จัดอาหาร ล้วนชั้นเลิศ ถวายพระ
ต้องสละ ทั้งเวลาและ ทรัพย์สิน
หวังผลบุญ หนุนนำ ค้ำชีวิน
พระได้กิน ของดีกัน ทุกวันไป
พระแท้แท้ พ่อแม่เรา ที่อยู่บ้าน
ข้าวสักจาน เคยตักให้ ท่านไหม
ท่านกินอยู่ หลับนอน กันอย่างไร
แค่โทรไป วันละครั้ง ยังไม่มี
รีบเถอะครับ ทำบุญกับ พ่อแม่
ดีแน่แท้ ก่อนท่านตาย กลายเป็นผี
ผลบุญการ กตัญญู กตเวที
นั้นมากมี เหลือล้นพ้น ประมาณ
ต่อให้ตัก บาตรพระ เป็นล้านครั้ง
สร้างโบสถ์หลัง ใหญ่โต มหาศาล
ผลบุญไม่ เทียบเท่า ข้าวหนึ่งจาน
ที่เราท่าน ป้อนพ่อแม่ แค่ครั้งเดียว
กลอนนี้ไม่ทราบว่าใครแต่งไว้ ถือว่าแต่งได้ดีกินใจเป็นอย่างมาก แต่ผมก็มีคำถามคนแต่งกลอนหรือคนอ่านอยู่ว่า
- คุณไปวัดทุกวันไหม จึงกล้าพูดว่าพระได้กินของดีทุกวัน คุณได้ไปทุกวัดไหมจึงกล้าเขียนว่าพระได้ชั้นเลิศทุกวัน คุณเห็นแต่ภาพที่เขาแชร์อาหารเวลาชาวบ้านแห่มาทำบุญที่วัดในช่วงเทศกาลซึ่งปีหนึ่งมีไม่กี่ครั้ง แล้วคุณจะมาสรุปว่าพระได้กินอาหารเลิศหรูทุกวันหรือ วันอื่น ๆ คุณได้มาดูไหม
- ในช่วงเทศกาลที่ชาวบ้านแห่มาทำบุญ บางคนปีหนึ่งเขามาครั้งหนึ่ง เขาไม่ได้มาทุกวัน แต่เขามาพร้อมกันเฉพาะช่วงเทศกาลวันหยุด เช่น วันหยุดวันวิสาขบูชา ปีหนึ่งเขาทำบุญกับครอบครัวครั้งหนึ่ง คุณจะไม่ให้เขาทำบุญบ้างหรือ อีกอย่างวันหยุดดังกล่าว เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ทางรัฐบาลหยุดเพื่อให้มาทำบุญทำกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา หากคุณไปเที่ยวห้างดูหนังนั่นแหล่ะคุณกำลังโกงวันหยุดโดยไม่รู้ตัว โกงวันเวลาที่เขาให้หยุดทำบุญทำกิจกรรมทางศาสนาแต่คุณไปทำอย่างอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับวันหยุดเลย
- อาหารการกินที่ชาวบ้านนำมาทำบุญตักบาตรในช่วงเทศกาล พระก็ฉันแค่พออิ่ม ที่เหลือส่วนมากท่านก็แจกจ่ายออกไป แจกโรงเรียนบ้าง ศูนย์เด็กเล็กบ้าง แจกแม่ครัวบ้าง แจกคนที่มาทำบุญบ้าง ถ้าพ่อแม่มาทำบุญที่สุดก็นำอาหาร ขนมต่าง ๆ นี่แหล่ะนำไปฝากลูก ๆ ที่บ้าน หากลูกมาวัดก็นำอาหารคาวหวานจากพระนี่แหล่ะไปฝากพ่อแม่ที่บ้าน เป็นการสร้างความสามัคคีปรองดอง ความรักที่ดีต่อครอบครัวและชุมชน
- คนที่เข้าวัด ทำบุญตักบาตร สร้างโบสถ์วิหาร สวดมนต์ไหว้พระ ส่วนมากเขาไม่ได้ทิ้งพ่อแม่ เขาเลี้ยงพ่อแม่อย่างดี ส่วนมากคนที่ไม่เข้าวัด ไม่ทำบุญตักบาตรต่างหากที่ทิ้งพ่อแม่ ไม่ดูแลพ่อแม่
- การที่คุณ ๆ พูดถึงพระคุณของพ่อแม่อย่างซาบซึ้งส่วนหนึ่งก็เพราะคำสอนในทางพระพุทธศาสนาซึ่งผ่านมาทางตำราบ้าง ซึ่งใครเป็นผู้บันทึกสืบทอดกันมาถ้าไม่ใช่พระ จากการฟังธรรมจากพระบ้าง
- การส่งเสริมให้คนอื่นให้มีความกตัญญูต่อบิดามารดานั้นเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่คุณไม่ควรพูดกระทบต่อการกระทำของคนอื่น ของบุคคลอื่น เหมือนลักษณะเสียดสีหรือข่มคนอื่นให้ด้อยลง
- คนเราสามารถทำความดีได้หลายประการโดยไม่ต้องทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป สามารถบำรุงมารดาบิดาได้ สามารถทำบุญตักบาตรได้ แต่ถ้าให้ดียิ่งควรพาพ่อแม่มาทำบุญตักบาตรที่วัด
นอกจากนั้น ผมยังเห็นข้อความประมาณว่า
ถ้าหากบุญสามารถกำหนดเป็นตัวเลขได้ ผลก็คงจะออกมาประมาณนี้..
– ทำบุญให้กับพระได้บุญ 50
– ทำบุญให้กับผู้ด้อยโอกาสได้บุญ 60
– ทำบุญให้ผู้ยากไร้ได้บุญ 70
– ทำบุญให้ผู้อดอยากได้บุญ 80
– ทำบุญให้พ่อแม่ได้บุญ 100
ผมอยากถามว่า คุณเอาอะไรมาเป็นตัววัด พระพุทธเจ้าตรัสไว้หรือ หากคุณอ้างบุญบาปซึ่งมีในพระพุทธศาสนา คุณต้องอ้างที่มาได้ ไม่ใช่เขียนขึ้นลอย ๆ ตามชอบใจ (ผมไม่ได้ปฏิเสธว่าพ่อแม่ไม่มีพระคุณ ผมปฏิบัติต่อพ่อแม่อาจจะยิ่งกว่าคุณ ๆ ด้วยซ้ำ)
พระพุทธเจ้าตรัสไว่า
มาวมญฺเถ ปุสฺส น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
อุทพินฺทุนิ ปาเตน อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
อาปูรติ ธีโร ปุญฺสฺส โถกํ โถกํปิ อาจินํ
บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบุญว่า ‘บุญมีประมาณน้อยจักไม่มาถึง’
แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมา(ทีละหยาดๆ)ได้ฉันใด,
ธีรชน (ชนผู้มีปัญญา) สั่งสมบุญแม้ทีละน้อย ๆ ย่อมเต็มด้วยบุญได้ฉันนั้น.
อีกอย่างในบทสังฆคุณ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเองว่า ...อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ… “(พระสงฆ์)..เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า” พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสว่า “พ่อแม่เป็นเนื้อนาบุญของโลกไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า” ไม่มีบทไหนเลยกล่าวไว้อย่างนี้
การบำรุงมารดาบิดานั้น เป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าและนักปราชญ์ทั้งหลายต่างก็สรรเสริญ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมงคลสูตรว่าการบำรุงมารดาบิดาเป็นหนึ่งมงคลอันสูงสุด เป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง แต่เมื่อคุณอ้างบุญบาปขึ้นมาแล้วคุณก็ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง