ สอนให้เห็นของจริงให้รู้ชัดว่าทุกสิ่งทุกอย่างประกอบด้วยเหตุและผล หินเป็นวัตถุที่จมน้ำมันก็ย่อมจะจมน้ำไม่ว่าจะเป็นวันลอยวันฟู ท่านชี้ให้เห็นว่าวันเดือนปี ก็เป็นกาลเวลาไม่มีผลต่อความเป็นอยู่ความเจริญรุ่งเรืองของเรา แต่การกระทำของเราต่างหากที่จะมีผลต่อตัวเราเองอนุสรณ์สถานที่สำคัญที่สุดของหลวงปู่ผางคือ วัดอุดมคงคาคีรีเขต ซึ่งได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการตั้งแต่ปี 2523 นับเป็นเกียรติประวัติอันสูงส่งที่ควรภาคภูมิใจและน่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง หลวงปู่ได้ทำการบุกเบิกก่อสร้างวัดแห่งนี้ตั้งแต่ยังเป็นป่าดงดิบมีสัตว์ร้ายชุกชุม ภูตผีปีศาจคอยรบกวน และยังเป็นป่าสงวนแห่งชาติด้วย เนื่องจากหลวงปู่มีความทรหดอดทน ความเป็นผู้มั่นคงในการปฏิบัติยากที่จะหาผู้เทียมได้ และด้วยคุณธรรม บารมีที่ท่านได้บำเพ็ญมาจึงสามารถยกระดับสำนักสงฆ์แห่งนี้ให้สูงส่งเรื่อยมาโดยลำดับ โดยที่ทางราชการได้เห็นความสำคัญมีศัทธาเลื่อมใสได้ตกลงกันที่สำนักสงฆ์ออกจากป่าสงวนแห่งชาติอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเนื้อที่ถึง 480 ไร่
ภายในวัดอุดมคงคาคีรีเขต หลวงปู่ผางได้สร้างเจดีย์ถ้ำถงเกวียนขึ้นมาในปี 2512เพื่อเป็นที่บำเพ็ญกิจ โดยสร้างไว้บนไหล่เขาบริเวณเป็นลานหินขนาดใหญ่ต่อมาในปี 2513 หลวงปู่ได้สร้างเจดีย์กู่แก้ว ซึ่งอยู่ห่างจากศาลาใหญ่ราว 90 เมตรเท่านั้นและหลวงปู่ใช้ที่แห่งนี้บำเพ็ญกิจเพราะอยู่ใกล้ศาลาใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวัด สะดวกแก่หลวงปู่ในการขึ้นลงเพราะชรามากแล้ว ต่อมาในปี 2518 ได้ก่อสร้างองค์พระเจดีย์ใหญ่ ฐานวัดโดยรอบ 100 เมตร สูง 28 เมตร ส่วนล่างและส่วนบนขององค์พระเจดีย์เป็นบัวคว่ำบัวหงายประดับลวดลายไทย ลงรักปิดทองและติดกระจก พื้นในองค์เจดีย์ปูด้วยหินแกรนิตสีดำ และส่วนที่เป็นยอดขององค์พระเจดีย์นั้น ใช้โมเสดสีทองจากประเทศอิตาลีเป็นวัสดุก่อสร้าง ส่วนบนสุดเป็นยอดฉัตรทำด้วยโลหะปิดทองชั้นบนสุดขององค์พระเจดีย์ เป็นที่สำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ข้างล่างสร้างเป็นที่เก็บพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่ ภายในองค์เจดีย์ได้ประดิษฐานพระพุทธชินราชเป็นองค์พระประธาน และรูปเหมือนของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่ผางทั้งสองรูป
หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต เป็นพระนักปฏิบัติที่มั่นคงอดทนเป็นเลิศรูปหนึ่ง ชอบทำมากกว่าพูด บทโอวาทเทศนาสั่งสอนต่างๆ จึงไม่ค่อยมี ท่านมีอุดมคติอยู่ว่า “มีชื่อบ่อยากให้ปรากฏ มียศบ่อยากให้ลือชา” ศีลข้อ 5 เป็นข้อที่หลวงปู่ย้ำเน้นตลอดมา หลวงปู่มักจะให้โอวาทให้พรว่า “อย่าสิเอาพระรัตนตรัยไปกินเหล้า เด้อ” “ให้สำบายๆ เด้อ” “ให้อยู่ดีมีแฮง เด้อ”
เนื่องจากหลวงปู่ไม่เป็นพระนักพูดนักเทศน์ที่ดีแต่สอนคนอื่นแล้วตนเองไม่ปฏิบัติตาม ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถจะนำบทเทศนาสั่งสอนมาลงให้เป็นเรื่องเป็นราวได้เหมือนอย่างที่เห็นโดยทั่วไป แต่ก็พอสรุปโอวาทที่หลวงปู่เคยพร่ำสอน บรรดาสานุศิษย์อยู่โดยมากได้ดังนี้
๏ ให้พากันวางความตาย อย่าเสียดายความมี ตู้คัมภีร์ใหม่อยู่ในกายเฮานี่
(ให้พากันวางความตายอย่าเสียดายความมั่งมี ตู้พระไตรปิฎกอยู่ในกายของเรานี้)
๏ ให้พากันพายเฮือข่วมทะเลหลวงให้ม่มฝั่ง อย่าสิกลับต่าวปิ้นนำ พั่วหมากแบ่งดง
(ให้พากันพายเรือข้ามทะเลหลวงให้รอดฝั่ง อย่าได้กลับมาวนเวียนอยู่กับวัฏฏสงสาร)
๏ ให้ภาวนาว่า ตายๆ ผีกะย่าน บ่กล้ามาใกล้ดอก
(ให้ภาวนาว่า ตายๆ ผีก็จะกลัว ไม่กล้าเข้ามาใกล้)
๏ หมอบๆ เข่าหัวเท่าง่ายาง ย่างโย่งๆ หัวแทบขี้ดิน
(คนพาลถึงจะทำเป็นอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างไร เขาก็รู้ว่าเป็นคนพาลอยู่นั่นเอง หรือได้แก่คนที่เคารพแต่กายส่วนใจไม่เคารพ ส่วนคนดีมีความเคารพ ถึงแม้จะคุยโวไม่เคารพ แต่ใจนั้นเคารพอยู่)
๏ มีดพร้าโต้ควงแบกท่วมหู คมมันบางท่อคูคันต้อน ซุยซำซะ ลากขี้ดินจำก้น
(คนผู้มีอาวุธคือปัญญาหรือศีลธรรมอันยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าจะแสดงตนว่าไม่ดีอย่างไร เขาก็รู้ว่าเป็นคนดีอยู่นั่นเอง)
๏ คนสามบ้านกินน้ำส่างเดียว เที่ยวทางเดียว บ่เหยียบฮอยกัน
(คนสามหมู่บ้านดื่มน้ำจากบ่อเดียวกัน เดินบนเส้นทางเดียวกันแต่ไม่เหยียบรอยเท้ากัน
หมายถึงคนทุกวันนี้ดื่มน้ำจากแหล่งเดียวกันคือ น้ำประปาและการเดินทางทุกวันนี้ใช้รถยนต์ไม่มีรอยเท้าให้เห็น)
๏ อย่าได้มัวเมาหม่นนำดวงดอกไข่เน่า เมานำพั่วหมากหว้ามันสิช้าค่ำทาง
(อย่าได้มัวเพลิดเพลินอยู่กับดอกไม้หอมในป่า หรือลูกไม้ในป่า จะทำให้ชักช้าไปไม่ถึงที่หมาย
หมายถึงอย่าได้มัวเพลินอยู่ในกามารมณ์ จะทำให้เราชักช้าไม่พ้นวัฏฏสงสาร)
๏ ลิงกับลิงชิงขึ้นต้นไม้ บัดสิได้แม่นบักโกกนาโถ
(เมื่อลิงทั้งหลายแย่งชิงกันขึ้นต้นไม้ ตัวที่แย่งได้เป็นตัวที่มีความคล่องแคล่วว่องไวกว่าเพื่อน)
๏ นักปราชญ์ฮู่หลง หงส์ทองถืกบ้วง ควายบักตู้ตื่นไถ
(นักปราชญ์ยังมีโอกาสพลาด หงส์ทองยังมีโอกาสติดบ่วง และควายที่คุ้นกับไถก็ยังตื่อไถได้
หมายถึงบุคคลผู้รู้จักบาปบุญแล้วยังหลงทำความชั่วได้ บุคคลผู้มีสติก็ยังขาดความระมัดระวัง
และบุคคลที่เป็นผู้รู้แล้วยังเป็นพาลได้)
๏ อย่าพากันเที่ยวทางเวิ่งเหิงหลายมันสิค่ำ เมานำพั่วหมากหว้ามันสิช้าค่ำทาง
(อย่าพากันเถลไถลออกจากทางตรงเดี๋ยวจะมืดค่ำก่อน อย่ามัวเพลินกับผลไม้ป่าจะทำให้ชักช้ามืดค่ำในระหว่างทางได้)
๏ พุทโธ พุทโธ หัวใจโตกะรักษาบ่ได้
(รู้จักแต่พุทโธ พุทโธ แต่ไม่รู้จักจิตใจของตัวเอง)
๏ ศีลมีมากมายหลายข้อ บ่ต้องรักษาเหมิดทุกข้อดอก รักษาแต่ใจเจ้าของอย่างเดียวให้ดีท่อนั่น กาย วาจา กะสิดีไปนำกัน
(ศีลมีมากมายหลายข้อไม่ต้องรักษาหมดทุกข้อหรอก รักษาแต่ใจตัวเองอย่างเดียวให้ดีเท่านั้น กายวาจาก็จะดีไปด้วยกัน)