ชีวิตการเป็นนักเขียนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะคะที่เราจะเล่าอะไรได้ดีหรือน่าติดตามไปซะทุกอย่าง นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่นักอยากเขียนคนใหม่ๆ ที่กำลังฝึกฝีมือเริ่มต้น ไม่กล้าลงมือที่จะเขียนเพราะกลัวค่ะ กลัวอะไรหลายๆ อย่าง เช่น กลัวเขียนออกมาไม่ดี กลัวเขียนออกมาแล้วอ่านไม่รู้เรื่องหรือไม่มีคนอ่าน เป็นต้น แต่อยากให้ตัดความกลัวตรงนี้ออกไปค่ะ แก้วใสเข้าใจดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเขียนมันทีเดียวแล้วมียอดคนอ่านเป็นพันเป็นแสนภายในพริบตา หรือมีแต่คนเข้ามากดไลท์แน่นหนาไปเสียทุกครั้ง จริงๆ แล้ว การเป็นนักเขียนเราควรเริ่มต้นจากการลงมือเขียนในเรื่องที่ใจเราอยากเขียน เขียนเสียก่อน เล่าเรื่องราวทั่วไปอะไรก็ได้ค่ะ แต่เล่าไปแล้ว เขียนไปแล้วจะต้องมั่นใจว่ามันมีข้อคิดให้ใครมาอ่านแล้วได้ความรู้ไปใช้ตามพร้อมกันได้ ไม่เขียนในเรื่องที่ผิดแผกแตกต่างจากเรื่องราวสร้างสรรค์ วันนี้ใครที่คิดไม่ตกหรืออยากลงมือเขียนแล้วไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร อาจจะกล้าๆ กลัวๆ ว่ามันจะออกมาไม่ดี แก้วใสมีวิธีแนะนำก้าวข้ามความกลัวเพื่อให้คุณเขียนหนังสือออกมาอย่างสบายใจที่สุด และจะเป็นการได้ต่อยอดไอเดียใหม่ๆ ไปพร้อมกันมากขึ้น
1. มุ่งหน้าตั้งตาเพื่อจะลงมือเขียนเท่านั้น กระบวนการแรก ก่อนอื่นคุณจะต้องกำจัดความกลัวทั้งหลายออกไปเสียก่อน ความกลัวที่แอบซ่อนอยู่ในจิตใจ ไม่ว่าจะกลัวการเขียนแล้วออกมาไม่ดีหรือจะไม่มีคนอ่าน หรือผลงานจะไม่ผ่านสายตาบรรณาธิการ เพราะความกลัวมันจะทำให้คุณไม่กล้าลงมือเขียน แก้วใสแนะนำค่ะว่าให้คุณก้าวข้ามความกลัวด้วยการตัดสินใจแน่วแน่เพื่อที่จะลงมือเขียนโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัวใดๆ ทั้งสิ้น จงปิดห้องให้เงียบเชียบ นั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน ใจจดจ่อกับสิ่งที่เราจะกลั่นมันออกมาตรงหน้า แล้วลงมือเขียนมันออกไป
2. เขียนเรื่องอะไรดีล่ะ? นี่คืออุปสรรคด่านที่สอง ที่ทำเอานักเขียนหลายๆ คนยังไม่ลงมือเขียนสักที เนื่องจากยังไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไร แนะนำค่ะว่าให้เขียนเสมือนว่าเรากำลังนั่งเล่าเรื่องราวเรื่องหนึ่งให้เพื่อนของเราฟัง เรื่องอะไรก็ได้ค่ะรอบๆ ตัวเรา แต่ขอให้เป็นการเล่าแบบมีจุดมุ่งหมายนะคะ ไม่ใช่การเล่าแบบสะเปะสะปะไร้จุดหมาย เช่น “วันนี้คุณตื่นมาพร้อมอากาศสดชื่นแจ่มใส เมื่อมองออกไปยังท้องฟ้าแล้วสูดอากาศให้เต็มปอด คุณกลับพบว่าสมองและจิตใจคุณโปร่งโล่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายเดือน สาเหตุก็เนื่องจากการที่คุณได้นอนพักผ่อนเต็มอิ่มแล้วปลดปล่อยเรื่องราวความกังวลใจต่างๆ ออกไป อีกทั้งอากาศในยามเช้าก็แสนสดใส สดชื่น มันเป็นอีกตัวยาขนานหนึ่งจากธรรมชาติที่คนตื่นเช้าเท่านั้นจะได้รับมันไปชโลมฉ่ำจิตใจให้แข็งแรง”เป็นต้น จากนั้นก็แทรกคำเปรียบเปรย แง่คิดต่างๆ ที่ได้จากการเล่าเรื่องนี้ เมื่อคุณเล่ามันออกไปแล้ว จงสร้างความต่างในท้ายเรื่อง เพื่อเป็นข้อคิดบทสรุปว่าการตื่นเช้าเพื่อได้สูดอาการสดชื่นแบบนี้มันต่อทั้งต่อสุขภาพและจิตใจคุณแค่ไหน ทำไมความเครียดต่างๆ จึงบรรเทาเบาบางลงไป เสมอเหมือนสายลมมันได้พัดผ่านเรื่องราวแย่ๆ ให้ลอยหายไป
3. เขียนทุกวันทุกเวลาที่อยากเขียน กระบวนการที่ 3 ก็คือการลงมือเขียนเป็นประจำให้ได้ทุกวันสม่ำเสมอค่ะ ไม่ว่าจะว่างตอนไหน จงอย่าทิ้งระยะห่างจากการเขียน หมั่นฝึกฝนเตือนใจตัวเองอยู่เสมอว่ายามว่างเราจะต้องคอยสังเกตเรื่องราวต่างๆ รอบตัว จริงๆ แล้วเราสามารถหยิบเอาเรื่องราวอะไรต่อมิอะไรมาเล่าได้หมด ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้า ก้อนเมฆ ดอกไม้ แมวหรือแม้แต่เรื่องราวของชีวิตคนรอบข้างเรา อะไรที่เรามองแล้วมันตกผลึกในมุมมองของเรา พยายามคิดหามุมต่างของเรื่องราวเหล่านั้น แต่ไม่ใช่เขียนในเชิงขัดแย้งกวนๆ เพื่อต่อว่าหรือหมิ่นประมาทใครนะคะ แบบนี้ไม่ใช่คุณสมบัติที่ดีของนักเขียนค่ะ นักเขียนที่ดีจะต้องนำเสนอแต่เรื่องราวที่ดีและน่าสนใจ นำเสนอมุมมองใหม่ๆ ที่คนอ่านแล้วคิดตามทำตามได้อย่างสร้างสรรค์ จงนำเรื่องราวเหล่านี้มาเป็นวัตถุดิบในการนำเสนอเรื่องราว แล้วคุณจะหมดคำถามไปในทันทีเลยว่าจะเขียนเรื่องอะไรดีนะ? เพราะนักคิด นักเขียนหลายคน เขามักมีพฤติกรรมชอบเฝ้าสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัวแล้วมักจดบันทึกไว้เสมอ เมื่อมีเวลาเขาจะมานั่งวิเคราะห์ เรื่องราวเหล่านั้น มองหามุมต่างในแง่สร้างสรรค์ที่จะหยิบยกมาบอกเตือนคนอ่านให้ได้ทราบแง่คิดมุมมองใหม่ๆ ไปพร้อมเราได้ แต่ถ้าเราหยุดเขียนหรือนานๆ ทีจะกลับมาจับปากกาเขียน นานๆ ทีจะฝึกสังเกต ฝึกคิด แน่นอนค่ะว่าเราจะพบปัญหาสมองตันเอาได้
ดังนั้น หากอยากเป็นนักเขียนที่เอาชนะอุปสรรคความกลัวไปได้ จำไว้เลยนะคะว่าขั้นแรกจะต้องลงมือเขียน ขั้นที่สองคือให้เขียนทุกวัน ทุกเวลาที่อยากเขียนหรือทุกเวลาที่โอกาสเอื้ออำนวยให้เราเขียนได้ อย่าละทิ้งมันแม้แต่เพียงวันเดียว(ถ้าทำได้) แล้วสมองคุณจะไม่มีวันตัน ไอเดียก็จะไม่ถูกเก็บพับเข้าลิ้นชัก ศักยภาพของการเป็นนักเขียนก็จะถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ จนกระทั่งคุณกลายเป็นนักเขียนมืออาชีพได้ในที่สุด