วิญญาณมีจริงหรือไม่ บางคนเข้าใจว่า ไม่มี ลองค้นคว้าทางวัตถุแล้วก็ไม่พบด้วยประสาททั้ง ๕ จึงว่าเป็นเรื่องไร้ สาระพระพุทธศาสนาแสดงเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไร ?
ก่อนปฏิเสธหรือยืนยันเรื่องอะไร จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบว่า “สิ่งที่เรากำลังพูดถึงนั้น คืออะไร?” เรื่องของวิญญาณก็ทำนองเดียวกัน เนื่องจากคำนี้เป็นคำทางศาสนาก็ควรทราบว่าทางพระพุทธศาสนาแสดงเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไรให้ได้เสียก่อน แล้วจึงจะพูดในประเด็นที่ว่ามีหรือไม่ วิญญาณแปลว่าความรู้อารมณ์พิเศษทั้งหลาย ท่านแสดงว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน เมื่อแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆมีอยู่ ๓ ประเภทด้วยกัน คือ
ก.วิญญาณขันธ์
แปลว่ากองแห่งวิญญาณแบ่งออกเป็น ๖ ประเภท เรียกชื่อตามที่เกิดแห่งวิญญาณนั้นๆว่าจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ
จักขุวิญญาณ แปลว่าความรู้ที่เกิดขึ้นทางตา องค์ประกอบที่ทำให้เกิดวิญญาณนี้คือ ตา รูป แสงสว่าง ความสนใจ องค์ประกอบเหล่านี้ขาดไปเพียงอย่างเดียววิญญาณทางตาจะไม่สมบูรณ์ แม้วิญญาณข้ออื่น ๆ ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน เปลี่ยนแต่องค์ประกอบบางอย่าง ส่วนข้อสุดท้ายเหมือนกันคือต้องมีความสนใจที่ท่านเรียกว่า มนสิการ
ส่วนคำแปลชื่อต่อไปนั้นท่านแปลว่า ความรู้ทางหู ความรู้ทางจมูก ความรู้ทางลิ้น ความรู้ทางกาย และความรู้ทางใจ ตามลำดับ
ข.ปฏิสนธิวิญญาณ
คือวิญญาณตามองค์ปฏิจจสมุปบาท ท่านบอกว่าเป็นตัวไปถือปฏิสนธิในกำเนิดทั้ง ๔ คือ เกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดในสิ่งสกปรก และเกิดโดยผุดขึ้นในกำเนิดใดกำเนิดหนึ่งตามอำนาจของกรรม องค์ประกอบแห่งวิญญาณนี้ คือ อวิชชา หรือกิเลส สังขาร คือกรรม หากไม่มี กิเลส กับกรรม วิญญาณ นี้ก็เกิดไม่ได้
ค.วิญญาณธาตุ
เป็นธาตุอย่างหนึ่งในธาตุ ๖ ประการที่มีอยู่ในตัวคนตามนัยแห่งพระพุทธภาษิตที่ว่า “ฉ ธาตุโย ปุริโส” แปลว่าบุรุษนี้มีธาตุ ๖ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณ องค์ประกอบให้วิญญาณส่วนนี้ดำรงอยู่ คือ กิเลส และกรรม เช่นเดียวกัน แต่ท่านเรียกว่า อาสวะ และบารมี คือความชั่วและความดีพร้อมด้วยกิเลสที่บุคคลเก็บสร้างสมไว้ในชาติก่อนและชาติปัจจุบัน ซึ่งมีประมาณมากน้อยแห่ง อาสวะและบารมีมีส่วนอย่างสำคัญในการกำหนดบทบาทและวิถีชีวิตของคน
วิญญาณเท่าที่พบในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามีเพียง ๓ ประการเท่านั้น ส่วนวิญญาณที่พูดกันว่า “เชิญวิญญาณของคนนั้นคนนี้มาเข้าทรงนั้น” ไม่เคยพบที่มาในชั้นบาลี วิญญาณทั้ง ๓ ประเภทนี้จึงเป็นอาการของจิต แต่เมื่อทำหน้าที่รู้รูปเป็นต้น ท่านเรียกวิญญาณตามชื่อของอายตนะที่ทำหน้าที่รู้ว่า จักขุวิญญาณเป็นต้น ตัวที่ทำหน้าที่ที่รู้จริง ๆ จึงป็นจิต ตา หู จมูก ลิ้น กาย มโน ท่านจึงเรียกในที่บางแห่งว่า ทวาร หมายถึงประตู ที่ผ่านของรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอารมณ์ทั้ง ๕ นี้จึงเหมือนน้ำที่ไหลจากที่สูง ตกลงไปขังอยู่ในที่ราบลุ่มอันเปรียบเหมือนจิต
ที่ว่าลองค้นคว้าทางวัตถุแล้วแต่ไม่อาจทราบได้ด้วยประสาททั้ง ๕ นั้น จึงอาจเป็นไปได้ ๒ ประการ คือ
ประการแรก ไม่ทราบวิญญาณนั้น คืออะไร
ประการที่สอง ตัวทำหน้าที่รู้จริงๆคือจิต การรู้วิญญาณ จึงเป็นงานของประสาทที่ ๖
ปฏิสนธิวิญญาณเป็นเรื่องที่ยากแก่การเข้าใจมากเพราะเป็นขบวนการทางปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าเองทรงตรัสรู้แล้วได้พิจารณากลับไปกลับมาถึง ๗ วัน ที่น่าสังเกตคือตอนดับท่านเรียกว่า จุติจิต ตอนที่ปฏิสนธิท่านเรียกว่า ปฏิสนธิวิญญาณ ฝ่ายอากาศธาตุ กับวิญญาณธาตุในธาตุ ๖ นั้น ให้สังเกตว่าในชั้นแรก ท่านสอนให้รู้เพียง ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อผ่านรูปฌานไปแล้วจึงเริ่มสอนให้เรียนรู้เรื่อง อากาศ กับวิญญาณ ในเชิงปริยัติแล้วเรื่องของวิญญาณไม่ยากที่จะเข้าใจ แต่ความรู้ความเข้าใจวิญญาณที่ถูกต้องสมบูรณ์นั้นจะต้องดำเนินไปในวิถีทางแห่งการปฏิบัติ
เมื่อสมัครใจพิสูจน์ต้องพิสูจน์ด้วยเครื่องมือและกรรมวิธีตามที่ท่านได้แสดงเอาไว้โดยไม่พยายามพิสูจน์รสอาหารด้วยตาเพราะทำอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้อย่างแท้จริง.