อยู่มานานจนกลายเป็นพระเจ้า
เคยอ่านอรรถกถาแห่งพระสูตรหนึ่ง น่าเสียดายที่จำชื่อพระสูตรนั้นไม่ได้
เรื่องมีประมาณว่า
“มีพรหมตนหนึ่งอยู่ในพรหมโลกมานานแสนนาน ต่อมาท่านได้ดำริว่า ถ้ามีพรหมมาอุบัติร่วมพรหมโลกกับเราจะเป็นอย่างไร และไม่นานก็มีพรหมเหล่าอื่นอุบัติขึ้น ต่อมาท่านก็ดำริว่า ถ้าพรหมเหล่านี้ เหล่านั้นไปจุติเสียที่อื่นจะเป็นอย่างไร ไม่นานพรหมเหล่านั้น ๆ ก็ไปจุติที่อื่นเสีย
ท่านคิดแบบนี้มานาน อยู่มานาน เห็นการอุบัติ เห็นการจุติ ตลอดเห็นการเสื่อมความเจริญของสัตว์โลก จนคิดว่าทุกอย่างเป็นไปตามความคิดของตนเอง คิดว่าตนเองเป็นผู้สร้าง คิดว่าตนเองเป็นผู้ลิขิต หารู้ไม่ว่า พรหม เทวดา หรือสรรพสัตว์ที่ท่านคิดว่าตนเป็นผู้สร้าง เป็นผู้ลิขิตนั้นต่างก็อุบัติ จุติ เสื่อมหรือเจริญตามยถากรรมของสรรพสัตว์เอง แต่ท่านคิดว่าตนเองเป็นอมตะไม่มีวันตาย เพราะอยู่มานาน ถ้าพูดแบบทุกวันนี้ก็คือหลงตนเองคิดว่าเป็นพระเจ้าเสียเอง จนพระพุทธเจ้าแสดงธรรมะเพื่อให้รู้ความจริง ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือกฎแห่งไตรลักษณ์
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้ แม้บนโลกนี้ ยกตัวอย่างโยมที่วัดแห่งหนึ่ง อยู่มานาน รู้การเปลี่ยนแปลงของวัด รู้การไป การมาของพระ รู้ว่าพระรูปนั้น มาจากไหน จะไปไหน ทำอะไรอย่างไร รู้การเปลี่ยนแปลงเจ้าอาวาสไปหลายรูป รู้รูปเก่าไป รูปใหม่มา รู้และอยู่แม้ในช่วงที่ว่างจากเจ้าอาวาส อยู่มานานจนอาจจะคิดว่าตนเองเป็นเจ้าอาวาสเสียเอง ใครพูดอะไรก็ไม่ได้ ห้ามอะไรก็ไม่ได้ คิดว่าตนเป็นใหญ่เสียทุกอย่าง ใครมาทีหลังต้องเชื่อฟังเขาทุกอย่าง
ถ้าเรื่องในสมัยพุทธกาล ก็นึกถึงพระฉันนะ ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง เพราะถือว่าตนเองพาเจ้าชายสิทธัตถะออกบวชจึงได้เป็นพระพุทธเจ้า ส่วนพระรูปอื่นๆ ถึงจะเป็นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอัครสาวก ท่านก็ไม่ฟัง เพราะถือว่ามาทีหลัง