วันนี้ ไม่มีอะไรจะเขียน แต่มานั่งคิดเล่น ๆ ว่า ในเมื่ออิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ สำเร็จขึ้นมาด้วยจิตที่แน่วแน่ คือจิตที่ฝึกฝนมามากกว่าคนธรรมดาทั่วไป จะเรียกว่า ฌาน หรืออะไรก็ตาม แต่ต้องเป็นจิตที่ฝึกฝนอบรมมามากกว่าคนทั่วไป เมื่อจิตที่ฝึกมาในระดับที่ควรค่าแก่การนำมาใช้งาน ถ้าใช้ทางดีก็เรียกว่า สัมมาสมาธิ ถ้าใช้ในทางไม่ดี ก็เรียกว่า มิจฉาสมาธิ
สมาธิหรือจิตเมื่อถึงที่ควรแก่งานแล้ว อาจจะสามารถแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ ที่ท่านเรียก อภิญญา สามารถสะเดาะกุญแจได้ ทำวัตถุให้เคลื่อนที่ได้ อย่างวิชาเสกหนังควายเข้าท้อง หรือปล่อยวัวธนู เป็นต้น
ในเมื่อความสามารถต่าง ๆ จากวิชาดังกล่าวสำเร็จขึ้นจากจิต ทำไมอาจารย์เก่าก่อนจึงต้องให้ใช้คาถากำกับด้วย ทำไมไม่ใช้จิตอย่างเดียวในการแสดงอิทธิฤทธิ์ หรือแสดงวิชาสะเดาะกุญแจ ทำให้คนให้หลับไหล ปล่อยวัวธนู ปล่อยหนังควาย เป็นต้น
เหตุว่า จิตที่ฝึกฝนอบรมมานั้นมันมีกำลังมาก ธรรมดาจิตของคนเรานั้นมันเร็วอยู่แล้ว คิดทั้งดีและชั่ว ยากที่จะตามจิตได้ทัน หากคิดดีก็ดีไป หากคิดชั่วผลชั่วก็จะเกิดขึ้นกับบุคคลหรือสิ่งที่เราคิดนั้น ด้วยเหตุนั้น ครูอาจารย์จึงได้ให้บทคาถาต่าง ๆ เป็นสิ่งกำกับจิตไว้ คือต้องผ่านการสวดคาถาตามแบบที่อาจารย์กำหนดไว้ก่อนจิตจึงจะแสดงฤทธิ์ได้ ไม่ใช่แค่คิดอย่างเดียวแล้วจะสำเร็จผล เช่น ถ้าต้องการให้คนรักให้กำหนดจิตที่ฝึกถึงขั้นแล้วนั้นสวดคาถาบทนี้ ถ้าต้องการให้คนฉิบหายให้กำหนดจิตที่ฝึกมาแล้วจึงว่าคาถาบทนี้ จิตจึงจะแสดงอำนาจตามความต้องการได้ จึงกล่าวได้ว่า คาถาคือระหัสลับของจิตเพื่อใช้จิตให้เป็นไปตามความปรารถนา
แต่บางท่านที่ฝึกจิตมีกำลังมากแล้ว มีความชำนาญแล้ว และสามารถควบจิตของตนได้แล้ว สามารถรับผิดชอบการกระทำของจิตได้ มีสติตามระลึกได้ อาจจะทะลุบทคาถาไปได้ คือไม่ต้องผ่านบทคาถาใด ๆ ก็สามารถใช้พลังอำนาจของจิตนั้นได้