19 ข้อนี้ มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
1.พระพุทธศาสนา ปฏิเสธพระเจ้าสร้างโลก ถือว่า ความเชื่อนี้ไร้สาระ ตรงข้ามโลกนี้ประกอบขึ้นจากเหตุมีธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา ซึ่งหาเบื้องต้นและที่สุดได้ยาก แม้ค้นพบทฤษฎีใหม่ ๆ ก็ยังถกเถียงกันไม่จบ
2.พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ระบบความเชื่อที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้ หมายถึง ต้องมีความเชื่อในพระเจ้าผู้สร้างโลก (แน่นอนล่ะศัพท์นี้มาจากกลุ่มชนที่เชื่อพระเจ้าผู้สร้างโลก)
3.จุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา คือ ละกิเลสได้หมดแล้ว หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือวัฏฏสงสาร ไม่ใช่ไปแค่ไปเกิดบนสวรรค์ หรือไม่ใช่กลับไปรับใช้ใครบนสวรรค์
4.พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ผู้ปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้รอด สรรพสัตว์ต้องช่วยตนเอง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสและวัฏฏสงสาร (ไม่ใช่ผู้ปลดปล่อยใครจากบาปหรือไม่ได้แช่งใครให้บาป พระองค์ไม่ได้สร้างนรกไว้ทรมานใคร)
5.ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธเจ้า และสาวก คือ ครูผู้สอนและลูกศิษย์ ไม่ใช่ตัวแทนพระเจ้า และทาสผู้รับใช้
6.พระพุทธเจ้า ไม่เคยให้สาวกใช้ความเชื่อโดยปราศจากปัญญามานับถือ ตรงข้ามพระองค์ทรงสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาคำสอนก่อนจะเชื่อ และเห็นจริงด้วยตนเอง และ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ต้องนำคำสอนไปประพฤติและปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นด้วยตนเอง ไม่มีใครช่วยทำให้หลุดพ้น จากการเวียนเกิดเวียนตายได้ นอกจากให้แค่แนะนำ ชี้ทางที่ถูกต้องให้เท่านั้น
7.คำสอนพระพุทธเจ้า เป็นสัจธรรมประจำโลก ที่เป็นและมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าทรงเป็นแต่เพียงผู้ค้นพบเท่านั้น พระองค์ไม่ใช่เป็นคนสร้างคำสอนขึ้นมา (จะมีพระพุทธเจ้าหรือไม่มี ดีชั่ว บาปบุญ นรกสวรรค์ นิพพาน กิเลส ตัณหา ก็มีอยู่ประจำโลก แต่มนุษย์หลงจึงเป็นทุกข์ เหตุนี้จึงต้องมีพระพุทธเจ้าผู้ทรงชี้แนะ)
8.นรกในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สถานที่กักขังสัตว์อย่างนิรันดร์ บุคคลทำบาปแล้ว ไปเกิดในนรก เมื่อพ้นกรรมแล้ว ก็สามารถกลับไปเกิดในภพที่ดีกว่าได้ และ สัตว์ที่ได้ไปเกิดในภพอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภพเทวดา ภพมนุษย์ ภพเปรตวิสัย ภพเดรัจฉาน ก็สามารถเวียนกลับไปเกิดในนรกอีกได้ เช่นกัน (ข้อนี้ถือว่าเป็นความยุติธรรมตามกฎแห่งกรรม ไม่ใช่ทำผิดหรือไม่เชื่อแล้วสาปแช่งชั่วกาลนาน)
9.พระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนแนวคิดเรื่องบาปติดตัว เหมือนที่ศาสนาเทวนิยมสอน แต่สอนเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งมีทั้งกรรมขาว กรรมดำ และกรรมไม่ขาวไม่ดำ (ไม่มีบาปจากมนุษย์คู่แรก จึงไม่มีพิธีล้างบาป ไม่มีการดลบันดาลให้น้ำท่วมโลกเพื่อล้างบาปจากมนุษย์คู่แรก)
10.พระพุทธศาสนาสอนว่า มนุษย์และเทวดาทุกชีวิต มีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ ข้อสำคัญก็คือ ต้องใช้ความพยายามในการปฏิบัติ เพื่อชำระกิเลสให้พ้นไปจากจิตใจ พระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นมนุษยสามัญธรรมดา ที่หลุดพ้นจากทุกข์ได้ เพราะการประพฤติปฏิบัติมาหลายภพหลายชาติ
11.กฎแห่งกรรมของทุกสรรพสัตว์ เป็นตัวอธิบายว่า เหตุใดคนถึงเกิดมาแตกต่างกัน กฎแห่งกรรมเป็นตัวอธิบายถึงภพภูมิที่สัตว์พากันไปเกิด (ไม่ใช่พระเจ้าสร้าง หากพระเจ้าสร้างก็คงไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เพราะบางคนถูกสร้างมาให้ได้รับความทุกข์ยากลำบาก)
12.พระพุทธศาสนา เน้นให้แผ่เมตตากรุณาไปยังสรรพสัตว์ ทุกภพภูมิ ทรงสอนให้ละจากการประพฤติชั่วทั้งปวง คือ อกุศลกรรมบท 10 และให้ประพฤติปฏิบัติแต่ กุศลกรรมบถ 10
13.ธรรมะของพระพุทธเจ้า เสมือนแพ หลังจากบำเพ็ญเพียรจนดับทุกข์ได้แล้ว จะอยู่เหนือบุญและบาป ธรรมะทั้งปวงจะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น (ไม่มีข้อผูกมัดว่าบรรลุถึงจุดสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้วต้องไปรับใช้พระพุทธเจ้าหรือเทพองค์ใดองค์หนึ่ง)
14.ไม่มีสงครามศักดิ์สิทธิ์ ในทรรศนะพระพุทธศาสนา การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การเบียดเบียนผู้อื่นด้วยเจตนา ผู้กระทำจะต้องรับกรรมทั้งสิ้น จนกว่าจะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร การฆ่าในนามศาสนา ยิ่งกระทำมิได้ในพระพุทธศาสนา (พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครฆ่าคนอื่นหรือสัตว์เพื่อพระองค์หรือเพื่อพระศาสนา หากทำก็เป็นกรรมชั่ว หรืออยู่ห่างไกลพระองค์)
15.พระพุทธเจ้าสอนว่า กำเนิดสังสารวัฏ ไม่มีเบื้องต้นและที่สุด ถ้าหากสัตว์ยังดำเนินชีวิตไปตามอำนาจกิเลสที่มี อวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ย่อมต้องเวียนเกิดเวียนตายต่อไป
16.พระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระสัพพัญญู ( ผู้รู้ความจริงทุกเรื่องที่ทรงอยากรู้ ) และพระพุทธเจ้า มิใช่เทพเจ้าผู้ทรงมีอำนาจล้นฟ้า ดลบันดาลสร้างธรรมชาติต่าง ๆ ขึ้นมา
17.การฝึกสมาธิ สำคัญมากในพระพุทธศาสนา แม้ว่าศาสนาอื่น ๆ ก็มีสอนให้คนมีสมาธิ แต่มีพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอน วิปัสสนา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้รู้แจ้งว่า ทุกสรรพสิ่ง เมื่อมีการเกิด ย่อมมีการดับ
18.หลักคำสอนเรื่อง สุญญตา หรือ นิพพาน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในพระพุทธศาสนา ถือเป็นคำสอนระดับสูงของพระพุทธศาสนาด้วย เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายทั่วโลกธาตุ ไม่มีสิ่งใด เที่ยงแท้ถาวร มีแต่ปัจจัย ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกัน สรรพสิ่งในโลก จึงตกอยู่ในภาวะอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เหมือนกันหมด พระพุทธศาสนาจึงไม่สุดโต่งไปตามแนวศาสนาประเภทเทวนิยม หรือ ตามแนววัตถุนิยม ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ที่ต้องเวียนเกิดเวียนตาย จนกว่าจะบรรลุธรรม จึงจะดับเย็น เข้าสู่นิพพาน
19.วัฏจักร หรือสังสารวัฏ เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา ตราบใดที่สรรพสัตว์ ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส ก็จะเวียนว่ายตายเกิด ไปตามภพภูมิต่างๆ ตามแรงเหวี่ยงของกรรม ไม่สิ้นสุด จนกว่าจะบรรลุธรรม ดังนั้น ทุกสรรพสัตว์ จึงต้องช่วยตนเอง เพื่อพัฒนาไตรสิกขา ให้หลุดพ้นจากโลภะ โทสะ และโมหะ หรืออวิชชา เพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏให้ได้ ฯ
- ทั้ง 19 ข้อนี้ ผมนำมาจาก ฝรั่ง ชี้..19 ข้อนี้ มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ผมไม่ทราบต้นฉบับ ไม่ทราบว่าเป็นคำกล่าวของต่างชาติจริงหรือไม่ แต่เป็นความคิดของคนยุคใหม่ที่ใช้สติปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา
- ทั้ง 19 นี้ ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ๆ แต่หมายความว่าอยู่ในคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งผมพิจารณาดูแล้ว ไม่มีข้อไหนที่ขัดแย้งจากคำสอนของพระพุทธเจ้า
- ขอบคุณภาพประกอบบทความซึ่งปรากฎที่มาของภาพบนภาพถ่ายแล้ว
~ เสียดายไม่ทราบชื่อฝรั่งผู้เขียน แต่ ก็แสดงว่า มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา ขอกราบคารวะ และ ขอชื่นชมด้วยใจจริง