
ใครที่เคยผ่านไปที่พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ อาคารอดุลเดชวิกรม โรงพยาบาศิริราช อาจจะเคยเห็นร่างของอาจารย์ใหญ่ร่างหนึ่ง ที่กลายเป็นร่างไร้วิญญาณให้กับนักศึกษาแพทย์ ได้ศึกษาร่างกายของเขา กับอดีตที่ยังน่าพิศวงว่าสรุปแล้ว เรื่องมนุษย์กินคนและฆาตกรต่อเนื่อง ของร่างนี้เมื่อครั้งยังมีลมหายใจมีอยู่จริงหรือไม่ แต่ถึงจะจริงหรืออย่างไร เขาก็ไม่สามารถกลับมาทวงคืนความจริงให้กับตัวเองได้แล้ว มีแต่สังคมเท่านั้นที่จะศึกษาและค้นหาว่า ซีอุย เป็นมนุษย์กินคนและฆาตกรต่อเนื่อง เหมือนที่เขาเล่ากันหรือไม่
ซีอุยกับคำว่ามนุษย์กินคนและฆาตกรต่อเนื่อง
เรื่องของซีอุยมนุษย์กินคนและฆาตกรต่อเนื่อง ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ล่ำลือเมื่อครั้งอดีตถึงปัจจุบัน เพราะเสียงล่ำลือทั้งจากสื่อ และการกล่าวขานกันในสังคม เรื่องความโหดสร้างความสยดสยองของซีอุย ในระยะเวลาต่อเนื่อง 5 ปี คือระหว่างปี 2497 ถึงปี 2501 ได้ทำการฆาตกรรมต่อเนื่องถึง 7 ศพ และตัวเขาได้ถูกจับกุมได้ขณะที่กำลังเผาทำลายศพสุดท้ายที่จังหวัดระยอง และนำไปสู่การฆ่าโหดอีก 6 ศพก่อนหน้านี้ด้วย ซึ่งผลการตัดสินคดีความจบลงด้วยการที่เขาถูกลงโทษประหารชีวิต และเป็นสิ่งที่คนล่ำลือจากบัดนั้นถึงตอนนี้ว่ าซีอุยเป็นมนุษย์กินคนและฆ่าโหด 7 ศพ ซึ่งจริงหรือไม่ยังไม่มีใครตอบได้ชัดเจน หรือเขาจะเป็นเพียงเหยื่อของขี้ปากของคนในสังคม ที่ไม่มีรายละเอียดเพียงพอเท่านั้น แต่คนทั้งสังคมได้ตราหน้าให้เขาเป็นฆาตกรโหดไปแล้ว
ประวัติของซีอุย แซ่อึ้งในอดีต
ซีอุยเกิดประมาณปี 2464 ตำบลฮุนไหล จังหวัดซัวเถา ประเทศจีน เป็นบุตรของนายซุงฮ้อ และนางไป๋ตึ๋ง เป็นคนเชื้อสายแต้จิ๋ว แต่บางสื่อบอกว่าเขาเกิดที่หมู่บ้านปึงไต๋ ตำบลหงอหงวน จังหวัดหุ้ยล้ง มณฑลเอ้หมึง เป็นบุตรคนที่ 4 เมื่อถึงวัยเกณฑ์ทหาร ได้ถูกเกณฑ์ไปอยู่ที่หน่วยทหารมณฑลเอ้หมึง และหลังสงครามจีนกับญี่ปุ่น สงบลง ถูกเกณฑ์ไปรบกับฝ่ายเมาเซตุง จากนั้นจึงได้หนีทหารเข้ามาสู่ประเทศไทย ในวันที่ 28 ธันวาคม 2489 โดยเรือชื่อโปรคิว เมื่อมาอยู่ที่เมืองไทย เขาถูกกักตัวที่กองตรวจคนเข้าเมืองประมาณ 10 วัน และมีนายทินกี่ แซ่อึ้งมารับตัวเขาออกจากตรงนั้น โดยได้รับการช่วยเหลือจากนายฮะเอี้ยง เป็นผู้ออกเงินทำใบต่างด้าวและเข้าเมืองให้
ซีอุยกับการใช้ชีวิตในพระนคร
หลังจากที่ออกจากสำนักตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ซีอุยได้พักในพระนครที่โรงแรมเทียนจิน ตรอกเทียนกัวเทีย 5 – 6 วัน ก่อนเดินทางไปอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ซีอุยเข้ามาอยู่เมืองไทยในวันที่วันที่ 30 มกราคม 2501 หลังจากนั้นซีอุยได้ทำงานรับจ้างหลายที่ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ซึ่งนั่นเป็นที่มาของความสับสน ในคำให้การของซีอุยว่าอยู่ไหนบ้าง เขาไม่สามารถระบุชื่อเจ้าของบ้าน ที่ไปพักด้วยได้ตรงกันเท่าไหร่
อีกทั้งการอยู่แต่ละที่เพียงระยะเวลาไม่นาน 6 เดือนบ้าง 2 เดือนบ้าง 8 เดือนบ้าง งานเสร็จตรงนั้นก็ย้ายไปยังที่อื่นๆ เรื่อยๆ แต่ 8 ปีแรกที่อยู่ในเมืองไทย เขาไม่ได้ก่อคดีอะไรเลย ยกเว้นการทะเลาะวิวาท และนั่นเป็นที่มาของคดีฆาตกรรม ที่มีเงื่อนงำในสถานที่ต่างๆ เช่น ประจวบคีรีขันธ์ 4 คดี กรุงเทพฯ นครปฐม และระยอง แห่งละ 1 คดี
จุดเริ่มต้นตำนานซีอุยมนุษย์กินคน
จากคำให้การของซีอุยเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2501 ที่เล่าถึงคดีสุดท้ายก่อนโดนจับ โดยเขาได้ให้การว่า วันที่ 27 มกราคม 2501 เวลาประมาณบ่าย 3 – 4 โมงเย็น ซีอุยกำลังรดน้ำผักในสวนของนายอิ๊ดเจี๊ยก ที่ตำบลเนินพระ จังหวัดระยอง มีเด็กชายชื่อสมบุญ บุณยกาญจน์ เดินมาขอซื้อผักกับซีอุย 1 บาท ซีอุยจึงออกอุบายให้ไปจับนกที่สวนยางพารา และเด็กชายสมบุญก็ไปในสวนยางพาราตามอุบายซีอุย เมื่อเดินผ่านบ้านซีอุยได้แวะหยิบมีดสำหรับตัดผักไปด้วย และเดินไปด้วยกันกับเด็ก เมื่อห่างจากบ้าน 40 ก้าว เด็กชายสมบุญเริ่มออกอาการไม่อยากไป ซีอุยจึงอุ้มเด็กชายสมบุญไปอีกราว 40 ก้าวแล้วปล่อยเด็กลงให้ยืน
เด็กชายสมบุญแสดงอาการขัดขืนต่อเนื่อง
เด็กชายสมบุญไม่ได้ร้องหรือแสดงอาการขัดขืนเท่าไหร่นัก แต่ซีอุยใช้มือกดหัวให้เด็กล้มลงนอนหงาย แล้วใช้มือปิดปาดและจมูก จากนั้นใช้มิดแทงคอใต้ลูกกระเดือกทะลุหลอดลมสิ้นใจตาย แล้วเขาใช้มีดผ่าท้องตั้งแต่สะดือถึงหลอดลม แล้วตัดหัวใจกับตัวไว้บนใบไม้ แล้วย้ายศพเด็กไปซ่อนไว้ ส่วนหัวใจกับตับนำกลับไปไว้ที่บ้าน โดยเก็บไว้ในกะละมังเพื่อเอาไว้กิน พอถึงตอนมืดซีอุยจึงอุ้มศพเด็กมาวาง เพื่อเตรียมทำการเผาทำลายหลักฐาน และนายนาวา บุณยกาญจน์ พ่อของเด็กชายสมบุญ ได้มาเห็นเข้า จึงใช้ไฟส่องไปที่ตัวซีอุยกำลังเอากิ่งไม้แห้งทิ้งลงบนกองไม้ จึงเห็นร่างของลูกชาย แล้วนายนาวากับนายเสงี่ยม ม่วงแสง จึงช่วยกันมัดซีอุย แล้วให้คนมาแจ้งความ
เมื่อเจ้าหน้าที่มายังที่เกิดเหตุ จึงได้พบกับศพที่ถูกแทงคอ และรอยผ่าสะดือขึนมาถึงคอ จากนั้นจึงไปค้นที่บ้านของซีอุยพบหัวใจกับตับสดๆ ใส่กะละมังเก็บไว้ในตู้กับข้าว การดำเนินการจับกุมซีอุยเป็นไปอย่างเรียบร้อย เพราะซีอุยไม่มีการขัดขืน รวมทั้งตำรวจได้วัตถุพยานเป็นมีดซึ่งวางบนฝาตุ่มบ้าน เมื่อซีอุยถูกจับพร้อมกับหลักฐานต่างๆ อย่างดิ้นไม่หลุด ทำให้นำไปสู่การทำคดี ที่อาจจะเกี่ยกับซีอุยก่อนหน้านั้นถึง 6 คดี

ศพของซีอุยภายในพิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ ที่มา wikimedia.org
คำสารภาพซีอุยกับสองศพที่สถานีรถไฟสวนจิตรลดา
เมื่อคดีการฆาตกรรมสุดสยองที่ระยองได้รับการเปิดเผยขึ้น ตำรวจได้สืบต่อเนื่องถึงคดีการฆ่าผ่าอกที่สถานีรถไฟสวนจิตรลดา เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2497 และคดีฆ่าผ่าอกที่องค์พระปฐมเจดีย์ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2500 ทำให้กระแสเรื่องมนุษย์กินคน ยิ่งแพร่กระจายสู่หูของสังคมมากขึ้น บวกกับการกดดันอย่างหนักของสื่อมวลชน กระทั่งทำให้ซีอุยต้องเปิดปาก รับสารภาพเพิ่มว่าเป็นฝีมือของเขาเองทั้ง 2 คดี
บันทึกคำสารภาพของซีอุย
คำรับสารภาพของซีอุยซึ่งมีปรากฎในบันทึกทั้งหมด 3 ฉบับ คือคำให้การเมื่อวันที่ 30 มกราคม และ 31 มกราคม ทั้งในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2501 ปัจจุบันสำเนาทั้งหมดของคำให้การของซีอุย ยังถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์อัยการไทย และมีปรากฎตีพิมพ์คำให้สัมภาษณ์ ในหนังสือพิมพ์ต่อเนื่องหลายฉบับ แต่ข้อขัดแย้งในคำให้การที่ยังเป็นข้อน่าสงสัย คือเรื่องเกี่ยวกับข้อสรุป ให้ซีอุยเป็นผู้ต้องหาทุกคดีที่เกิดขึ้น ก่อนเข้าสู่กระบวนการศาล ในขณะที่ยังขัดแย้งกับคำให้การ ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์อย่างชัดเจน นี่คือจุดน่ากังขาว่าซีอุย คือ มนุษย์กินคนจริงหรือ
ซีอุยไม่เคยกินตับและหัวใจเลยใน 3 ดดี
จากการสืบสวนและการเชื่อมโยงคดีเข้าด้วยกัน ทำให้เห็นรูปแบบพฤติกรรมการฆ่าที่คล้ายคลึงกัน ส่งผลให้ ซีอุยตกเป็นจำเลยสังคม ว่าเป็นมนุษย์กินคนขึ้นมาทันที เพราะคดีที่ระยองบ่งบอกถึงการเตรียมการ และมีการเตรียมเพื่อกินจริง ส่วนคดีที่นครปฐมนั้น ซีอุยก็อ้างว่ากินตับกับหัวใจ โดยนำไปใส่กาต้มน้ำ แต่เอาจริงๆ แล้ว ซีอุยไม่ได้กินตับ และหัวใจของเหยื่อแม้แต่รายเดียว
ซีอุยให้การสารภาพเพิ่มอีกใน 4 คดี
หลังจากที่ซีอุยได้ตกเป็นจำเลย ในการกระทำความผิด และเข้าสู่กระบวนการสืบสวนต่อ ว่าอีก 4 คดีที่มีลักษณะการฆ่าคล้ายกัน มีความเกี่ยวข้องกับซีอุยหรือไม่ ซึ่งในขณะที่คุมตัวได้รับการกดดัน และสอบสวนอย่างหนัก ทำให้ซีอุยต้องยอมรับสารภาพเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2501 ว่าตนเป็นผู้ทำเองอีก 4 คดีที่เกิดขึ้นในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยเหยื่อถูกฆ่าแตกต่างกันไป รายแรกเรื่องเกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2497 ที่ทับสะแก ประจวบคีรีขันธ์ เหยื่อเป็นเด็กหญิงบังอร ภมรสุต อายุ 8 ขวบ ถูกมีดแทงคอ
ส่วนรายที่ 2 เหยื่อคือ เด็กหญิงนิด แซ่ภู่ อายุ 10 ปี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2497 ที่ทับสะแก ประจวบคีรีขันธ์ โดยการฆ่าผ่าท้อง ตัดเอาหัวใจและตับใส่กาต้มน้ำก่อนนำกลับไปกินที่ห้อง แต่คดีนี้ไม่มีหลักฐานเพียงพอ จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่า ที่มีคำให้การออกมาว่าซีอุยนำตับใส่หาต้มน้ำ กลับไปกินว่าเป็นจริงหรือไม่ มีเพียงคำสารภาพเท่านั้น เพราะคดีสองคดีที่สารภาพว่าใส่กาต้มน้ำ ไม่มีคดีไหนทำแบบนั้นจริงเลย
รวมทั้งเหยื่อรายที่ 3 เหตุเกิดวันที่ 20 มิถุนายน 2497 หมู่บ้านห้วยแห้ง ตำบลทับสะแก ประจวบคีรีขันธ์ เหยื่อชื่อเด็กหญิงลิ้มเฮียง แซ่ลี้ อายุ 9 ปี ซีอุยให้การว่าใช้มีดพับที่เพิ่งซื้อใหม่ๆ แทงคอเหยื่อ แต่เหยื่อโดนปาดคอและฆ่าข่มข่มขืน แต่พฤติกรรมการฆ่าของซีอุยไม่ได้ข่มขืนเหยื่อ และรายที่ 4 เหตุเกิดวันที่ 27 ตุลาคม 2497 ที่อำเภอเมือง เขตติดต่อกับตำบลสามร้อยยอด อำเภอปราณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เหยื่อคือ เด็กหญิงหงั่น แซ่ลี้ อายุ 10 ปี ซีอุยสารภาพว่า ใช้มีดพับแทงคอ แล้วตัดเนื้อที่คอไปก้อนเดียว ก่อนทิ้งไว้ที่เกิดเหตุ
ความผิดพลาดของการรายงานข่าวต่อเรื่องของซีอุย
มีข้อมูลที่ทำให้คนเชื่อว่าซีอุยตัดเอาหัวใจไปนั้น มาจากการรายงานข่าวผิดพลาด ของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ในขณะนั้น และไม่ได้มีการออกมาแก้ข่าวใดๆ อีกทั้งยังมีการตีมพิมพ์ข่าวอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับคดีของซีอุย ซึ่งเนื้อหาที่ผิดพลาดต่อซีอุย คือ เรื่องการตัดเอาหัวใจและตัวไปต้มกิน แต่จริงๆ แล้วศพในที่เกิดเหตุไม่ได้โดนตัดตับและหัวใจ อวัยวะนี้ยังมีอยู่กับศพ แต่สิ่งที่หายไปคือ อวัยวะเพศของเหยื่อเท่านั้น จึงสร้างความไม่แน่ใจว่าสรุปซีอุย คือมนุษย์กินคน และเป็นคนฆ่าเหยื่อตามคำรับสารภาพหรือไม่
ซีอุยไม่มีโอกาสต่อสู้กับความผิดพลาดที่ส่งผลต่อเขาเลย
จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซีอุยไม่ได้ประโยชน์อะไร จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนี้เลย เพราะเขาไม่ได้คัดค้านหรือได้ต่อสู้คดีเลย เพราะขนาดคำให้การยังต้องใช้ล่ามแปล เขาจึงเป็นเพียงผู้รับฟังโดยพูดอะไรไม่ได้ แล้วยอมรับฟังคำตัดสินเท่านั้น จึงมีปรากฎคำว่า จำเลยไม่ถาม จำเลยไม่สืบพยาน ในบันทึกคำพิพากษา แต่นั้นเป็นสิ่งที่จะชี้ได้ว่า ซีอุยอาจจะไม่ได้เป็นฆาตกร ในบางคดีก่อนที่จะมาขึ้นสู่ศาลก็ได้ รวมทั้งเขายังต้องต่อสู้กับการสืบสวนของหนังสือพิมพ์ สังคม และศาลเพียงลำพัง กระทั่งต้องรับสารภาพหรือไม่ ทั้งที่คำสารภาพผิดทั้ง 6 คดีมีความแตกต่างจากคดีที่ระยอง ซึ่งไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่า 6 คดีเป็นฝีมือของซีอุย
แม้ว่าปัญหาของคดีซีอุยมนุษย์กินคน จะยังมีเรื่องของคำรับสารภาพของผู้ต้องหา กับความไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง บวกกับผู้ต้องหาไม่สามารถสื่อสารภาษาได้ เพราะตลอดเวลาการสอบสวนดคี สื่อสารผ่านล่ามเท่านั้น นั่นอาจจะเป็นที่มาว่าซีอุยไม่มีโอกาส สืบพยานแก้ต่างให้ตัวเองเลย ซึ่งความจริงเขาอาจจะไม่ใช่ฆาตกรโหดอย่างที่สังคมคิดก็ได้ แต่อนิจจาไม่มีอะไรช่วยซีอุยได้ สุดท้ายเขาต้องถูกลงโทษประหารชีวิต ทิ้งไว้แต่ความสงสัย และคำว่าจำเลยสังคมของซีอุยมนุษย์กินคน
จากนั้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2502 และวันที่ 27 กันยายน 2502 คณะแพทยศาสตร์ศิริราช ได้ทำเรื่องเพื่อนำร่างซีอุยมาศึกษา เพื่อหาความผิดปกติวิปริตของมนุษย์ โดยเก็บร่างของซีอุยไว้ที่ตึกกายวิภาคศาสตร์ กระทั่งถึงปัจจุบัน