สันโดษ คือการปล่อยชีวิตไปตามยถากรรมหรือ
การสอนให้คนสันโดษยินดีตามมีตามได้ จะมิเป็นการปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม และทำให้ล้าหลังหรือ?
ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ใครบอกว่าต้องเป็นอย่างนั้นละ? เรื่องนี้น่าเห็นใจเหมือนกัน เพราะคนเราส่วนมาก มักจะอธิบายในสิ่งที่ตนรู้เกินจากขอบข่ายความรู้ของตน ความสับสนในการทำความเข้าใจก็เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา เรื่องสันโดษพูดกันจนเป็นภาษาไทย โดยไม่ได้ตามไปดูว่าคำนี้ความหมายของพระศาสนาท่านอธิบายไว้อย่างไร ในเมื่อต้องการจะพูดในความหมายของศาสนา ก่อนอื่นได้โปรดทำความเข้าใจว่าพระพุทธศาสนา มีคำสอนระดับสำหรับตัดสินพระธรรมวินัยอยู่สองข้อ ที่คนฟังมักจะตีความสับสนกันคือ
๑.ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความอยากอันน้อยหาเป็นไปเพื่อความอยากมากไม่
๒.ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความสันโดษหาเป็นไปเพื่อความไม่สันโดษไม่
พึงทราบว่านี่เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา จะพบว่าหลักตัดสินว่าคำสอนเรื่องอะไรเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ใช่นั้น ทรงประทานหลักสำหรับตัดสินไว้ ๘ ข้อ ใน ๘ ข้อนั้น ๒ ข้อ นี้เป็นหลักสำหรับตัดสินว่าคำสอนในลักษณะที่เป็นเช่นไร จึงจัดว่าเป็นธรรมวินัย เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น
“สันโดษคือความยินดีตามดีตามได้กับความปรารถนาน้อยเป็นคำสอนคนละเรื่องกัน”
แม้ในกถาวัตถุคือถ้อยคำที่ควรพูด ๑๐ ประการ พระผู้มีประภาคเจ้าตรัสแสดงแยกถ้อยคำสอนเรื่องนี้ออกเป็นเรื่องละฝ่ายกัน คือ
อัปปิจฉกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย
สันตุฏฐิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สันโดษยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้
ความปรารถนาน้อยเป็นคำสอนสำหรับพระโดยเฉพาะ แต่สันโดษเป็นคำสอนทั้งแก่พระและชาวบ้านโดยมีการอธิบายความหมายออกไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจไม่สับสนในทางความคิด ความเข้าใจ และการปฏิบัติ แต่โดยทั่วไปคนเข้าใจสันโดษไปในทำนองของคำกล่าวที่ว่า
“ตำข้าวสารพอกรอกหม้อ”การหลีกเร้นออกจากหมู่หาความสงบไม่เกี่ยวข้องกับสังคม ว่าเป็นลักษณะของคน เกียจคร้าน ปวิเวก คือการแสวงหาที่สงัด และอสังสัคคะ คือการไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะตามลำดับ ว่าเป็นลักษณะของคนสันโดษ
เมื่อบุคคลเข้าใจยอมรับความหมายของสันโดษในลักษณะนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจที่มีคำถามข้างต้นเกิดขึ้น
สันโดษคือความยินดีในปัจจัยตามมีตามได้นั้น ท่านจำแนกอธิบายไว้ว่าอย่างไร ?
สันโดษเป็นมงคลชีวิตประการหนึ่งในมงคล ๓๘ ประการ ซึ่งเป็นหลักการเหมือนขั้นบันไดที่จะนำคนผู้ปฏิบัติให้สามารถยกระดับจิตของตนให้สูงขึ้น ๆ ถึงเหนือกระแสแห่งโลก ท่านได้จำแนกสันโดษออกไปเป็น ๓ ลักษณะ คือ
๑.ในด้านแสวงหาเนื่องจากชาวบ้านนั้นมีธรรมคือ สัมมาอาชีวะซึ่งตรงกันข้ามกับศีลข้อที่สองและความสุขอันเกิดขึ้นจากการทำงานที่ปราศจากโทษเป็นหลักและเป้าหมายควบคุมอยู่แล้ว แสดงว่าการแสวงหาปัจจัยในการดำรงชีวิตของบุคคลจะต้องอยู่ในกรอบของสัมมาชีพสันโดษ ในชั้นนี้จึงให้คนทุ่มเทกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังความคิด บริวาร ลงไปในการแสวงหาปัจจัยได้อย่างเต็มที่ด้วยความเพียรพยายาม ไม่เกียจคร้าน ไม่ขูดรีดทรัพย์เรี่ยวแรงของคนอื่นท่านเรียกว่า ยถาพลสันโดษคือยินดีด้วยกำลังของตน
๒.ในขั้นได้ทรัพย์สมบัติปัจจัยต่างๆมาด้วยความพยายาม ตามกำลังกาย ความรู้ กำลังทรัพย์ บริวารเป็นต้น ได้มาเท่าไรก็ให้ยินดีเท่านั้นไม่โลภอยากได้ของๆ คนอื่นมาไว้ในครอบครองของตน โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายและศีลธรรม เมื่อใช้กำลังดังกล่าวแล้วจะได้มากเท่าไรก็ไม่ถือว่าเป็นการเสียสันโดษ ท่านเรียกสันโดษระดับนี้ว่า ยถาลาภสันโดษคือยินดีตามที่ได้มาจะมากหรือน้อยก็ยินดีตามนั้น
๓.ในขั้นการใช้จ่าย การใช้สอย ท่านยินดีตามสมควรแก่ฐานะ ปัจจัย ทรัพย์ สำหรับชาวบ้านคือหลักสมชีวิต คือ เลี้ยงชีวิตพอสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่ตนได้มาและมีอยู่ไม่ให้เดือดร้อนเพราะความตระหนี่และสุรุ่ยสุร่ายจนเกินพอดีสันโดษระดับนี้ท่านเรียกว่า ยถาสารุปปสันโดษ คือยินดีตามสมควรแก่ทรัพย์ ฐานะ ความจำเป็น ปัจจัย เป็นต้น
ด้วยความหมายของสันโดษที่กล่าวมานี้จะพบว่าการสอนและการปฏิบัติตามสันโดษคือมีความยินดีตามสมควรแก่ฐานะนั้นๆ เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบปลูกฝังให้เกิดภายในจิตใจของคนทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
“คนที่มีขอบข่ายความรับผิดชอบด้านการเงิน การงาน บุคคล เป็นต้นมากๆ”
ความล้าหลังที่เกิดขึ้นในสังคมหากจะถือว่ามีอยู่แล้ว ได้โปรดเข้าใจว่าหาใช่เป็นคนในสังคมต่างมีสันโดษกันไม่ ที่แท้แล้วเป็นเพราะคนขาดแคลนสันโดษอย่างแรงนั่นเอง สภาพเช่นนั้นจึงได้เกิดขึ้น.