
หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ
พระครูวรเวทมุนี (อี๋ พุทธสโร หรือหลวงพ่ออี๋ พุทธสโร อดีตเจ้าอาวาสวัดสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พระเกจิผู้สร้างตำนานมากมายในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 มีครั้งหนึ่งหลวงพ่ออี๋ท่านได้ยืนบริกรรมพระคาถายกผ้าเหลืองโบกไปโบกมา ครั้งนั้นเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรทำการทิ้งลูกระเบิดหมายที่จะถล่มตลาดและฐานทัพเรือไทยให้ราบเป็นจุล แต่ลูกระเบิดกลับเบี่ยงเบนปลิวไปตกในบริเวรณทะเลที่ปราศจากผู้คนจนหมดสิ้น ด้วยเหตุการณ์ครั้งนั้นหลวงพ่ออี๋จึงได้รับการกล่าวขานบอกเล่าถึงในความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ที่ช่วยรักษาฐานทัพเรือและชีวิตประชาชนให้รอดปลอดภัย ท่านจึงเป็นที่เคารพรักของเหล่าทหารเรือและประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมากเสมอมา แม้ท่านจะมรณภาพไปนานแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกของเหล่าศิษย์เหมือนประหนึ่งว่าท่านยังอยู่
ตำนานการสร้างปลัดขิก หลวงพ่ออี๋
มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่ง หลวงพ่ออี๋ท่านเดินธุดงค์ไปพบบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ท่านได้สังเกตเห็นว่ามีสิ่งหนึ่งดำผุดดำว่ายไปมาเหมือนปลาผุดขึ้นมาหายใจฉะนั้น หลวงพ่ออี๋ท่านพยายามช้อนสิ่งนั้นขึ้นมา ก็ทำไม่ได้สักที มีอุบาสกผู้เฒ่าคนหนึ่งผ่านมาพบเข้า (เข้าใจว่าอาจจะเป็นชาวบ้านแถวนั้นที่อุปัฏฐากท่านในช่วงที่ท่านพักปักกลดอยู่ ที่รู้เห็นเจ้าสิ่งนี้มานาน และเข้าใจคงจะมีหลายตัว อาจจะมีพระธุดงองค์อื่นหรือคนอื่นเคยช้อนไปแล้วด้วย โยมคนนี้จึงได้รู้วิธีและให้คำแนะนำได้ หรือหากกล่าวให้พิสดารเข้าไป อาจจะเป็นเทวดาแปลงกายมาก็ได้)
อุบาสกผู้เฒ่านั้น จึงแนะนำท่านว่าให้หาหญิงพรหมจารีมาช้อน จึงจะช้อนขึ้นมาได้ (เข้าใจว่า อุบาสกนั่นแหล่ะ เป็นธุระให้ท่านในการหาหญิงสาวพรหมจารีมา เพื่อมาช้อนสิ่งนี้ถวายหลวงพ่ออี๋ แต่บางคนก็เขียนว่าหลวงพ่ออี๋ท่านไปเที่ยวหาผู้หญิงพรหมจารีมาเอง อันที่จริงเรื่องนี้ไม่มีใครรู้หรอกครับ แต่คนสมัยนั้น หากพระเอ่ยเรื่องใดขึ้น หรือต้องการให้ช่วยสิ่ง หรือไม่ต้องเอ่ยหรอก แค่พูดลอย ๆ ขึ้นว่าถ้าได้ก็ดี หรือแสดงนิมิตหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ชาวบ้านที่ศรัทธาก็จัดหามาให้แล้วครับ ท่านไม่มีความจำเป็นต้องเที่ยวเสาะหาผู้หญิงมาเองหรอก)
หญิงพรหมจารีนั้นก็ช้อนขึ้นมาได้ชิ้นหนึ่ง แม้จะพยายามอีกก็ไม่สามารถที่ช้อนขึ้นมาได้ (สิ่งนั้นที่ถูกช้อนขึ้นมาถวายหลวงพ่ออี๋ก็คือปลัดขิก แต่ผมก็ไม่รู้ว่าถูกเรียกปลัดขิกมาตั้งแต่สมัยนั้นหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่า น่าจะถูกเรียกมาก่อนนั้น พอเห็นสิ่งลักษณะแบบนี้ก็รู้ทันทีว่าคือปลัดขิก สำหรับตำนาน หลวงพ่ออี๋พบปลัดขิกในบ่อน้ำ แล้วให้หญิงพรหมาจารีช้อนขึ้นมานี้ เรื่องคล้ายกับตำนานของหลวงปู่ขิก (ขริก) ผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่คนสมัยก่อนเล่าจับต้นชนปลายไปมา จนสับสนว่าใครเป็นต้นตำนานกันแน่ เดิมที่อาจจะเป็นตำนานของหลวงปู่ขิกก็ได้ แต่ต่อมาหลวงพ่ออี๋ได้รับความนิยมมากขึ้น จึงนำตำนานนี้มาเล่าใส่กับหลวงพ่ออี๋บ้าง หรือท่านอาจจะไปเจอบ่อน้ำทั้งสองรูปหรือมากกว่านั้นก็ได้ อย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น อุบาสกผู้เฒ่ารู้วิธีจับปลัดขิก และดูเหมือนไม่ตื่นเต้นเลยที่ได้เจอปลัดขิกลอยน้ำในบ่อ บางคนเขียนว่าอุบาสกเฒ่าหัวเราะด้วยซ้ำที่เห็นหลวงพ่ออี๋พยายามช้อนปลัดขิก การที่อุบาสกผู้เฒ่ารู้วิธีจับปลัดขิกในบ่อ แสดงว่าเคยเห็นมาแล้ว เคยเห็นพระเกจิรูปอื่นหรือเคยเห็นหญิงพรหมจารีช้อนจับมาแล้ว)
เมื่อหลวงพ่ออี๋ท่านกลับมาที่วัด (เรื่องไม่ได้บอกว่าท่านไปไหนต่อ หรือกลับวัดทันที นานไหมจึงจะมาที่วัด และเข้าใจว่าวัดที่ว่าก็คือวัดสัตหีบ เป็นอันว่าตัดมาที่วัด และท่านก็ได้นำสิ่งที่เป็นต้นแบบมาด้วย) หลวงพ่ออี๋ท่านได้พยายามหาวิธีสร้างปลัดขิกนั้น (คำว่าพยายาม ผมเข้าใจว่า พยายามเสกให้ปลัดขิกนี้ดิ้นได้ ลอยน้ำได้ ว่ายน้ำไปมาได้ ท่านจะใช้มนต์บทไหน ใช้จิตระดับไหน ต้องฝึกหรือเรียนอะไรเพิ่มไหม น่าจะตรงนี้มากกว่า) โดยทำการจำลองมาจากปลัดขิกที่ท่านได้นำมานั้น ในการสร้างปลัดขิกครั้งแรกของหลวงพ่ออี๋นั้น ท่านใช้วิธีสร้างขึ้นมา 108 ตัวก่อน จากนั้นคัดเลือกตัวที่ชอบที่สุดหรือเด่นที่สุด เก่งที่สุด กล่าวกันว่าตัวที่สามารถบินได้เก่งกว่าก่อนตัวอื่น ตัวที่ดำผุดดำว่ายน้ำได้เก่งกว่าตัวอื่นเพื่อเป็นหัวโจก หรือจ่าฝูง เมื่อได้ตัวจ่าฝูงแล้ว ในการสร้างครั้งต่อไปจึงไม่ต้องคัดเลือกจ่าฝูงอีก คือไม่ต้องสร้างถึง 108 ตัวก็ได้
กล่าวกันว่า ยุคแรกของการทำปลัดขิกนั้น หลวงพ่ออี๋ท่านจะทำเองทุกขั้นตอน ในขณะที่ท่านถากไม้เพื่อทำปลัดขิก หลวงพ่ออี๋ท่านก็จะภาวนาบทคาถามหาเมตตาไปด้วยบทว่า “รุปิ รุปิ พุทธะจิตตัง พุทธะเมตตานัง มหาสิเนหัง ลิติ ลิติ กรุณามหาจิตตัง เมตตาพุทโธ นะชาลิติ นะชาลิติ นะชาลิติ เอหิภันธัง มหาสิเนหัง โหนตุ” จึงเป็นเหตุให้ปลัดขิกของท่านนั้น ได้รับพลังงานแห่งเมตตาจิตอันเกิดขึ้จากความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระคาถา เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

เอกลักษณ์เฉพาะ อักขระขอม ที่จารลงในปลัดขิก หลวงพ่ออี๋
เรื่องอักขระที่จารลงบนปลัดขิกนี้ ไม่ได้กล่าวไว้ว่า ได้ต้นแบบมาจากปลัดขิกที่ท่านนำมาจากบ่อหรือว่าท่านค้นคิดวิธีขึ้นมาเองหรือท่านนำมาจากตำราใด
ปิ กัณ ขวา มิ เน ซ้าย โอ้ฟ้าผ่า ตาพระอินทร์ เสาพระจันทร์ของพระศิวะ ซึ่งที่หัวปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ จะลงคาถาที่เรียกว่า โอ้ฟ้าผ่า อุ โอ หรือ อุ อิ
ด้านขวาหัวปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ ลงตัว ปิ อาจจะเป็นตัวอักขระย่อมาจากบทคาถาที่ท่านใช้เสกปลัดขิก จากบทว่า รุปิ รุปิ………….. หรืออาจจะย่อมาจากคำว่า ปิโย ก็ได้ ไม่ทราบจริง ๆ สื่อควาหมายได้หลายอย่าง
ด้านซ้ายหัวปลัด ลงตัว มิ อาจจะสลับตำแหน่งซ้ายขวาบ้าง แต่พบน้อย คำว่า มิ หมายถึงตัวเรา หรือข้าพเจ้า อย่างคำว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง) หรือคำว่า นะมามิ (ข้าพเจ้าของนอบน้อม) ถัดหัวปลัดขิกด้านบนมี พินทุ (๐) เป็นวงกลมเหมือนหรือเรียกว่า ตาพระอินทร์ ด้านข้างตัวปลัดซ้าย-ขวา ลงคาถาหัวใจโจร กัณหะ เนหะ
ทราบว่าอักขระคาถา หัวใจโจร กัณหะ เนหะ นี้มิได้ลงแต่เฉพาะปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋เท่านั้น แม้ปลัดขิกของพระเกจิอื่น ๆ ก็นิยมลงคาถาหัวใจโจร กัณหะ เนหะ เช่นกัน เข้าใจว่าคงท่านคงถือเคล็ดที่ว่า โจรเป็นผู้ฆ่าผู้ทำลายแต่ฝ่ายเดียว การที่จะทำเครื่องรางแก้อาถรรพ์ต่าง ๆ ทำลายล้างสิ่งที่มองไม่เห็นหรือศรัตรู สัตว์ร้ายต้องอาศัยความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวของมหาโจรในการทำลายล้างกัน เป็นของแก้กัน อนึ่ง ธรรมดาโจรย่อมได้อะไรมาโดยง่ายดายด้วยความสามารถแห่งตน ท่านอาจจะถือเคล็ดนี้ให้ปลัดขิกนี้ช่วยผู้บูชาให้ได้อะไรมาโดยง่าย ค้าขายง่าย ทำงานง่าย ได้ลาภง่าย เลื่อนยศตำแหน่งง่าย คนรักง่าย เป็นต้น นี้เป็นความคิดเห็นส่วนตนของผู้เขียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านสนับสนุนให้เป็นโจรนะครับ
ตำนานปลัดขิก ฉลามเมิน
ตำนานปลัดขิก ฉลามเมิน ของหลวงพ่ออี๋มีเรื่องเล่ากันมานาน ครั้งนั้นมีทหารเรือที่ใจกล้าและรับอาสาคาดปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋กระโดดลงไปปฏิบัติกิจลอยคอในทะเล ว่ายน้ำไปมาอยู่ในท่ามกลางฝูงฉลาม แต่ปรากฏว่าฉลามไม่กล้าเข้ามาใกล้ทหารเรือคนนั้นที่คาดปลัดขิกหลวงพ่ออี๋เลย ตั้งแต่นั้นมา ทหารเรือจึงเคารพศรัทธาต่อหลวงพ่ออี๋เป็นอย่างมาก ต่างก็แสวงหาปลัดขิกของท่านเพื่อพกติดตัวบูชา (เรื่องที่มาของปลัดขิก ฉลามเมินอาจจะเล่าแตกต่างกันบ้าง แต่โดยสรุปมีคนลอยคออยู่ในท่ามกลางฝูงฉลาม แต่ไม่ได้รับอันตราย)

ตำนาน ปลัดขิกทรงหมวกทหารเยอรมัน
ที่เรียกว่า ปลัดขิก หลวงพ่ออี๋ ทรงหมวกเยอรมัน ผมเข้าใจว่า เรียกตามรูปทรงที่เห็นครั้งแรก ท่านคงไม่ได้สร้างเพื่อให้เหมือนหมวกทหารหรอก แต่ความรู้สึกเราที่มองเห็นครั้งแรกทำให้นึกถึงหมวกทหารเยอรมันสมัยสงครามโลก จึงเรียกอย่างนั้น เพื่อแยกพิมพ์หรือจุดเด่นเฉพาะของปลัดขิกหลวงพ่ออี๋
พุทธคุณปลัดขิก หลวงพ่ออี๋
สำหรับปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบนั้น ถือว่าเป็นสุดยอดแห่งปลัดขิกคู่กับปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก ในสมัยนั้น พุทธคุณของปลัดขิกหลวงพ่ออี๋นั้นครอบจักรวาล ตามแต่จะอธิษฐานใช้ แต่จากประสบการณ์ที่ฟังมานั้น สรุปได้ดังนี้
- เด่นทุกอย่างในด้านทำให้คนรัก ทั้งเมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ มหาละลวย ทั้งกับเด็กผู้ใหญ่ หญิงชายทุกระดับชนชั้น
- แคล้วคลาดปลอดภัย จะแคล้วคลาดแบบไหน ปลอดภัยแบบไหน ขึ้นอยู่กับบุญกรรมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนนั้น ๆ บางคน คงกระพันยิงไม่ออกยิงไม่เข้าก็มี บางคนทำให้แคล้วคลาดอันตรายไม่สามารถเข้าถึงตัวก็มี
- ค้าขาย ขายดี เรียกลูกค้า ลูกค้าติดใจ ลูกค้ามาหาบ่อย ๆ เหมือนติดใจอะไรหรือมีอะไรสักอย่างดึงดูดมา
- โชคลาภ ทุกอย่างเกี่ยวกับโชคลาภ โชคดี เสี่ยงโชค ลาภลอยมาเนื่อง ๆ
- ส่งเสริมการงาน เลื่อนขั้น เลื่อนยศ เลื่อนเงินเดือน
- รักษาโรค ทราบว่าในสมัยที่ชาวบ้านขาดที่พึ่ง เดินทางไปหาหมอลำบาก อธิษฐานปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ทำน้ำมนต์ดื่มกินรักษาโรคเจ็บไข้ได้ป่วยก็มี บางครั้งเราจะเห็นปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋เนื้อไม้คูณถูกฝนเป็นยาทา ดื่มกินก็มี
- ป้องกันคุณไสย ภูตผีปีศาจ ทุกอย่างเกี่ยวผีหรือสิ่งไม่ดีที่เรามองไม่เห็น
- แก้ดวงตก ดวงไม่ดี สวดคาถาบูชาปลัดขิกกำกับ กลับทำให้ดวงดีได้
คาถาบูชาปลัดขิก หลวงพ่ออี๋
รุปิ รุปิ พุทธะจิตตัง พุทธะเมตตานัง มะหาสิเนหัง
ลิติ ลิติ กะรุณามะหาจิตตัง เมตตาพุทโธ
นะชาลิติ นะชาลิติ นะชาลิติ เอหิภันธัง มะหาสิเนหัง โหนตุ