พระดีแต่เอาของชาวบ้าน ไม่ให้เขา ไม่เหมือนชาวคริสต์ที่พระเจ้าส่งไปให้เขา และพระไทยไม่มีความรู้ สู้บาทหลวงไม่ได้ ซึ่งสามารถสอนหนังสือได้เป็นอย่างดี ตั้งโรงเรียน โรงพยาบาลได้
ข้อนี้ไม่มีลักษณะเป็นคำถามแต่เป็นคำกล่าวหาในลักษณะที่มองในแง่ร้ายและมองไม่ตลอดสาย
ประเด็นแรกที่ว่าพระดีเอาของชาวบ้านนั้น อย่างที่เคยกล่าวมาแล้วว่าเป็นการทำงานกันคนละหน้าที่ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ผู้ปฏิญาณตนนับถือพระพุทธศาสนายอมรับในเงื่อนไขเหล่านี้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงหน้าที่ให้แต่ละฝ่ายปฏิบัติต่อกัน คือ
ชาวบ้านให้แสดง เมตตาทางกาย วาจา ใจ จะทำพูดคิดเกี่ยวกับพระสงฆ์ให้ทำ พูด คิดด้วยเมตตาเป็นที่ตั้ง บำรุงด้วยปัจจัย ๔ และยินดีต้อนรับเมื่อท่านไปหาที่บ้าน พระภิกษุสามเณรมีหน้าที่จะต้องทำคือ สอนไม่ให้ทำความชั่ว ให้ตั้งอยู่ในความดี สงเคราะห์ชาวบ้านด้วยน้ำใจอันงามให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง อธิบายสิ่งที่เคยฟังแล้ว ให้แจ่มแจ้ง บอกทางสุขทางเจริญให้ งานของพระจึงเป็นงานของผู้นำทางวิญญาณ สติปัญญา ธรรมะ แต่ในข้อที่ว่า “สงเคราะห์ด้วยน้ำใจอันงามนั้น” จากอดีตถึงปัจจุบันเป็นการแสดงให้เห็นว่าพระไม่ได้เอาแต่ของชาวบ้านเพียงอย่างเดียว แต่พระได้ทำงานในลักษณะที่เป็นการสงเคราะห์สังคมด้วยน้ำใจอันงามในด้านต่างๆ ที่ไม่ขัดกับสมณภาวะเป็นอันมาก ขอเพียงใช้เหตุผลพิจารณาก็จะเห็นและทำใจให้ยอมรับได้ไม่ยากนัก นอกจากใจจะเอียงจนไม่อาจมองเห็นความดีของคนอื่นได้ ก็เป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้ เหมือนกัน
สำหรับประเด็นที่ว่าไม่เหมือนชาวคริสต์ที่พระเจ้าส่งไปให้เขานั้น ไม่เข้าใจว่าพูดเรื่องอะไรกัน ถ้าจะหมายความว่าบาดหลวงในศาสนาคริสต์ช่วยคนในด้านรูปวัตถุ พระสงฆ์ก็ทำเหมือนกันในด้านนี้ แต่ที่เราไม่ควรลืมคือ
ระบบโครงสร้างทางศาสนาไม่เหมือนกันศาสนาคริสต์มีองค์การทำงานที่มีเงินทุนมหาศาล แม้ในเมืองไทยก็มีที่ดินจำนวนมาก ทรัพย์อันเป็นกองทุนนี้สามารถกระจายออกไปเพื่อทำงานในด้านต่างๆ รายได้จากโรงพยาบาล โรงเรียน ที่ดินและผลประโยชน์ด้านอื่น มีมากพอที่จะทำงานแบบสงเคราะห์ทางรูปวัตถุได้ซึ่ง หากเราจะดูในจุดใดจุดหนึ่ง จะเห็นว่าทำได้มาก
ที่ไม่ควรลืมอีกประการหนึ่งคือเงินในลักษณะนั้นของพระพุทธศาสนาไม่มี เพราะศาสนาพุทธมีโครงสร้างอีกอย่างหนึ่ง หากพระจะจัดผลประโยชน์แบบนั้นศาสนาพุทธก็ดำรงอยู่ไม่ได้ เพราะความรู้สึกยอมรับฐานะของชาวพุทธกับชาวคริสต์ต่อศาสนาของตนแตกต่างกัน
งานที่ศาสนาคริสต์ทำจึงเป็นงานที่ควรอนุโมทนา แต่อย่าลืมว่าในจำนวนประชากรประมาณ๔๕ ล้านคนนั้น นับถือศาสนาพุทธถึง ๙๕ เปอร์เซ็นต์ แต่นับถือศาสนาคริสต์ประมาณ ๓ แสนคนเท่านั้นเอง (ปี๒๕๓๔) เคยคิดกันหรือเปล่าว่า งานที่ชาวพุทธทั้งที่เป็นพระและฆราวาสทำต่อสังคม ในทางที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อสังคมในรูปแบบต่างๆ นั้นมีมากมายขนาดไหน เพราะเราทำกันทุกวันและทำกันทั่วประเทศ
บัณฑิตที่แท้จริงนั้น เมื่อยอมรับความดีของคนอื่นได้ ก็ต้องรับความดีของอีกฝ่ายหนึ่งได้เช่นกัน การยกย่องหรือตำหนิใครโดยขาดข้อมูลที่ถูกต้องนั้น บัณฑิตไม่ควรทำเพราะจะเป็นการสร้างความผิดซ้ำซ้อนขึ้นมาในวิถีชีวิตของตนโดยไม่จำเป็น
ประเด็นที่ว่าพระไทยไม่มีความรู้สู้บาดหลวงไม่ได้ ซึ่งสามารถสอนหนังสือได้เป็นอย่างดีนั้น เป็นลักษณะของคำกล่าวหาเช่นเดียวกับข้อก่อนๆ โดยไม่มองข้ามข้อเท็จจริงที่มีอยู่เป็นอยู่ ว่าที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร แน่นอนพระไทยนั้นมีความรู้ในเรื่องที่บาดหลวงควรรู้สู้บาดหลวงไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าบาดหลวงก็รู้สู้พระสงฆ์ในเรื่องที่พระสงฆ์ควรรู้ไม่ได้ การกล่าวเปรียบเทียบในลักษณะนี้เหมือนเอาความรู้ของทหารกับตำรวจมาเปรียบเทียบกัน คนเขาเรียนมาคนละอย่างจะไปเปรียบเทียบกันได้อย่างไร
ประเด็นของการสอนนั้น คงลืมไปว่างานให้การศึกษาแก่กุลบุตร กุลธิดานั้นทางโลกเพิ่งนำมาจัดเองประมาณ ๗๐ ปีมานี้เอง เมื่อก่อนนั้นงานสอนทั้งหมดอยู่ในมือพระสงฆ์ทั้งนั้น พระสงฆ์ในปัจจุบันนั้นสำหรับท่านที่บวชมานานพอสมควรท่านก็สามารถสั่งสอนได้ในขอบข่ายของลักษณะวิชาอันท่านได้ศึกษามา
ทำไมจึงพูดว่าบวชมานานพอสมควรเล่า ?
เพราะเมื่อรักจะพูดเรื่องพระ เราต้องยอมรับความจริงในสังคมพระก่อน ว่าพระสงฆ์ในประเทศไทยมีโครงสร้างทางสังคมเป็นอย่างไร ไม่ใช่มาหลงเพ้อฝันด้วยตัวเลขที่สร้างขึ้นหลอกและปลุกปลอบตนเองว่าพระสงฆ์ในเมืองไทยมีจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ รูป ซึ่งเป็นสถิติของพระในพรรษา ออกพรรษาแล้วจะเหลือถึง ๒๓๐,๐๐๐รูปหรือเปล่าในจำนวนพระเหล่านั้น เราต้องยอมรับว่าในเมืองไทย เราใช้ระบบนำคนไม่รู้ศาสนาเข้ามาบวช เพื่อศึกษาหลักธรรมในศาสนาซึ่งเป็นการบวชแบบระบบหมุนเวียนส่วนมากแล้วจะหมุนวนอยู่ระหว่าง ๗ วัน ถึง ๓ เดือน มากที่สุด ซึ่งเราจะหวังให้พระเหล่านี้ไปทำงานศาสนาคงเป็นไปไม่ได้ เพราะยังอยู่ในวัยที่ต้องศึกษา พระประเภทนี้เรามีหมุนเวียนกันอยู่ไม่น้อยกว่า ๖๕ เปอร์เซ็นต์
เมื่อเราตัดพระที่เป็นหลวงตาแก่ ๆ และท่านผู้เฒ่าซึ่งไม่สะดวกในการสอนหนังสือ แต่ท่านอาจสอนด้วยการแนะนำสนทนากัน ตลอดถึงการเทศน์เป็นต้นออกไปแล้ว เรามีพระไม่น้อยกว่า๓๐ เปอร์เซ็นต์ของจำนวนพระภิกษุสามเณรทั้งหมด ที่อาจทำงานในด้านการสอนหนังสือตามโรงเรียนได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมพระจึงไม่สอนหนังสือในโรงเรียนเล่า ?
อันที่จริง พระเรานั้นอยู่ในฐานะที่พร้อมทั้งด้านความรู้ บุคคล ความตั้งใจความเสียสละ แต่เพราะค่านิยมในสังคม ที่คนบางพวกคิดว่าพระไม่รู้เรื่องศาสนา แม้แต่งานที่พระน่าจะทำ ก็จัดให้ครูที่ไม่เคยเรียนเรื่องนี้มาโดยตรง ทำหน้าที่นี้เสียเองจนบางครั้ง การกำหนดหลักสูตรทางศีลธรรมของกระทรวงศึกษาธิการออกมาเชยๆ ในสายตานักธรรมะอยู่เสมอไป แม้ในปัจจุบันก็มีอยู่หลายเรื่องสังคมปฏิเสธพระว่าพระไม่ควรจะสอนหนังสือเด็ก เพราะกลัวจะคลุกคลีกับศิษย์ โดยเฉพาะที่เป็นหญิง กระทรวงศึกษาธิการเองเคยดำริอยู่เสมอ ในการที่จะให้พระเข้ามีบทบาทในการสอน แต่ถูกคัดค้านจากด้านต่างๆและความฝังใจในอดีตของตนเลยต้องระงับไปทุกคราว
เมื่อปิดประตูไม่ให้พระแสดงความรู้ความสามารถในด้านการสอนเสียเช่นนี้แล้วก็มาตำหนิว่าพระสอนไม่ได้เพราะไม่รู้ ใครไม่รู้กันแน่ ?
แม้ว่าจะถูกปิดประตูแบบนี้ก็ตามปัจจุบันนี้พระภิกษุสงฆ์ได้สร้างงานขึ้นด้วยการเปิดโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ หน่วยพระธรรมวิทยาการโรงเรียนบาลีสามัญมีนักเรียนในความรับผิดชอบเป็นอันมาก แต่งานพระไม่ค่อยมีการประชาสัมพันธ์จึงไม่ค่อยทราบกันกว้างขวาง ทำให้คนใจบอดคอยค่อนขอดอยู่เสมอว่าพระไม่ทำงานอะไร ไม่มีความรู้จนถึงขี้เกียจก็ขอให้เป็นสุขๆเถิดอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
แม้ว่าพระจะไม่ได้สอนในโรงเรียนอย่างเมื่อก่อน แต่โรงเรียนที่เรียนกันอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในวัดหรือนอกวัดก็ตาม ใครจะปฏิเสธเล่าว่าพระไม่ได้มีส่วนอย่างสำคัญในการสร้างขึ้นและสนับสนุนในด้านต่างๆ โรงพยาบาลก็ทำนองเดียวกันโรงพยาบาลของรัฐเกือบทุกแห่ง พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเข้าไปมีบทบาทร่วมในการสร้าง การบำรุงมากบ้างน้อยบ้างทั่วประเทศไทย
อย่าลืมว่างานการสั่งสอนการรักษาพยาบาลโรคกายใจ โดยเฉพาะในต่างจังหวัดนั้นยังเป็นงานหลักของพระอยู่แม้ในปัจจุบัน งานของพระก็คืองานของพระ งานของทหารก็คืองานของทหาร จะให้เหมือนกันย่อมไม่ได้ แม้งานของบาดหลวงที่ยกมาก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน ขอให้ทุกคนยืนอยู่ในจุดอันเป็นความรับผิดชอบของตนเองให้ดีเถิด และทุกอย่างในพระศาสนา ประเทศชาติ สังคมก็จะดีขึ้นเอง ที่เกิดยุ่งๆกันอยู่เพราะคนไม่ค่อยสนใจทำงานของตน แต่พยายามเกณฑ์ให้คนอื่นทำอย่างนั้นอย่างนี้นั่นเอง
“หากคนมองตนให้มาก มองคนอื่นเพื่อเตือนตนพิจารณาตรวจสอบตนกันให้มาก” อะไรๆก็จะดีขึ้นไม่น้อยทีเดียว.