เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....
เห็นแชร์กันมาก
เรื่อง พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องโรคระบาด และพระอานนท์ทูลถามถึงการติดเชื้อ ด้วยข้อความที่ปรากฎในภาพคือ
“พระพุทธเจ้ากล่าวกับพระอานนท์ช่วงที่เกิดโรคห่า
ในขณะที่พระองค์ไปปฐมพยาบาลพระที่ป่วย
พระอานนท์ถามพระองค์ว่าไม่กลัวติดเชื้อหรือ
พระองค์กล่าวว่า
อานนท์ ถ้าไม่ใช่กรรม ที่เราทำมา เราก็จะไม่ได้รับกรรมนั้น”
แต่ถ้าเราทำมา หนีอย่างไร ก็หนีไม่พ้น“
ตามที่ผมเข้าไปอ่านคร่าว ๆ ในเรื่องพระอาพาธโรคท้องร่วง พอสรุปได้ว่า
- เรื่องพระพุทธเจ้าและพระอานนท์พยาบาลภิกษุที่อาพาธด้วยโรคท้องร่วงมีจริง ตามที่ปรากฏในเรื่องพระอาพาธโรคท้องร่วง
- ไม่มีคำทูลถามของพระอานนท์ “พระอานนท์ถามพระองค์ว่าไม่กลัวติดเชื้อหรือพระองค์”
- ไม่มีพระดำรัสว่า “อานนท์ ถ้าไม่ใช่กรรม ที่เราทำมา เราก็จะไม่ได้รับกรรมนั้น แต่ถ้าเราทำมา หนีอย่างไร ก็หนีไม่พ้น” ในพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทเล่มอื่น ๆ ก็ไม่มี
- เรื่องพระอาพาธโรคท้องร่วง สรุปลงที่พระพุทธเจ้าทรงให้พระภิกษุสามเณรพยาบาลซึ่งกันและกันเมื่อเกิดอาพาธขึ้น และทรงแสดง องค์ของภิกษุอาพาธที่พยาบาลได้ยาก ๕ อย่าง, องค์ของภิกษุอาพาธที่พยาบาลได้ง่าย ๕ อย่าง, องค์ของภิกษุผู้ไม่เข้าใจพยาบาล ๕ อย่าง, องค์ของภิกษุผู้เข้าใจพยาบาล ๕ อย่าง, เรื่องให้บาตรจีวรของผู้ถึงมรณะภาพแก่คิลานุปัฏฐากและวิธีการให้,
- เรื่องนี้บางคนอาจจคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก หรือบางคนอาจจะคิดบวกว่าเป็นเรื่องที่ช่วยให้คนอ่านรู้จักกรรม รู้จักกลัวกรรม แต่คุณจะนำข้อความใด ๆ มาเพื่อสอนก็ตาม หากคุณอ้างว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธ คุณต้องมีหลักฐานอ้างอิงได้ตามคัมภีร์ ข้อความใดที่อ้างว่าพระพุทธเจ้าตรัส ต้องมีที่อ้างอิงได้ว่า ตรัสกับใคร ที่ไหน ปรารภเหตุอะไร ที่สำคัญสุดอยู่ในพระคัมภีร์พระไตรปิฎกเล่มใด
- บางคนอาจจะแจ้งว่าเวลาผ่านไป 2500 กว่าปีแล้ว อาจจะมีข้อความตกหล่นไปบ้าง ข้อความตกหล่นนั้นเป็นไปได้ แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อความไหนตกหล่น ในเมื่อเนื้อหาในเรื่องนั้น ๆ สมบูรณ์อยู่แล้ว หรือหากมีความตกหล่นจริง ข้อความนั้นต้องไม่ขัดกับคำสอนอื่น ๆ
- อาจจะมีคนแย้งว่า อย่ายึดติดในคัมภีร์ คือต้องทำความเข้าใจว่า เรารู้จักพระพุทธศาสนาจากคัมภีร์ ศีล 5 ศีล 8 พระภิกษุสามเณรก็บวชตำคัมภีร์ ฉะนั้น ในเบื้องต้นต้องยึดคัมภีร์เป็นหลัก
- “อานนท์ ถ้าไม่ใช่กรรม ที่เราทำมา เราก็จะไม่ได้รับกรรมนั้น แต่ถ้าเราทำมา หนีอย่างไร ก็หนีไม่พ้น” จากข้อความนี้ ทำให้คนอื่นดูแคลนพระพุทธศาสนาได้ เอะอะก็โทษแต่กรรม เป็นไปตามกรรม จะป่วยไข้ สุขภาพดีมีกิน เพราะกรรมที่เคยทำมา มีจนรำรวยเพราะกรรมเก่าที่เคยทำ ซึ่งโดยความเป็นมันคือเหตุปัจจัยบางส่วนเท่านั้น มันไม่ใช่กับทุกคนหรือในทุกเหตุกการณ์
- เราจะรู้อย่างไร กรรมไหนเราเคยทำมา กรรมไหนเราไม่เคยทำ ถ้ารอผลจากกรรมเก่าที่ทำมาก็ต้องทำอะไรสิ พระพุทธก็ไม่ต้องตรัสธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น รอให้เป็นไปตามกรรมอย่างเดียว (สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมจริง แต่ไม่ใช่นั่งนอนรอผลกรรม) ทางที่ดี คือให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นปัจฉิมโอวาท ปรากฎอยู่ในมหาปรินิพพานสูตรว่าวะยะธัมมา สังขารา- สังขารทั้งหลาย, มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาอัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ- เธอทั้งหลาย, จงยังกิจทั้งปวงให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
- ในพระไตรปิฎกเล่ม 21 ข้อ 87 “ปุตตสูตร” พระพุทธเจ้าทรงแสดงถึงเหตุที่ทำให้คนเราต้องเจ็บป่วย มีอยู่ 8 ประการด้วยกัน ได้แก่ ดี (อวัยวะภายใน) เป็นสมุฏฐาน 2.เสมหะ (เมือกจากลำคอหรือลำไส้) เป็นสมุฏฐาน 3. ลม (ภายในกาย) เป็นสมุฏฐาน 4. ประชุมกันเกิดขึ้น 5. ฤดูแปรปรวน 6. การบริหารไม่สม่ำเสมอ 7.การบาดเจ็บ 8.เกิดจากผลกรรม (บาป)
ข้อมูลอ้างอิง :
แก้ข้อเข้าใจผิด เรื่องข้อมูล “พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องโรคระบาด”
อย่าแชร์ พุทธพจน์ปลอม พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัส “โรคระบาดเป็นไปตามกรรม”
เปิดตำรารักษาโรคในสมัยพระพุทธเจ้าตามพระไตรปิฎก
เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....