เครื่องอัฐบริขารเป็นสิ่งจำเป็นที่สำคัญซึ่งพระภิกษุจะต้องมีไว้ใช้มีทั้งหมด ๘ อย่าง ได้แก่ บาตร จีวร สบง สังฆาฏิ ผ้าประคดเอว หม้อกรองน้ำ กล่องเข็มพร้อมด้วยด้าย มีดโกน และหินลับมีด ในวันที่จะบวชพระอุปัชฌาย์หรือพระอาจารย์ผู้เป็นธุระในการบวชต้องตรวจดูว่ามีเครื่องอัฐบริขารครบถ้วนไม่จึงทำการบวชให้
เราควรถวายอัฐบริขารในโอกาสใด
- เป็นเจ้าภาพถวายอัฐบริขารในเวลาที่มีญาติมิตรอุปสมบท
- ถวายอัฐบริขารในเวลาที่ทางวัดจัดงานอุปสมบทหมู่
- ถวายอัฐบริขารทำบุญอุทิศให้ญาติผู้ล่วงลับไป
- ถวายอัฐบริขารเป็นบริวารกฐิน ผ้าป่า
- ถวายอัฐบริขารเพื่อทำบุญสะเดาะเคราะห์ แก้กรรม แก้ดวงตก แก้ปีชง
คำถวายอัฐบริขาร
อิมานิ มะยัง ภันเต อัฏฐะ ปะริกขาระวัตถูนิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ อัฏฐะ ปะริกขาระวัตถูนิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัญเจวะ มาตาปิตุอาทีนัญจะ ปิยะชะนานัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ ฯ
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย เครื่องอัฏฐบริขาร พร้อมกับของบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์ จงรับเครื่องอัฏฐบริขาร พร้อมกับของบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย แก่ปิยชนทั้งหลายมีมารดาบิดาเป็นต้นด้วย ตลอดกาลนานเทอญ
อานิสงส์ของการถวายอัฐบริขาร
…..ในกาลครั้งหนึ่ง องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จอาศัยกรุงสาวัตถี อันเป็นที่โคจรบิณฑบาต เสด็จประทับอยู่ในบุพพารามวิหาร ณ ป่าเชตวันในกาลครั้งหนึ่งมีมหาเศรษฐีผู้หนึ่งอยู่ในบ้านสถาน ชื่อว่า หะโตสะเศรษฐีปลูกโรงมณฑปไว้หน้าเรือนของตน และทำสร้างแปลงอัฏฐะบริหาร ๘ ประการเป็นต้นว่า ผ้าจีวร สบง สังฆาฏิ บาตรและผ้ากรองน้ำ คิลานเภสัช และขวานสิ่ว เสื่อสาดอาสนะ ครบเครื่องอัฏฐะ แล้วทำการมหรสพอันยิ่งใหญ่ประจบครบ ๗ วัน แล้วจึงนำกองอัฏฐะเข้าไปสู่ป่าเชตวัน ณ บุพพรามวิหารอันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ถวายบิณฑบาต และอัฏฐะแก่พระพุทธองค์กับทั้งพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป เสร็จจากการภัตตากิจแล้วก็กราบทูลถามถึงองค์ผู้เจริญ อันบุคคลที่มีจิตศรัทธาประสันนาการ มาสร้างอัฏฐะ บริขาร ๘ ประการให้เป็นทาน จะได้อานิสงส์อย่างไรพระเจ้าข้า
องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเทศนาว่า ดูกรเศรษฐีบุคคลใดที่มีใจศรัทธาเลื่อมใสมาก่อสร้างบริการ ๘ ประการ ถวายเป็นทานก็จะได้อานิสงส์ ๓๖ กัล์ป บุคคลผู้นั้นจะไม่ไปสู่อบายภูมิได้ ๑๐๐ ชาติ จะได้เสวยสมบัติในชั้นสวรรค์ภายหลังจะได้พระนิพพานสมบัติ อันสิ้นภพ สิ้นชาติสิ้นทุกข์สิ้นภัยไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร การถวายทานด้วยเครื่องอัฏฐะบริขารนี้เป็นเยี่ยงอย่างประเพณีแห่งพระบรมโพธิสัตว์สืบ ๆ กันมา พระพุทธองค์จึงนำอดีตนิทานมาเทศนาว่า ดูกรเศรษฐีในอดีตกาลล่วงมาแล้ว ในครั้งพระบรมโพธิสัตว์บำเพ็ญพระบารมีบริบูรณ์ ได้ตรัสรู้ปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาโปรดเวไนยบรรพสัตว์ ให้ตั้งอยู่ในทางสวรรค์และทางนิพพาน ครั้งนั้นยังมีบุรุษเข็ญใจเลี้ยงชีวิตด้วยความลำบากไปเที่ยวเก็บผักหักฟืนมาขายเลี้ยงชีวิตอยู่มาวันหนึ่งไปเห็นพระปัจเจกโพธิองค์หนึ่ง อยู่ในป่า ก็มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระปัจเจกโพธิเข้าไปถวายอภิวาท แล้วแบกเอามัดฟืนและผักกับมาขายได้เงินพอสมควร แล้วจึงนำไปซื้อผ้าแพรมาทำเป็นผ้าสบง จีวรสังฆาฏิบาตรครบเครื่องอัฎฐะแล้วจึงนำเข้าไปถวายแก่พระปัจเจกโพธิเจ้า แล้วจึงตั้งปฏิธานด้วยเดชะบุญแห่งข้าพเจ้าได้ทำทานในครั้งนี้ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากความเข็ญใจได้ยาก เหมือนดั่งชาตินี้และเมื่อข้าพเจ้าได้ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏสงสารตราบใดขอให้ข้าพเจ้า บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ ให้ได้จำแนกแจกทานแก่ท่านผู้มีศีล และคนยาจกวณิพกคนขอทุกทั่วหน้า และขอให้ข้าพเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณครั้นปรารถนาแล้วก็กลับไปสู่บ้านเรือนของตนขวนขวายหาเลี้ยงมารดาตราบเท่าสิ้นอายุ ก็ไปบังเกิดสวรรค์ชั้นดุสิต มีวิมานทองสูง ๒๘ โยชน์ มีนางฟ้าเทพอัปสร ๕๐๐ เป็นบริวาร ครั้นจุติจากตุสิตพิภพแล้ว มาถือกำเนิดในตระกูล สากยะเสตะราชกรุงสาวัตถี บริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ ครั้นเจริญวัยขึ้นก็ได้เสวยราชสมบัติแทนบิดา ทรงพระนามว่าสมเด็จพระยาปัสเสนทิโกศลในกาลบัดนี้ ครั้นจบพระธรรมเทศนาแล้ว หะโตสะเศรษฐีได้ทูลลาไปสู่เรือนของตนครั้นเมื่อสิ้นอายุขัยแล้วก็ไปบังเกิดในดุสิต เสวยทิพย์สมบัติ มีวิมานทองสูง ๒๐ โยชน์ มีเทพอัปสร ๓ หมื่น เป็นบริวาร