จีวรพระภิกษุใช้อยู่ทุกวันนี้ ถูกออกแบบโดยพระอานนท์ซึ่งเป็นพระพุทธอุปัฏฐาก (สมัยทุกวันนี้ก็เปรียบเหมือนเลขานุการ) เมื่อประมาณ 2,600 ปีมาแล้ว (ไม่ทราบแน่ชัดว่าออกแบบปีไหน น่าจะช่วงยุคต้นแห่งการประกาศพระศาสนา การคำนวนนี้ใช้ปีพุทธศักราช 2564+45 ปีที่ประกาศพระศาสนา เท่ากับ 2609 ปี)
ความเป็นมาของจีวรพระ
ในช่วงต้นพุทธกาล พระภิกษุยังคงใช้ผ้าที่หาได้มาเย็บต่อ ๆ กัน ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย หรือบางครั้งภิกษุบางรูปได้รับถวายผ้าอย่างดีจากคหบดีผู้ศรัทธาแล้วก็ถูกลักขโมยบ่อยครั้ง เนื่องด้วยผ้าเป็นสิ่งที่หายากใคร ๆ ก็อยากได้
จนต่อมาพระพุทธเจ้าได้ทอดพระเนตรนาของชาวมคธ จึงทรงดำริให้ตัดผ้าจีวรเป็นสี่เหลี่ยมผืนเล็ก ๆ มาต่อกัน จึงมีลักษณะเป็นผ้าที่มีความเศร้าหมอง คือเป็นผ้าที่ผู้อื่นมักไม่ต้องการไปใช้สอยอีก เป็นผ้าเหมาะสมกับสมณะ ผ้าสี่เหลี่ยมผืนเล็ก ๆ ที่เย็บต่อกันนั้นมีปรากฏลวดลายเป็นลายคันนาของชาวมคธ ซึ่งผ้าจีวรนี้ออกแบบโดยพระอานนท์ผู้เป็นพระอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า ดังปรากฏข้อความในพระวินัยปิฎก ว่า
“อานนท์ เธอเห็นนาของชาวมคธ ซึ่งเขาพูนดินขึ้นเป็นคันนาสี่เหลี่ยม พูนคันนายาวทั้งด้านยาวและด้านกว้าง พูนคันนาคั่นในระหว่างๆ ด้วยคันนาสั้นๆ พูนคันนาเชื่อมกันทาง 4 แพร่ง ตามที่ซึ่ง คันนากับคันนา ผ่านตัดกันไปหรือไม่? … เธอสามารถแต่งจีวรของภิกษุทั้งหลาย ให้มีรูปอย่างนั้นได้หรือไม่?“
พระอานนท์กราบทูลว่า “สามารถ พระพุทธเจ้าข้า.“
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ทักขิณาคิรีชนบทตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จ กลับมาพระนครราชคฤห์อีก ท่านพระอานนท์แต่งจีวรสำหรับภิกษุหลายรูป ครั้นแล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้กราบทูลว่า
“ขอพระผู้มีพระภาคจงทอดพระเนตรจีวรที่ข้าพระพุทธเจ้าแต่งแล้ว พระพุทธเจ้าข้า.“
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
“ภิกษุทั้งหลาย อานนท์เป็นคนฉลาด อานนท์ได้ซาบซึ้ง ถึงเนื้อความแห่งถ้อยคำที่เรากล่าวย่อได้โดยกว้างขวาง …จีวรจักเป็นผ้าที่ตัดแล้ว เศร้าหมองด้วยศัสตรา สมควรแก่สมณะ และพวกศัตรูไม่ต้องการ“
หลังจากพระอานนท์ถวายจีวรที่ตัดแต่งแล้ว ให้ทอดพระเนตร พระพุทธองค์ทรงพอพระทัย และอนุญาตให้ใช้เป็นอย่าง และต่อมาทรงอนุญาตผ้า 3 ผืน ที่เรียกว่าไตรจีวร ได้แก่
1. ผ้านุ่ง เรียก “อันตรวาสก” (อัน-ตะ-ระ-วา-สก) คือผ้าที่เราเรียกกันว่า “สบง”
2. ผ้าห่ม เรียก “อุตตราสงค์” (อุด-ตะ-รา-สง) โดยมากเราเรียกผ้าห่มนี้ว่า “จีวร”
3. ผ้าห่มซ้อน (ผ้าห่มผืนที่สอง คล้ายผ้าอุตตราสงค์แต่มีสองชั้น เพื่อใช้ป้องกันความหนาวเย็น พระสงฆ์ไทยใช้พาดบ่าเวลาทำสังฆกรรม) เรียกว่า “สังฆาฏิ” (สัง-คา-ติ)

ดูความหมายประกอบภาพได้ที่ จีวร ภาษาบาลี หมายถึงผ้าทุกผืนที่พระใช้นุ่งห่ม
ทรงอนุญาตจีวรที่ทำด้วยผ้า 6 ชนิด
- จีวรทำด้วยเปลือกไม้
- จีวรทำด้วยฝ้าย
- จีวรทำด้วยไหม
- จีวรทำด้วยขนสัตว์
- จีวรทำด้วยป่าน
- จีวรทำด้วยของของ 5 อย่างข้างต้นเจือกัน
ทรงอนุญาตน้ำย้อมสำหรับย้อมจีวร 6 ชนิด
1. น้ำย้อมจากราก หรือ เหง้าพืช
2. น้ำย้อมจากแก่นต้นไม้ เช่น แก่นขนุน
3. น้ำย้อมจากเปลือกต้นไม้
4. น้ำย้อมจากใบไม้
5. น้ำย้อมจากดอกไม้
6. น้ำย้อมจากผลไม้
สีจีวรที่ทรงห้าม
เมื่อย้อมด้วยน้ำย้อม 6 ขนิด (ชนิดใดชนิดหนึ่ง) แล้ว ต้องไม่ใช่สีที่ทรงห้าม 7 สี เหล่านี้ ได้แก่
1. สีเขียวครามเหมือนดอกผักตบชวา
2. สีเหลืองเหมือนดอกกรรณิการ์
3. สีแดงเหมือนชบา
4. สีหงสบาท (สีแดงกับเหลืองปนกัน)
5. สีดำเหมือนลูกประคำดีควาย
6. สีแดงเข้มเหมือนหลังตะขาบ
7. สีแดงกลายแดงผสมคล้ายใบไม้แก่ใกล้ร่วงเหมือนสีดอกบัว
หรือแปลแบบเข้าใจง่าย ๆ คือ สีดำ สีคราม สีเหลือง สีแดง สีบานเย็น สีแสด และสีชมพู
ที่มา : ไตรจีวร
บทความแนะนำ
ถวายจีวร อานิสงส์ ผิวพรรณดี มีสง่าราศี เพิ่มพูนบารมี
ถวายราวตากผ้า อานิสงส์ไม่ตกอับ รับความสุขเย็นสบาย ไร้โรคา
ถวายผ้าไตรจีวรอุทิศผู้ตาย อานิสงส์ส่งถึงผู้ล่วงลับจากไป
ถวายเข็มเย็บจีวร อานิสงส์ มีปัญญาฉลาด หลักแหลม ทุกเมื่อ
ถวายสีย้อมจีวร อานิสงส์เหมือนดังได้ชีวิตใหม่ มีความสดใสกว่าเดิม