เรื่องนี้ เขียนจากคำบอกเล่าของพระอาจารย์ผมเอง ครั้งหนึ่งผมได้ไปกราบพระอาจารย์ผมที่ต่างจังหวัด ท่านได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งท่านเจ้าอาวาสกำลังทำความสะอาดกวาดบริเวณวัดอยู่ จู่ ๆ ก็มีคนวิ่งมาตามว่า
“หลวงพ่อ ๆ ครับ ช่วยไปดูไอ้…..คนข้างวัดหน่อยเขาให้มานิมนต์หลวงพ่อให้ไปหา”
หลวงพ่อ ” ทำไมเขาไม่มาหาพระเอง ทำไมต้องให้พระไปหาด้วยล่ะ”
คนที่มาเรียก “เขาไม่มา เขาให้ผมมานิมนต์หลวงพ่อไปหาครับ”
หลวงพ่อ “บ่ะ ให้นี่ ต้องให้พระไปหาเลยหรือ” ว่าแล้วท่านก็วางไม้กวาด แล้วตามคนที่มาเรียกไปซึ่งท่านก็รู้จักเป็นอย่างดีตามประสาคนต่างจังหวัดที่เข้าวัดเข้าวา เมื่อท่านไปถึงก็เห็นชายกลางคนคนหนึ่งกำลังนั่งตัวสั่นเหมือนผีเข้าอยู่ ซึ่งท่านก็ถามว่า
หลวงพ่อ “ว่าไงให้หลวงพ่อมาทำไม”
คนถูกผีเข้า “กราบนมัสการครับ หลวงพ่อมาก็ดีแล้ว ผมมีเรื่องขอความเมตตาให้หลวงพ่อช่วย ลูกศิษย์ของหลวงพ่อตัดต้นไม้ข้างวัด ผมไม่มีที่อยู่ หลวงพ่อช่วยผมทีครับ”
หลวงพ่อ “ก็ไปอยู่ต้นไม้นั่นใหญ่อีกต้นสิ”
คนถูกผีเข้า “ผมไปแล้วครับ พวกเขาที่อยู่ก่อนไม่ให้อยู่ครับ”
หลวงพ่อ “งั้นต้นประดู่ล่ะ ทำไมไม่ไปอยู่”
คนถูกผีเข้า “ผมไปแล้วครับ องค์ที่อยู่ก่อนมีศักดิ์สูงกว่าผม ผมอยู่ด้วยไม่ได้ครับ”
หลวงพ่อ “งั้นไปอยู่ต้นไม้ข้างกุฏิหลวงพ่อ แต่ยังไม่โตมากนะ”
คนถูกผีเข้า “ถ้าหลวงพ่ออนุญาตอย่างนั้นแล้ว ได้ครับ กราบขอบพระคุณมากครับหลวงพ่อ”
สักครู่คนถูกผีเข้าก็สงบนิ่งไป เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้คนที่ถูกผีเข้า มาขอให้หลวงพ่อช่วยไม่ได้บอกว่าตนเป็นใคร แต่ก็น่าจะเป็นรุกขเทวดาหรือหรือดวงวิญญาณที่ต้องอาศัยอยู่ตามต้นไม้ ซึ่งเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า แม่แต่เทวดายังต้องอาศัยมนุษย์ที่มีคุณธรรมความดี เป็นเจ้าของสถานที่ เจ้าของสถานที่อนุญาตให้อยู่เทวดาจึงอยู่ได้ ถ้าเจ้าของที่ไล่ เทวดาก็ไม่มีที่อยู่ เรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่องของเศรษฐีในสมัยพุทธกาล
อนาถบิณฑิกเศรษฐีไล่เทวดา
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้บำรุงพระภิกษุสงฆ์องค์สามเณรอยู่เนืองนิตย์ แม้ทรัพย์สมบัติจะร่อยหรอลงก็ตามที จนเทวดาที่ประจำอยู่ที่ซุ้มประตูของบ้านเศรษฐีนั้นทนไม่ไหว ได้เตือนเศรษฐีนั้นให้หยุดทำบุญให้ทานเสียที แต่ท่านเศรษฐีไม่ยอมหยุด ยังทำบุญถวายทานแก่บรรดาพระภิกษุและสามเณรในวัดต่อไปเรื่อย และได้ทำการขับไล่เทวดานั้นไม่ให้อยู่ในที่ซุ้มประตูบ้าน เทวดานั้นรู้สึกสำนึกตน จึงได้ไปหาเทวดาทั้งหลายตั้งแต่ชั้นต้นจนกระทั่งไปหาองค์อินทร์สักกเทวราช วิงวอนให้ช่วยไปพูดกับเศรษฐีเพื่อทำการขอขมาโทษต่อเศรษฐี องค์ท้าวสักกเทวราชจึงได้ออกอุบายว่า ให้นำทรัพย์ต่าง ๆ ที่หาเจ้าของมิได้ไปให้เศรษฐีนั้นแล้วขอขมาโทษเสีย เทวดานั้นก็ได้ทำตามคำแนะนำของพระอินทร์ เมื่อเศรษฐีนั้นจะรับขมาโทษ จึงได้พาเทวดานั้นไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระศาสดาจารย์จึงได้ประทานโอวาทสอนเศรษฐีและเทวดานั้นว่า
“ดูก่อนคฤหบดี แม้บุคคลผู้ทำบาปในโลกนี้ ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดกาลที่บาปยังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใด บาปของเขาเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่าชั่วแท้
ฝ่ายบุคคลผู้กระทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดีนั้นยังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใด กรรมดีของเขาเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นกรรมดีว่าดีจริง”