หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต
วัดป่าสุทธาวาสตำบลธาตุเชิงชุม
อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
หลวงปู่มหาทองสุข สุจิตฺโต นามเดิม ทองสุก นามสกุล มหาหิง เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2451 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก ที่ตำบลห้วยหวาย อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี (ปัจจุบันเป็นอำเภอพุทธบาท) บิดาชื่อนายเลี้ยง มารดาชื่อ นางบุญมี พี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งมีชีวิตและมรณภาพไปแล้ว 10 คน ท่านเป็นคนที่ 2
การบรรพชา-อุปสมบท
ภายหลังที่ได้ศึกษาอักขระสมัยตามสมควรแล้ว ท่านก็ได้เข้าไปศึกษาธรรมเพื่อฝึกบรรพชาเป็นสามเณรต่อไป เมื่ออายุ 16 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร โดยมีพระธรรมธีรราชมหามุนี(สิริจนฺโท จันทร์ที่รู้จักกันในสมัยนั้นมากกว่า พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ นักธรรมกถึกอกในสมัยนั้น) เป็นพระอุปัชฌา เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2466 อยู่ที่วัดปทุมวนารามท่านได้พยายามศึกษาปริยัติธรรมจนสอบนักธรรมชั้นตรีได้เมื่อ พ.ศ. 2466 ครั้นอายุครบที่จะอุปสมบทได้แล้ว ท่านก็ได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2470 ณ พัทธสีมาวัดปทุมวนาราม อ.ปทุมวัน จ.หวัดพระนคร โดยมีพระปัญญาพิศารเถร (หนู) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดบุญมี อืนทเชฏฐโก เป็นพระกรรมวาจาจารย์สำเร็จญัตติจตุตถกรรมวาจา เวลา 13.38 น.
ลำดับหน้าที่การงาน
การศึกษา และสมณศักดิ์ พ.ศ. 2470 สอบได้ น.ธ. และเป็นครูนักธรรมที่วัดปทุมวนาราม พ.ศ. 2472 สอบได้เปรีญ 3 เป็นครูสอนบาลีที่วัดปทุมวนาราม เมื่อพ.ศ. 2472-2474 พ.ศ. 2474 สอบได้ น.ธ. โท พ.ศ. 2475-2476 เป็นครูสอนบาลีทีวัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ พ.ศ. 2483-2484 เป็นเจ้าอาวาสวัดทรายงาม ต.หนองบัว อ.เมือง จ.จันทบุรี พ.ศ. 2485 เป็นเจ้าอาวาสวัดสุทธาวาสวัดป่าบ้ายห้วยหีบ ต.ตองโขบ อ.เมือง จ.สกลนครจนถึง พ.ศ. 2488 พ.ศ. 2488 เป็นเจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส จนถึง พ.ศ. 2507 พ.ศ. 2495 เป็นเจ้าคณะอำเภอเมือง จ.สกลนคร พ.ศ. 2497 ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูอุดมธรรมคุณชั้นโท พ.ศ. 2498 เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ. 2503 ได้รับเลื่อนเป็นพระครูชั้นเอก
ประวัติการไปธุดงค์และการปฎิบัติศาสนกิจต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
พ.ศ. 2474 ภายหลังจากออกพรรษาปีนี้ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ได้ขอให้ท่านไปเป็นครูสอนปริยัติธรรม ณ ที่วัดเจดีย์หลวง ท่านได้ไปตามคำขอร้องนั้น และได้ทำการสอนปริยัติธรรม ซึ่งพอดีกับท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต อาจารย์ใหญ่ของคณะกรรมฐาน ก็ได้ถูกขอร้องจากเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ให้มาดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงเช่นกัน
ท่านได้พักอยู่ไต้ถุนกุฏิท่านอาจารย์มั่น ท่านว่าได้ประโยชน์ 2 ประการ ประการที่ 1 ท่านได้ฟังเทศน์ท่านอาจารย์มั่น ประการที่ 2 ได้สอนปริยัติธรรมไห้ภิกษุสามเณร
ตอนกลางคืนอาจารย์มั่น ได้สอนกรรมฐาน วิธีปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้นของการทำจิตต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนของท่านหนักไปทางกรรมฐาน คือให้พิจารณา ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง ท่านได้ให้เหตุผลว่า ทุกคนเกิดมาได้ไปติด-คือยึดมั่นที่อื่นหรอก โดยเฉพาะก็มายึดมั่นถือมั่นที่ ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง นี้เอง ให้พยายามพิจารณา ให้ตามความเป็นจริงแกการยึดถือ ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง เป็นสิ่งสวยงาม สามารถแห่งกำลังสมาธิก็จะเป็นทางไปสู่ความเป็นอริยะเจ้าได้
พ.ศ. 2475 ท่านเจ้าคุณูปมาจารย์ มรณภาพท่านอาจารย์มั่นก็ธุดงค์เข้าไปในป่าภูเขาไม่กลับ เมื่อท่านอาจารย์มั่นเที่ยวแสวงหาความสงบวิเวกตามถ้ำหุบห้วยภูเขาอยู่กับพวกชาวป่าชาวเขาไม่รับหน้าที่อะไรทั้งหมดที่ทางการแต่งตั้งถวาย โดยเฉพาะท่านได้ถูกแต่งตั้งเป็นพระครูวินัยธร ฐานาของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมวชิรญาณวโรรสและเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง
เมื่อเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นอย่างนี้ ท่านพระครูอุดมธรรมคุณ ท่านจึงกลับมาที่วัดปทุมวนาราม (สระปทุม) เมื่อท่านกลับมาแล้วทางวัดก็ขอร้องให้ท่านสอนบาลีต่อไปอีกแต่ท่านก็ไม่รับ เนื่องจากท่านมีความประสงค์แน่วแน่ที่จะปฏิบัติกรรมฐาน คือการปฏิบัติทางด้านจิตใจ ประกอบกับที่ได้รับการแนะนำจากท่านอาจารย์มั่นมาแล้ว
พ.ศ. 2476 ดังนั้นปีนี้ท่านจึงได้เดินทางร่วมกับ พระกายมุนี (โฮม) และสามเณรประมัยนี้แตกฉานในการปฏิบัติมาก สามเณรจะคอยเป็นผู้แนะนำทางจิตอยู่เสมอ และพวกเราก็เชื่อถือสามเณรมาก ได้พักจำพรรษาที่บ้านหนองคาง ประจวบคคีรีขันธ์ ท่านได้ปรารถความเพียรเริ่มบำเพ็ญกรรมฐานอย่างจริงจัง เมื่อสงสัยอะไรก็ได้สามเณรประมัยเป็นที่ปรึกษา
ณ ปีนี้เองสามเณรประมัยปรารถนาความเพียรอย่างยิ่งใหญ่ ไม่นอนตลอดพรรษาจนเชื่อมั่นว่าตนเองว่าได้สำเร็จพระอนาคามี
ขณะอยู่ที่นี้มีอีกามาก ยิ่งเลี้ยงยิ่งมากขึ้นจนเป็นที่รบกวน จิกกัดข้าวของเสียหาย ยิ่งกว่าสุนัข จนเป็นที่รำคาญ ภายหลังได้หาวิธีไล่จนมันหนีไปหมด
วันหนึ่งท่านเล่าว่า ท่านกับสามเณรประมัยกำลังนั่งสนทนาธรรมกัน ได้มีงูจงอางขนาดใหญ่ประมาณเท่าต้นหมาก วิ่งพุ่งปรูดเข้ามาตรงพวกเราทั้งสอง ไม่ทราบว่าจะหนีอย่างไรจึงหยุดพูดแล้วเจริญเมตตาฌาน ทำจิตให้สงบ ขณะที่งูตัวนั้นมันกำลังจะเข้าถึงพวกเราอีกประมาณวาเศษ ๆ ก็ได้มีสุนัข 5 ตัวกระโดดเข้ามาขวางทางงู ได้เกิดการต่อสู้กันระหว่างสุนัข 5 งู 1 งูสู้ไม่ไหวเลยหนีไป แต่ในวัดที่แท้จริงไม่มีสุนัขสักตัวเดียว
เมื่อท่านได้อาศัยอยู่ในวัดนี้ก็ได้ปฏิสังขรณ์สิ่งต่าง ๆ มีการสร้างศาลาขึ้นมาหนึ่งหลังกว้าง 4 วา ยาว 6 วา พอได้อาศัยสวดมนต์ภาวนากัน น้ำก็หายากจึงได้ขุดบ่อขึ้น 1 บ่อ ได้น้ำจืดสนิทดี นับว่าเป็นความสำเร็จทีสำคัญ เพราะบ่อนั้นได้ใช้มาจนบัดนี้ทั้งชาวบ้านด้วย การก่อสร้างเหล่านี้ได้เพราะสามเณรประมัยได้เขียนหนังสือปฏิบัติกรรมฐานขึ้นหนึ่งเล่ม ได้รับความสนใจจากประชาชนมาก ช่วยกันบริจาคจนพอ
มีเหตุการณ์ที่น่าหวาดเสียวเกิดขึ้น ในคราวหนึ่ง คือขณะที่ท่านพาชาวบ้านไปตัดต้นสำโรงจะเอามาทำการก่สร้าง มีคนมาช่วยกัน 10 กว่าคน ในระหว่างที่พักรับประทานอาหารอยู่นั้น นายนาคเป็นสอนเขาฟันขวาน ๆ หลุดกระดอนกลับตรงถูกคอพอดี แต่หลบทันมิฉะนั้นตายแน่ นายนาคคนนี้เป็นนักเลงเก่า ได้มาฟังธรรมของท่านก็เลิกเป็นนักเลง เข้ามาปฏิบัติธรรมเป็นคนดี
หลังจากที่จำพรรษาที่บ้านคางแล้ว ท่านเดินธุดงค์จากนั้นเพื่อติดตามท่านอาจารย์มั่นภูริทัตตเถระ เรื่อยไป จากประจวบคีรีขันธ์ลงเขาเต่า ไปทางจังหวัดสุพรรณบุรี เดินผ่านดงไปจะไปอุตรดิตถ์ ไม่เคยเดินทางลัด ไปหลงอยู่ในดง 3 วันไม่มีบ้านคนเลยนอนอยู่ในป่าใหญ่ มีแต่เสียงช้างเสียงเสือเป็นที่น่าสะพรึงกลัวทำให้ท่านไม่ต้องหลับนอนพักทำสมาธิ 3 วันไม่ได้ฉันอาหาร มีแต่ฉันน้ำ ท่านว่า แหม…เราตอนนี้นึกว่าตายแน่ ๆ จึงทำให้เกิดสมาธิอย่างดีนับเป็นประวัติการณ์สำคัญทีเดียว
ท่านอาจารย์มั่นท่านสอนไว้เมื่ออยู่วัดเจดีย์หลวงนำมาใช้เมื่อคราวสำคัญในคราวนี้ จนทะลุดงใหญ่ออกมาได้ กินเวลา 3 วัน 3 คืน โล่งใจไป จากนั้นก็มาถึงจังหวัดอุตรดิตถ์ วกกลับมาปากน้ำโพไปถึงแพร่ วกกลับมาพิจิตร ไปพิษณูโลกกลับมาอุตรดิตถ์อีก ทั้งนี้เดินเท้าทั้งนั้น และก็พักอยู่ตามป่า พักอยู่อุตรดิตถ์ 5 คือ บนภูเขาเป็นวัดเก่าสืบถามได้ความว่า ชื่อวัดสันทพงษ์ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ศิริจนโท จันทร์) เป็นผู้ก่อสร้างวัดนี้ ญาติโยมทั้งหลายก็พากันมานิมนต์จะให้อยู่สถาปนาวันนี้ ท่านบอกว่าจะไปหาท่านอาจารย์มั่น ท่านจึงเดินทางต่อไป ท่านบอกว่า วัดสันทพงษ์นี้ นายกว้าง นางเผื่อน 2 พี่น้องเป็นผู้สร้างขึ้น
ออกจากวัดนี้ ท่านก็เดินข้ามภูเขาแสนที่จะเหน็ดเหนื่อย ข้ามไม่รู้จักพ้นภูเขาเลย แต่ศรัทธาในท่านอาจารย์มั่น ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยหายไปหมด โดยความพยายามท่านข้ามภูเขาไปถึงจังหวัดลำปางได้สำเร็จ ท่านบอกว่าครั้งนั้นก็เป็นครั้งหนึ่งแห่งความพยายามที่ลำบากยิ่ง แต่สำเร็จโดยอาศัยบารมีของท่านอาจาย์มั่น ทำให้เกิดกำลังใจขึ้นแก่ท่านอย่างอัศจรรย์ทีเดียว
พ.ศ. 2477 เป็นเวลาจวนจะเข้าพรรษาเสียแล้วไม่สามารถที่จะติดตามท่านอาจารย์มั่นพบ จึงจำพรรษาที่ วัดป่าเชียงแสน อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ จำพรรษากัน 2 องค์ องค์หนึ่งชื่อ พระฐา เป็นพระเชียงใหม่
ออกจากพรรษานี้ ท่านได้กลับมาที่บ้านป่าสักขวาง ได้อยู่ที่นี้เป็นเวลาหลายเดือนถึงเดือน 6 ก็อยู่พักบำเพ็ญสมณธรรม ได้รับความสงบใจดี ก็เลยถือโอกาสอยู่นาน ๆ
วันหนึ่งเกิดพายุใหญ่พัดต้นสัก ได้หักล้มกันระเนระนาด แม้แต่กอไม้ไผ่ก็ยังโค่น กุฏิมีอยู่ 3 หลัง ถูกพายุพัดพังหมด ท่านออกมาหลบอยู่ข้างนอกหวุดหวิดจะถูกต้นสักล้มทับตาย กลดก็ถูกกุฏิล้มทับหักละเอียด มีกุฏิหลังหนึ่งถูกพายุพักไปทั้งหลังตกกลางทุ่งแหลกละเอียด ท่านจึงพักอยู่ต่อไปทำกลดใหม่จนสำเร็จ
หลังจากทำกลดสำเร็จแล้ว ท่านก็อยู่ทำความเพียรไปอีก 1 เดือน ก็เริ่มเดินทางไปสู่จุดที่ต้องการ คือการพบท่านอาจารย์มั่น จึงเดินธุดงค์ผ่านดงนี้ ภายในดงหาบ้านคนยาก ก็พอดีพบชาวบ้านเขากำลังตั้งร้านเลื่อยไม้กันอยู่ ถามทางที่จะเดินต่อไปก็พอทราบว่าจะต้องค้างคืนในดง เพราะไม่สามารถข้ามดงไปได้ในวันนี้ เมื่อไปต่อไปก็ต้องขึ้นภูเขา พอถึงหลังภูเขารู้สึกเหนื่อยมากและมืดพอดี ท่านจึงต้องพักค้างคืนบนภูเขานี้
การจำวัดบนภูเขาท่านก็พอดีไปพบแอ่งน้ำแห่งหนึ่ง ท่านจึงจำวัดในที่ใกล้ ๆ แอ่งน้ำนั้น พอตกกลางดึก พวกสัตว์จะมาลงกินน้ำ พอเห็นกลดของท่านเข้า ไม่กล้าเข้ามาพวกมันก็ร้องกันใหญ่ เป็นเสียงต่าง ๆ นา ๆ น่าสะพรึงกลัวในเสียงเหล่านั้น เป็นคล้ายช้างก็มี คล้ายเสือก็มี และมีเสียงนกต่าง ๆ ที่น่ากลัว เป็นเสียงแปลกประหลาดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำให้ต้องลุกขึ้นนั่งสมาธิอยู่ตลอดเวลา เห็นว่าไม่ได้การเพราะจะต้องเดินให้ถึงบ้าน มิฉะนั้นวันนี้จะไม่ได้ฉันอาหาร พอดาวประการพฤกษ์ขึ้น ท่านรีบจัดของเสร็จก็เดินทางต่อไป
การเดินทางของท่านไปถึงบ้านป่าฮิ้นตามคำบอกเล่าของพวกเลื่อยไม้ จึงพักบิณฑบาต ที่บ้านป่าฮิ้นนี้มีสิ่งสำคัญอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ที่ชาวบ้านนับถือกัน คือเขาผายอง พวกเขาพากันเชื่อว่า สถานที่ตรงนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับยืนอยู่ที่นี้ เพราะเป็นหน้าผาที่สวยงามและแปลกประหลาดทีเดียว
ความจริงท่านตั้งใจจะจำพรรษาที่นี้ แต่โดยความตั้งใจยังไม่ถึงจุดหมาย คือการพบท่านอาจารย์มั่น จึงไม่ได้จำพรรษาได้ข่าวว่าท่านอาจารย์สาร (เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านอาจารย์มั่น)อยู่ที่บ้านกกกอก เพื่อจะได้ไต่ถามถึงที่อยู่ของท่านอาจารย์มั่น ท่านจึงไปที่นั่นพบกับท่านอาจารย์สารพอดี และได้ทราบว่าท่านอาจารย์มั่นอยู่บนดอยกับพวกปะหลง (ชาวเขา) ท่านได้เดินทางต่อไปขึ้นไปดอยแม่กน เป็นดอยสูงพอประมาณ แล้วก็เดินกลับมาทางบ้านป่าฮิ้น ผ่านไปทางอำเภอพร้าว ได้ติดตามถามข่าวท่านอาจารย์มั่นจนจวบใกล้เข้าพรรษายังไม่พบ
พ.ศ. 2478 เมื่อเวลาจวนเข้าพรรษา ท่านก็จัดเสนาสนะตามีตามได้ อยู่จำพรรษากับท่านอาจารย์สาร ปรารถความเพียรทางในเป็นที่ตั้งรู้สึกว่าเกิดความสงบใจ และก็ได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์สารแทนท่านอาจารย์มั่นไปพลาง ก็ได้ผลพอสมควร
ครั้นออกพรรษาเกิดเป็นไข้มาลาเลีย รู้สึกเกิดทุกข์เวทนามาก ท่านพยายามฝืนแล้วก็เดินทางต่อไป แต่รู้สึกอ่อนเพลียมาก จึงได้มาพักฟื้นอยู่ที่วัดบ้านโบสถ์ชั่วคราว มีสามเณร 2 องค์เลื่อมใสจึงมาอยู่ด้วย ติดตามท่านไป แล้วท่านก็กลับไปทางดอยแม่กนอีก จากนั้นท่านก็ไปบ้านป่าไหน
ณ ที่นี้เองจุดมุ่งหมายปลายทางที่ท่านได้พยายามบุกบั่นมาจนจะเอาชีวิตไม่รอดก็พลันสำเร็จขึ้นแก่ท่าน คือพบท่านอาจารย์มั่น ไม่ทราบว่าท่านรู้ว่าเรามาอยู่บ้านนี้ได้อย่างไร จู่ ๆ เวลาเย็นประมาณบ่าย 3 โมง ท่านก็มาปรากฏตัวให้เห็น ณ ที่อยู่นี้เอง ท่านมาองค์เดียว แบดกลดสพายบาตรมารุงรังทีเดียว
ท่านมีความรู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น รีบไปรับบริขาร แล้วท่านอาจารย์มั่นก็ทักท่านเป็นประโยคแรกว่า มาหาดนแล้วบ่อ แปลว่ามานานแล้วหรือ ท่านตอบ 2-3 วัน ท่านอาจารย์มั่นบอกว่าเรามาอยู่กับพวกมูเซอร์ บนดอยแม่กะตำ เราเดินทางมาเพื่อจะพบกับคุณ (หมายถึงอาจารย์มหาทองสุก) ผ่านบ้านป่าแนะ เราตั้งใจจะมาแนะนำอบรมให้ในทางจิตใจ ท่านอาจารย์มั่นพูดกับท่าน จากนั้นท่านอาจารย์มั่นก็พาท่านไปที่บ้านปู่จองน้อย ตอนนี้ชาวบ้านแกงตาว (เต่ารั้ง) กับเนื้อกวางให้ฉัน เขาหุงข้าวไม่รินน้ำดีมา กำลังฟื้นไข้อร่อยมาก
ตอนท่านมาองค์เดียวกับท่านอาจารย์มั่น ท่านเริ่มสอนวิชาปฏิบัติอย่างจริงจัง มั่น ณ ที่บ้านปู่จองน้อยนี้ ทั้งพานั่งสมาธิและเดินจงกลม และสำรวจวิถิจิตและท่านก็แนะนำถึงกรรมฐาน 5 มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงด้วยความสามารถแห่งสมาธิ และท่านแนะนำต่อไปว่า การพูดนั้นเป็นของง่ายนิดเดียว แต่การทำนั้นเป็นของยาก เช่นพูดว่า ทำนา เพียงเท่านี้เราทำกันไม่รู้กี่ปีไม่รู้จักแล้ว ปริยัติที่เรียนมานั้นให้เก็บไว้ให้หมดก่อน ใช้แต่การพิจารณาตามความเป็นจริง เพื่อให้เกิดความสงบอย่างจริงจัง ท่านอาจารย์มั่นท่านอธิบายต่อไปว่าสมาธิก็ดี มีคำว่า ขณิก-อุปาจาร-อัปปันนา และมีคำว่า วิตกวิจารณ์ นี่ปิติ สุข เอกักคตา แต่ถ้าเราเป็นฌาณ เราจะนั่งนึกว่านี่วิตก นี้วิจารณ์ นี้ปิติ นี่สุข นี่เอกักคตา มันจะเป็นฌาณขึ้นมาไม่ได้ จึงจะต้องละถอนสัญญาภายนอกด้วยสามารถแห่งอำนาจของสติ จึงจะเป็นสมาธิเป็นฌาณ
เมื่อท่านอาจารย์มั่นสอนแนวทางแห่งวิธีปฏิบัติได้ 2 วัน ท่านก็ส่งให้ไปในภูเขาลึกอยู่ห่างจากแม่กนประมาณ 10 ก.ม. และให้ไปแต่ผู้เดียว เพื่อให้ทำความเพียรอย่างเต็มที่ แล้วท่านอาจารย์มั่นท่านก็อยู่ที่แม่กนนั่นเอง เมื่อทำความเพียรไป ได้ความว่าอย่างไร ก็ให้มาถามท่านอาจารย์มั่นได้ที่แม่กน
การเดินทางไปภูเขานั้นเป็นห้วยลำธารเดินเลาะลัดไปเป็นทางที่ลำบากมากแต่ก็เป็นเรื่องของความเต็มใจ ความลำบากเหล่านั้นก็เป็นสิ่งธรรมดาไป
ครั้นถึงวันอุโอสถต้องมารวมกันที่จุดหมาย คราวนี้ก็เอาบ้านแม่กนเป็นจุดหมายประชุมกัน การประชุมทำอุโอสถนั้นนอกจากจะทำสังฆกรรมแล้ว ท่านอาจารย์มั่นก็ให้โอวาสต่าง ๆ เท่าที่จะอุบายสอน และไต่ถามถึงการปฏิบัติที่ผ่านมาว่าองค์ไหนเป็นอย่างไร ได้ผลอย่างไร จะต้องแก้ไขอย่างไร เป็นการทดสอบการปฏิบัติไปในตัว อุโบสถนี้มี 5 องค์ ท่านอาจารย์ใหญ่ (มั่น) ท่านอาจารย์สาร ท่านอาจารย์ขาว เราและท่านมนู
พ.ศ. 2479 หลังจากลงอุโบสถนี้แล้ว ท่านอาจารย์มั่นก็ออกจากบ้านนี้ไปอยู่ที่บ้านแม่งับ มีบ้านร้างอยู่ 1 หลัง คนแถว ๆ นี้มีอาชีพขุดเหมือง เศรษฐีเขาเอาน้ำไปจากแม่กนและแม่งับสำหรับทำเหมืองเป็นอันว่าปีนี้ 2479 ได้จำพรรษากับอาจารย์มั่น ณ ที่นี้ ด้วยกันทั้ง 5 องค์ มีท่านทองดี-มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะไปพบท่านอาจารย์มั่น ท่านทองดีศิษย์ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม
พอติดตามกับท่านเห็นความทุกข์ยากลำบากในการบุกบั่นเพื่อจะไปพบท่านอาจารย์มั่น ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์ติดตามมาจนได้ข่าวท่านอาจารย์มั่นแล้ว เลยกลับใจไม่ไปหาท่านอาจารย์ใหญ่ แล้วก็เลยไม่ได้พบกันอีก
พ.ศ. 2480 หลังจากจำพรรษาที่แม่กนนั้นแล้ว ออกพรรษาท่านก็ให้ไปทิศละองค์ เพื่อแสวงหาที่ทำความเพียร ต่างด้นดั้นไปตามภูเขาป่าใหญ่ อยู่แห่งละ 5 คืนบ้าง 10 คืนบ้าง เมื่อเห็นว่าที่ไหนจะสงบวิเวกดีก็อยู่นายหน่อย ถ้าเห็นว่าจะเป็นกังวลด้วยผู้คนกลัวจะเนิ่นช้าในการทำความเพียรก็รีบเดินทางต่อไป
เมื่อต่างเดินทางไปคนละทิศละทางแล้ว ท่านไปพบกับท่านอาจารย์มั่นที่บ้านยาง แม่ระตั๋ง อันเป็นที่อยู่ของพวกมูเซอร์ เป็นที่สงบวิเวกดีมาก ท่านอาจารย์มั่นจึงอยู่นาน และอยู่กับพวกชาวเขาสอนให้ชาวเขารู้จักศาสนาได้มาก มาคราวนี้พบกับท่านอาจารย์เทศ เทสรง ท่านอาจารย์อ่อนสี จึงภาวนาทำความเพียรอยู่ที่นี้ 10 วัน
ตอนนี้ท่านอาจารย์มั่น ท่านประสงค์จะไปอยู่แต่ผู้เดียวไม่ให้ใครยุ่ง ท่านอาจารย์เทศกับท่านอสจารย์อ่อนสีไปส่งท่านอาจารย์มั่นไปทางบ้านยาง เดินทางกันไป 2 คืน
พอมาถึงตอนนี้เสือชุมมาก ชาวบ้านไม่ยอมให้พวกเราเดินทางไปเอง พวกเขาพาชาวบ้านไปส่งในระยะกลางดงนั้นมีแต่รอยเสือให้ควักไขว่ไปหมด และเสือเหล่านั้นชอบกินวัวควายชาวบ้านตลอดจนถึงสุนัข ถ้าคนหลงเข้าไปคนหนึ่ง 2 คนก็ต้องตกเป็นเหยื่อของมันแน่แท้ ชาวบ้านกลัวมากจึงต้องยกพวกไปส่งพวกเรา ทั้ง ๆ ที่อาจารย์ใหญ่ท่านห้ามแต่ก็ไม่ขัดศรัทธา เขาจะไปส่งก็ดีเหมือนกัน
ปีนี้จำพรรษาที่บ้านแม่เจ้าทองทิพย์ (เป็นชื่อหมู่บ้าน) อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีท่านอาจารย์มั่น ท่านอาจารย์เทศ ท่านอาจารย์ขาว ท่านอาจารย์สาร ท่านมนู และท่านพระครูอุดมฯ
ในปีนี้ท่านอาจารย์มั่น ได้พาทำความเพียรเป็นกรณีพิเศษ และท่านได้อธิบายข้อปฏิบัติ และปฎิปทาต่าง ๆ มากมาย เช่น
- การปฏิบัติทางใจ ต้องถือการถ่ายถอนอุปาทานเป็นหลัก
- การถ่ายถอนนั้น ไม่ใช่ถ่ายโดยไม่มีเหตุ ไม่ใช่ทำเฉย ๆ ให้มันถ่ายถอนเอง
- เหตุแห่งการถ่ายถอนนั้นต้องสมเหตุสมผล ท่านอ้างเอาพระอัสสชิ แสดงในธรรมที่ข้อว่า เย ธมฺมา โหตุ ปภวา เตสํ เหตํ ตถาคโต
เตสญจฺ โย นิโรโธ จ เอวํ เวที มหาสมโณ
ธรรมทั้งหลายเกิดมาจากเหตุ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นดับไปเพราะเหตุ พระมหาสมณะ คือพระพุทธเจ้า มีปกติตรัสดังนี้ - เพื่อให้เข้าใจว่า การถ่ายถอนอุปาทานนั้นมิใช่ไม่มีเหตุ และไม่สมควรแก่เหตุ ต้องสมเหตุสมผล
- เหตุ ได้แก่การสมมติบัญญัติขึ้น แล้วหลงตามอาการนั้น เริ่มต้นด้วยการสมมติตัวของตนก่อน พอหลงตัวเราแล้วก็ไปหลงผู้อื่น หลงว่าเราสวยแล้วจึงไปหลงผู้อื่นว่าสวย เมื่อหลงตัวของตัวเองและผู้อื่นแล้ว ก็หลงพัสดุข้าวของนอกจากตัว กลับกลายเป็นราคะ โทษะ โมหะ
- แก้เหตุ ต้องพิจารณากัมมัฏฐาน 5 คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ด้วยสามารถแห่งกำลังของสมาธิ เมื่อสมาธิขั้นต่ำ การพิจารณาก็เป็นฌาณต่ำ เมื่อเป็นสมาธิชั้นสูงพิจารณาเป็นฌาณขั้นสูง แต่ก็อยู่ในกรรมมัฏฐาน 5
- การสมเหตุสมผลหมายถึงคันที่ไหน ต้องเกาที่นั้นถึงจะหายคัน คนติดกัมมัฏฐาน 5 หมายถึงหลงหนังเป็นที่สุด เรียกว่าหลงกันตรงนี้ ถ้าไม่มีหนังคงจะวิ่งหนีกันแทบตาย เมื่อหลงที่นี้ก้ต้องแก้ที่นี้ คือเมื่อกำลังสมาธิพอแล้ว พิจารณาก็เห็นจามความเป็นจริง เกิดความเบื่อหน่าย เป็นวิปัสสนาฌาณ
- เป็นการเดินตามอริยสัจจ์ เพราะเป็นการพิจารณาตัวทุกข์ ดังที่พระพุทธองค์แสดงว่าชาติปิทุกข์ ชราปิทุกข์ พยาธิทุกข์ มรนัมปิทุกข์ ใครเกิด ใครแก่ ใครเจ็บ ใครตาย กัมมัฏฐาน 5 เป็นต้นปฏิสนธิเกิดมาแล้ว แก่แล้ว ตายแล้ว จึงชื่อว่า พิจารณากัมมัฏฐาน 5 เป็นทางพ้นทุกข์ เพราะพิจารณาตัวทุกข์จริง ๆ
- ทุกข์สมุทัย เหตุเกิดทุกข์ เพราะมาหลังกัมมัฏฐาน 5 ยึดมั่นจึงเป็นทุกข์ เมื่อพิจารณาก็ละได้เพราะเห็นตามความเป็นจริง สมกับคำว่า รูปสมิปิ นิพพินทติ เมื่อเบื่อหน่ายในรูป (กัมมัฎฐาน 5) เป็นต้นแล้ว ก็คลายกำหนัด เมื่อเราพ้นเราก็ต้องมีฌาณทราบชัดว่าเราพ้น
- ทุกขนิโรธ ดับทุกข์ เมื่อเห็นกัมมัฏฐาน 5 เบื่อหน่ายได้จริง ชื่อว่า ดับอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น เช่นเดียวกับท่านสามเณรสุมนะ ศิษย์ท่านพระอรุรุทธ์ พอปรงผมหมดศรีษะ ก็ได้สำเร็จพระอรหัตต์
11.ทุกขคามิ่นีปฏิปทา ทางไปสู่ที่ดับ คือการเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ปัญญาเห็นชอบ เห็นอะไร? เห็นอริยสัจ 4 ได้แก่อะไร? ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค การเห็นจริงแจ้งประจักษ์ ด้วยความสามารถแห่งสัมมาสมาธิ ไม่หลงติดสุข มีสมาธิ เป็นกำลัง พิจารณากัมมัฏฐาน 5 ก็เป็นองค์มรรค
หลัก 11 ประการนี้กว้างขวางมาก ท่านอาจารย์แสดงกว้างขวาง ท่านอาจารย์พระครูอุดมท่านก็บันทึกย่อ ๆ เพื่อจะเป็นแนวทางปฏิบัติของท่าน เพราะปีนี้เป็นสำคัญทั้งศึกษาและปฏิบัติมิใช่ศึกษาอย่างเดียว
หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านเกิดอาการไข้มาลาเลียกำเริบขึ้นอีก จึงลาท่านอาจารย์มั่นไปพักรักษาตัวอยูที่จังหวัดเชียงราย พอท่านหายดีแล้วก็กลับมาที่บ้านเจ้าแม่ทองทิพย์ ไม่มีใครเหลืออยู่สักองค์ทุก ๆ องค์ต่างองค์ต่างไปวิเวกหมด ท่านจึงมาอยู่องค์เดียว กลางคืนเสือชุมคอยรบกวนอยู่ตลอดเวลา มาหาท่านใกล้ ๆ แต่มันก็ไม่ทำไม มาคอยจ้อง ๆ มองแล้วก็หายไป ครั้งแรกก็ทำให้เกิดความเสียว ๆ อยู่แต่พอเคยกันแล้วก็เฉย ๆ
อยู่มา 3 ปี พระครูนพรัตน์บูรพาจารย์ ก็เลยมาพาสร้างพระเจดีย์ เพราะมีเจดีย์เก่าอยู่ที่ที่นั่น ท่านพาชาวบ้านช่วยกันก่อสร้างเพิ่มเติม กินเวลาก่อสร้างถึง 4 เดือน สำเร็จเอาเมื่อเดือน 6
เมื่อสำเร็จแล้ว ชาวบ้านก็พากันฉลองกันเป็นการใหญ่ เวลาฉลองท่านอาจารย์ขาม ท่านมนู มาร่วมการฉลองโดยการทำบุญตักบาตร ผู้คนไม่ทราบว่ามาจากไหนมากมาย เพราะคนเมืองนี้ชอบและเลื่อมใส ในการก่อพระเจดีย์จริง ๆ มาถึงมาทำบุญไม่ต้องเป่าร้องรู้แล้วมาเอง ท่านทุกองค์ผลัดกันเทศน์โปรดญาติโยม ได้ผลประโยชน์ดีทีเดียว
พ.ศ. 2481 หลังจากการก่อพระเจดีย์ฉลองเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปถ้ำผาจม ใกล้เขตแดนพม่า ถ้ำนี้สบายมาก จึงอยู่ทำความเพียรเสียระยะหนึ่ง ตอนนั้นเป็นภูเขากั้นเขตไทยกับพม่า เสียงยิงกันแต่ไม่ถูกเพราะติดภูเขาไม่ข้ามเข้ามา
พอท่านพักทำความเพียรแล้ว เวลาใกล้เข้าพรรษา จึงเดินทางกลับเชียงใหม่พักอยู่จำพรรษาที่สันมหาพน การจำพรรษาปีนี้ ไม่ได้อยู่กับท่านอาจารย์ใหญ่ แต่ก็เป็นที่สงบสงัดดีพอสมควร ท่านก็อยู่กัน 2 องค์เท่านั้น เพราะต่างก็จะหาที่วิเวก ทำความเพียรกันตลอดเวลา
หลังจากออกพรรษาแล้ว มีพระเขือง พระมนู พร้อมกับท่านได้เดินธุดงค์ต่อไป ทั้ง ๆ ที่ยังจับไข้มาลาเลียอยู่ทุกวัน ท่านก็ยังพยายามเพื่อจะไปหาที่อยู่ที่วิเวกที่สุด
ขณะที่ท่านกำลังไปนั้น เผอิญพบกับพวก เตียวต่าง แปลว่าพวกพ่อค้าที่มีต่างบรรทุกบนหลังม้า พวกเขาพากันดีใจที่พบพระเพราะว่าไปกับพระปลอดภัยดี และเขาก็ได้ทำบุญไปด้วย
วันนั้นค่ำแล้วก็หยุดพักต่างกัน เขาทำอาหารมื้อค่ำมาถวาย ท่านก็ไม่ฉันพวกเขาพากันอ้อนวอนกันใหญ่ ท่านจึงแสดงเรื่องวินัยของพระให้เขาฟังว่า ผู้บวชเป็นพระแล้วครองผ้าเหลือ เป็นสมณศากยบุตร ต้องรักษาพระวินัยยิ่งกว่าชีวิตวินัยนั้นมี 227 ข้อ ข้อสำคัญคือปาราชิก 4 ต่อมาสังฆาทิเสส 13 อนิยต 2 นิสสัคคียปาจิตตีย์ 30 ปาจิตตี 92 ปฏิเทสนีย 4 เสขิยวัตร 75 อธิกรณสมถ 7
ท่านอธิบายต่อไปว่า พระภิกษุนั้นต้องปฏิบัติตามวินัย จึงจะเป็นพระที่ดี ถ้าล่วงพระวินัยเป็นพระเลว พระเป็นผู้เสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ร่างกายจะต้องเสียสละเพื่อธรรมวินัย ดังนั้นพวกท่านทั้งหลายจะมาให้เราฉันอาหารในเวลาเช่นนี้ เราฉันไม่ได้
จากเมืองกอง ไปถึงเมืองแหง พ่อเมืองแหงรู้ว่าท่านมาใช้ให้คนมารับ 2 คน ตอนนี้ท่านก็เริ่มเป็นไข้หนักเข้าทุกที จึงจำเป็นต้องพักรักษาตัวอยู่ที่เมืองนี้ พ่อเมืองเกิดความเลื่อมใส พยายามช่วยอนุเคราะห์เป็นศิลานุปัฏฐากอย่างเต็มที่ ท่านรักษาตัวอยู่ 2 เดือนเศษ พระมนู พระเขือง เลยไปก่อน
หลังจากเมืองพระเขือง พระมนูไปได้สิบวันโดยที่ท่านต้องการจะไปยังไม่หายดีท่านก็ตามไปทันท่านมนูที่ธาตุแม่สวย แล้วได้อยู่ที่นี่ 10 วีน แต่ไม่พบพระเขือง เพราะพระเขืองได้กลับไปเสียแล้ว ท่านมนูก็เลยแยกไปภูเขาลูกหนึ่งอยู่กับพวกปะหล่อง ท่านจึงเดอนทางไปแต่ผู้เดียว ไปถึงบ้านเชียงหลวง ไปพักอยู่ริมผั่งแม่น้ำเล็ก ๆ ข้าง ๆ ภูเขา น้ำใสไหลเย็นมีพุ่มไม้เกิดขึ้นตามริมฝั่งร่มเย็น ทรายแดงขาวปนกับเกล็ดเงินเกล็ดทองที่ถูกน้ำเซาะมาแต่ซอกหิน เป็นระยิบระยับ ฝูงนกมากมายหลายจำพวก มกากินตามชายฝั่ง จนไม่ทราบว่ามีนกอะไรบ้าง แถวนี้นับว่ามีทำเลดี ท่านว่าสบายแท้ จึงอยู่ทำความเพียรเป็นเวลานาน ได้รับความเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่งทั้งชาวบ้านก็ไม่รบกวนใส่บาตรให้ฉันแล้วก็แล้วกัน อยู่องค์เดียวไม่พูดอะไรกะใคร มีแต่อนุสรณ์ถึงแก่ธรรมแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
จากนั้นท่านเดินทางต่อไปเพื่อหาที่วิเวก และเพื่อเป็นการฝึกตัวเอง ก็บรรลุถึงบ้านหมากกายอน เป็นหมู่บ้านเล็กอยู่ระหว่างหุบเขา เป็นที่เงียบสงัดดี ท่านจึงพักอยู่ปรารภความเพียร ณ ที่นั้นอีก เป็นที่วังเวงมีแต่เสียงสัตว์ป่าร้องโหยหวล เฉพาะอย่างยิ่งชะนีมากทีเดียว เพราะมันส่งเสียงร้องระงมป่าไปหมด ตกกลางคืนก็พวกนกอูลอ ร้องคล้าย ๆ คนเรียก แล้วก็พวกนกเค้า ดูมันจะไม่ค่อยรู้จักคนเอาทีเดียว ท่านว่าท่านอยู่ในที่นี้เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง เป็นเหตุให้ระลึกถึงมรณานุสสติอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับหายห่วงอะไร ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นบรรยากาศที่เหมาะสมแก่สมณะแท้ ๆ
ท่านอยู่บำเพ็ญสมณะธรรมที่นี้พพอสมควรแก่กาล ก็เดินธุดงค์ต่อไป ข้ามห้วยนอยหลับ (ที่ว่าห้วยนอนหลับเพราะห้วยนี้ยาวมาก ต้องหลายคืนจึงจะเดินตลอด) ตอนนี้ข้ามเขตไทยถึงพม่าแล้ว เป็นป่าทึบมากทีเดียวมองไม่เห็นพระอาทิตย์เลย ขณะนี้ธดุงค์อยู่องค์เดียว อาศัยอาหารพวกชาวเขาป่านี้ ระหว่างเขตไทยพม่าเป็นป่าใหญ่มาก ท่านธุดงค์วกเข้าวกออกระหว่างเขตอยู่ 4 เดือนพอเห็นว่ามีขาวเขาอยู่ตรงไหน ท่านก็พักอาศัยอยู่กับเขา พอมีอาหารปะทังชีวิตได้ที่วิเวกพอได้บำเพ็ญสมณธรรม
ขณะที่ท่านอยู่กับชาวเขา ท่านได้อบรมให้ชาวเขาเหล่านั้นได้เข้าใจถึงพระพุทธศาสนา จนชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสในตัวท่าน จะไปทางไหนต้องติดตามไปช่วยถือบริขารบ้าง ปฏิบัติต่าง ๆ บ้าง
วันหนึ่งท่านเห็นพวกมันไปได้กวางมาตัวหนึ่งช่วยกันแล่เนื้อแล้วย่างแขวนไว้ เอาเข้าไปถวายท่าน ตอนเย็นเนื้อยังร้อนอยู่ท่านบอกว่าฉันไม่ได้ ต้องตอนเช้า แล้วพวกชาวเขาเหล่านั้น จะมาหาท่านาตลอดเวลาจนเป็นเรื่องของกังวล ท่านจึงออกเดินธุดงค์ต่อไปถึงเมืองเต๊ะจ่ะจนค่ำมืด เดินข้ามน้ำขนาดโคนขา ท่านก็เดินเรื่อยไป
คราวนี้ท่านทดลองเดินทางลัดไม่ไปตามทางและไม่ให้ชาวเขาเหล่านั้นติตตามไปด้วย ลัดป่า ขึ้นหิน ข้าวห้วยหลงทาง ไม่ทราบจะไปทางไหนดี นอนค้างกลางดงใหญ่นั่งภาวนาเต็มที่ นึกว่าเอาละคราวนี้ต้องตายกันที เพราะไม่รู้จะไปทางไหนจึงจะพบบ้านคน ภาวนาดีแท้ ๆ ท่านว่าคนเราถึงที่สุดมันก็แค่ตาย
ตื่นขึ้นแต่เช้า เดินทางต่อไป ไม่ได้ฉันอะไรเลย ฉันแต่น้ำพอประทังความกระหาย เดินไป 1 วันเต็ม ๆ พอดีเจอทางคนท่านก็เดินตามทาง พอดีพบเห็นแสงไฟ ท่านก็เดินเข้าไปหาแสงไฟ จึงพบหมู่บ้านใหญ่โตแบะพักอยู่จนรุ่งเช้าออกบิณฑบาตร ถามชาวบ้าน เขาบอกว่าที่นี่ชื่อเมืองทาเขตพม่า จึงพักอยุ่สามคืน ดีเหมือนกันท่านว่า มาพบผู้คนเสียที เขาดี พวกนี้เป็นพวกเงี้ยว (ไทยใหญ่) เป็นคนมีรูปร่างสอาดดี มีศิลธรรม การขายของไม่ต้องมีคนเฝ้า เจ้าของบางทีไม่อยุ่ในร้าน คนซื้อรู้ราคา เอาเงินไปใส่วางไว้แล้วก็เอาของไป ไม่มีโกงกัน ท่านถามชาวบ้านว่าของทำอย่างนี้ไม่หายหรือ เขาตอบว่า ไม่เสียหาย ไม่เคยมีเสียเสียหาย ไม่ขโมยกัน ถ้าใครขโมยคนนั้นไม่มีใครคบตลอดชาติ ผู้หญิงจะหาผัวไม่ได้ ผู้ชายจะหาเมียไม่ได้ ไม่มีใครต้อง ถือว่าเศษคน
ท่านตั้งใจจะธุดงค์ต่อไป พอดีมีพวกพ่อค้ากำลังเดินทางไปพอดี พวกชาวเมืองได้ถวายข้าวสารให้ไปกับพวกพ่อค้าเป็นการใหญ่ ท่านออกจากเมืองทาแต่เช้า ไปฉันเช้าที่นั้นเป็นบ้านร้างมีมะเขือเทศขึ้นมากมาย ท่านให้เขาเก็บเอามาฉันกับน้ำพริกแดง อร่อยมาก ฉันหมดไป 1 ฝาบาตร
พอฉันเสร็จท่านพักนิดหน่อย พวกพ่อค้าเดินไปก่อน ท่านเดินตามไปทีหลังไม่ทันเขา นึกว่าหลงกันเสียอีกแล้ว เพราะการเดินทางระหว่างนี้ ขึ้น ๆ ลง ๆ พอดีท่านไปพบบ่อน้ำร้อน ทดลองอาบ ต้องรีบขึ้นเพราะร้อนจัดจนลวกขาแดงไปหมด จากนั้นท่านก็เร่งฝีเท้าเป็นการใหญ่ พอดีทันพวกพ่อค้าเขาก่อไฟรอท่าท่านอยู่แล้ว เขาก็กลัวท่านจะหลงทางเหมือนกัน
รุ่งขึ้นเดินต่อไป คราวนี้ขึ้นภูเขาสูงที่สุดเลยก้อนเมฆซึ่งเป็นที่อาศัยของพวกปะหร่อง(ชาวเขา) ไปกับพวกพ่อค้า 2 คน ถ้าพวกพ่อค้าเหล่านี้ไม่พาไป ก็ไม่สามารถที่จะไปทางนี้ได้เลย เพราะหนทางสลับซับซ้อนมาก โดยเฉพาะต้องไต่ไปตามไหล่เขาส่วนมาก พวกพ่อค้าเขาเอาของไปแลกสินค้าบางประเภท ซึ่งเป็นของมีค่ามากอยู่บนนั้น ท่านจึงไปกับเขาได้ พอไปถึงยอดเขาพดีมืดถึงพวกปะหร่องอาศัยอยู่
เมื่อพวกพ่อค้าเขาทำธุระกิจของเขาเสร็จเขาก็กลับ ท่านอยู่กับพวกปะหร่อง ๆ ก็ยกกุฏิให้มันยกกุฏิอย่างแน่นหนาภายในกุฏิต้องมีเตาไฟ ทำเป็นสองชั้น เพราะหนาวต้องผิงไฟแล้วทำรั้วล้อม เนื่องจากเสือดุ
พ.ศ. 2482 ครั้นเมื่อท่านได้สถานที่เหมาะแล้ว ท่านอยู่จำพรรษากับพวกชาวเขาปะหร่อง ซึ่งเป็นยอดภูเขาสูงชันมาก และเป็นเขตพม่า ท่านอยู่องค์เดียว เขาทำกุฏิถวายให้เหมือนกับคอกหมู เพราะท่านบอกว่าจะเดินจงกรมในเวลากลางคืน เขาก็ทำยาวประมาณ 4-5 วา กลางคืนท่านลุกขึ้นเดินจงกรม เสือมันก็หมอบเฝ้าอยู่ข้าง ๆ แต่มันทำอะไรไม่ได้ เพราะอยู่นอกรั้ว
ปีนี้เป็นปีสำคัญ ที่ท่านไปปรารถความเพียรอย่างยิ่งยวดโดยพยายามเร่งความเพียร พยายามให้มีสติครอบครองจิตต์อยู่ตลอดเวลา ทั้งกลางคืนกลางวัน ไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวเป็นโอกาสอันดีแท้จิตต์ผ่องใสมีความเยือกเย็นสุขุมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะหาปีใดเสมอปีนี้ไม่มีเลย วิเวกทั้งกาย วิเวกทั้งใจ
การอยู่ของท่านอยู่สูงกว่าพวกปะหร่องขึ้นไปหน่อย ท่านลงมาบิณฑบาตรทุกวัน วันใดไม่มาเขาจะพากันนำขึ้นมาถวาย การแกงเห็ดต้องตำน้ำพริกเสียก่อน จึงจะไปเก็บเห็ด นี่เป็นธรรมเนียมของเขา เวลารับประทานอาหารเขาจะมีโตกสานด้วยไม้ไผ่ เอาข้าใส่โตกที่เดียวไม่ต้องมีจาน ตีวงล้อมทั้งครอบครัว เปิบข้าวด้วยฝ่ามือ
เมื่อท่านอยู่กับชาวเขาตลอดพรรษาแล้วก็คิดถึงท่านอาจารย์มั่น อยู่กับเขา 4 เดือนก็ลากลับ พวกเขาพากันร้องห่มร้องไห้กันใหญ่ เขาไม่อยากให้ท่านกลับเลย ท่านแทบจะไม่ได้กลับเสียแล้ว แต่ความที่ต้องการพบท่านอาจารย์มั่น โดยที่ต้องการกราบเรียนท่านถึงการทำจิตต์ที่ผ่านมา จึงตัดสินใจกลับ เดินกลับทางเก่าจนไปถึงเชียงใหม่ ทราบข่าวว่าท่านอาจารย์มั่นถูกท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) นิมนต์จากเชียงใหม่ไปจังหวัดอุดรราชธานี
ท่านจึงติดตามไป พอไปถึงกรุงเทพ ฯ ก็พอดีไปพบกับท่านอาจารย์กงมา จิรปุญโญ ชวนท่านไปทางจันทบุรี ท่านคิดว่าจันทบุรียังไม่เคยไป เลยตัดสินใจไปจันทบุรีแล้วเมื่อไปถึงจันทบุรีท่านก็ไปเที่ยวทั่ว ๆ ไป เพราะโดยปกติท่านไม่ชอบอยู่เฉยอยู่แล้ว ท่านได้ไปช่วยท่านอาจารย์จันทร์ เขมปตฺโต สร้างวัดที่บ้านยางระหง อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
พ.ศ. 2483 – 2484 – 2485 ปีนี้ท่านก็ได้จำพรรษาที่วัดทรายงาน อ.เมือง จ.จันทบุรี กับผู้เขียนเป็นเวลา 1 ปี เนื่องจากท่านอาจารย์กงมาท่านไม่ได้จำพรรษาที่วัดทรายงาม ท่านไปสร้างวัดใหม่ที่เขาน้อยท่าแฉลบ จันทบุรี และจำพรรษาอยู่ที่นั่น
ปีนี้เองท่านก็ได้สอนการแปลหนังสือ บาลี-ไทย ให้แก่ผู้เขียน เพราะไวยากรณ์นั้นผู้เขียนได้เรียนมาจบแล้วตั้งแต่ยังไม่ได้บรรพชาเป็นสามเณร หลังจากผู้เขียนบรรพชาแล้ว ก็เริ่มเร่งความเพียรตลอดมา มิได้จับดูหนังสือประเภทนี้เลย เพื่องจะมาจับการแปลตอนที่ท่านมาอยู่ที่วัดทรายงามนี้เอง
เมื่อท่านอยู่วัดทรายงามแล้วท่านก็ได้สั่งสอนประชาชนให้เกิดความยินดีในธรรมคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก และแนะนำพร่ำสอนกุลบตรที่ได้เข้ามาบรรพชาอุปสมบท จนเป็นที่เลื่อมใสแก่กุลบุตรเหล่านั้นอย่างยิ่ง
หลังจากท่านทราบว่า ท่านอาจารย์กงมา จิรปุญโญ ได้ไปนมัสการท่านอาจารย์มั่นแล้ว ท่านก็พยายามหาทางหลีกเลี่ยงที่จะติดตามท่านอาจารย์มั่นอีก แต่โอกาสยังไม่ให้จึงจำเป็นต้องสงเคราะห์ชาวหนองบัว วัดทรายงามก่อน ครั้นจะไปที่เดียวก็ไม่มีใครจะอยู่วัดทรายงามก่อน ท่านจึงต้องอยู่ตั้งแต่ พ.ศ. 2483 – 2484 – 2485 จึงได้เดินทางไปพบท่านอาจารย์มั่น ณ ที่บ้านนามน ต.ตองโขบ อ.เมือง จ.สกลนคร
ผู้เขียนขณะนั้นกำลังอยู่กับท่านอาจารย์มั่น เมื่อท่านกลับไปพบท่านอาจารย์มั่นแล้ว ท่านอาจารย์มั่นแล้ว ท่านอาจารย์มั่นท่านก็ใช้ให้ไปอยู่บ้านห้วยหีบ ต.หนองเหียน อ.เมือง จ.สกลนครห่างจากบ้านนามนประมาณ 4 กม. และที่บ้านห้วยหีบนั้น ท่านไปอยู่ตรงที่ผีป่ามันหวงไว้ เข้าไปทำลายดงผีป่าปู่ตา จนจะเกิดเรื่องกับชาวบ้านเสียแล้ว แต่ท่านก็ได้แสดงธรรมแก้ไข จนเขาเหล่านั้นกลับเลื่อมใส แล้วท่านกส็อยูที่นั้นต่อไป
พ.ศ. 2486 – 2487 – 2478 เมื่อท่านพักอยู่ที่บ้านห้วยหีบนั้น ก็เหมือนกับที่ท่านเคยอยู่กับท่านอาจารย์มั่นมาแต่ก่อนเหมือนกัน คือเมื่อถึงเวลาอันควร ท่านก็จะต้องไปฟังธรรมเทศนาเสมอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันอุโบสถ ไม่ว่าองค์ใดจะอยู่ที่ไหน ถ้าพอจะมาประชุมทำอุโบสถได้ต้องพยายามมารวมทำอุโบสถกับท่านอาจารย์มั่น เพราะว่าหลังจากทำอุโบสถแล้ว ท่านจะให้โอกาสและเปิดโอกาสให้ซักถามข้อข้องใจในการปฏิบัติที่ผ่านมา กับให้โอวาทอันจับใจเป็นเวลานานพอสมควร จึงต่างองค์ต่างกลับที่พักของตน
พ.ศ. 2489 – 2507 ในระหว่างที่ท่านอยู่บ้านห้วยหีบนั้น วัดสุทธาวาส ซึ่งเป็นวัดที่ท่านอาจารย์เสาว์ กนฺตสีโล ผู้เป็นอาจารย์ของท่านอาจารย์มั่นได้สร้างไว้ อันเป็นวัดใหญ่โตและสำคัญอยู่ที่เมืองสกลนคร เกิดว่างสมภารลง มีการรวนเร พระภิกษุสามเณรก็ขาด ผู้เขียนผ่านไปเห็นเหมือนเป็นเหมือนเช่นวัดร้าง
ดังนั้นท่านอาจารย์มั่น จึงได้สั่งให้ท่านพระครูอุดมธรรมคุณ ขณะนั้นอยู่บ้านห้วยหีบ ให้มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ณ ที่วัดสุทธาวาสนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2489-2507
เนื่องจากท่านเป็นผู้มีนิสัยไม่นิ่งดูดาย และมีนิสัยโอบอ้อมอารี จึงพระภิกษุสามเณรไปอยู่ด้วยมากขึ้นเป็นลำดับจนถึงกับมีการสอนนักธรรม เป็นสนามหลวงสอบธรรมจนได้รับการยกย่องจากส่วนกลาง นอกจากนั้นท่านก็ได้ปรับปรุงเสนาสนะจากการสลักหักหลังจนมีกุฏิถาวรขึ้นหลายหลัง แก้ไขแผนผังวัดจนสง่างาม ทั้งศาลาการเปรียญโรงฉันสวยงามถาวรแข็งแรง ซึ่งสามารถมีที่พักพอแก่พระภิกษุสามเณรนับร้อย
ครั้นเมื่อพุทธศักราช 2492 อันเป็นปีที่สำคัญมาก คือท่านอาจารย์มั่นเกิดป่วยหนัก และได้ย้ายออกจากบ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ออกมาบ้านนาภู่ และย้านมาถึงวัดสุทธาวาส ท่านอาจารย์มั่นได้มรณภาพ ณ ที่วัดสุทธาวาสในปีนี้
ท่านพระครูอุดมธรรมคุณท่านได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญในการจัดงานศพของอาจารย์มั่น แต่ว่าทุก ๆ อาจารย์ เช่น ท่านอาจารย์อ่น ญาณสิริ ท่านอาจารย์เจ้าคุณนิโรธรังสี ท่านอาจารย์ผัน อาจาโร ท่านอาจารย์กางมา จิรปุญญโญ ผู้เขียนรวมอยู่ด้วยแบะมีอีกหลายอาจารย์ได้มาร่วมงานช่วยในงานศพท่านอาจารย์มั่น แต่ท่านพระครูอุดมธรรรมคุณ ในฐานะเจ้าอาวาสก็ต้องมีภาระหนักมาก เพราะท่านอาจารย์มั่นมรณภาพคราวนี้ บรรกาศิษยานุศิษย์ของทานมีทั่งประเทศไทย ต่างก็ได้ทยอยมาอย่างมากมาย จนเสนาสนะไม่พออาศัย ต้องอยู่โคนต้นไม้กันเต็มไปหมด
พระภิกษุสามเณรประมาณ 800 กว่า ประชาชนจำนวนหลายหมื่น ในการมาประชุมเพลิงคราวนั้น และมิใช่มาเฉพาะจังหวัดเดียว ต่างก็มากันหลายจังหวัด ซึ่งเป็นงานใหญ่โตมโหฬารพิเศษ แต่ท่านพร้อมกับพระอาจารย์ทั้งหลายได้ช่วยจัดการจนงานเหล่านี้สำเร็จได้ด้วยดี หลังจากท่านอาจารย์มั่นมรณภาพเดอืนพฤศจิกายน พอถึงเดือนกุมภาพันธ์ได้ประชุมเพลิง ซึ่งเป็นเวลาที่น้อยมากสำหรับจัดงานที่ใหญ่โตอย่างนี้ แต่คณะบรรดาพระอาจารย์ทั้งหลายก็สามารถจัดงานนี้สำเร็จลุล่วงไปโดยมิด้มีอะไรขาดตากบกพร่องเลย ซึ่งนับเป้นเกียรติประวัติที่หาได้ยาก ในการทำฌาปนกิจในคราวนั้น
หลังจากการทำประชุมเพลิงท่านอาจารย์มั่นผ่านพ้นไปแล้ว ยังมีเงินที่ประชาชนทั้งหลายมาบริจาคใช้จ่ายช่วยเหลืออยู่หลายหมื่นบาท ศิษยานุศิษย์ก็ตกลงกสันสร้างอนุสาวรีย์ถวายท่านอาจารย์มั่น ซึ่งก็ศัยพระครูอุดมธรรมคุณเป็นประธานในการก่อสร้างอนุสาวรีย์นี้
การสร้างอนุสาวรีย์ครั้งนี้ก็ตกลงว่าให้เป็นอโบสถไปในตัวเสร็จ เพราะขณะนั้นวัดสุทธาวาสยังไม่มีพระอุโบสถที่ถาวร เมื่อการตกลงจะให้เป็นอุโบสถ ก็จำเป็นต้องใช้ปัจจัยก่อสร้างเป็นเงินหลายแสนบาท จำเป็นอยู่เอ่งที่ท่านพระครูอุดม ฯ ก็จะต้องหนักใจมากที่จะดำเนินงานชั้นนี้ให้บรรลุถึงความสำเร็จ การก่อสร้างดำเนินมาแต่ พ.ศ. 2493 บรรดาพระอาจารย์ทั้งหลายได้พยายามช่วยบอกบุญให้ได้ซึ่งปัจจัยทำจนเสร็จ ได้ทำพิธีผูกพัทธสีมาเมื่อ พ.ศ. 2499 ได้ทำพิธีบรรจุอัฏฐิธาตุของท่านอาจารย์มั่น ภูริทตตเถระ ไว้ในภายในพระอุโบสถ
ท่านพระครูอุดม ฯ ท่านก็ได้พยายามตบแต่งอุโบสถอันเป็ฯอนุสาวรีย์นี้จนดูสวยงามวิจิตรพิศดารหาที่อื่นเปรียบปานได้ยาก ท่านได้อุสาหวิริยะเป็นที่สุด ในการทำนุบำรุงวัดสุทธาวาส ปรับปรุงเสนาสนะจนเข้ารูปเป็นวัดที่มั่นคงแข็งแรงสง่างาม ปรับปรุงการศึกษาด้านปริยัติธรรม ตลอดถึงการแสดงธรรมแก่อุบาสกอุบาสิกา นับเป็นหารจำพรรษาของท่านเป็นเวลาอันยาวนานที่สุด ในชีวิตของท่านก็คือที่นี้ คือจำพรรษาเวลา 19 ปี
อาวสานปี 2508 เมื่อท่านได้ตรากตรำงานการก่อสร้างมากขึ้น ก็เป็นเหตุให้ท่านมีโรคภัยไข้เจ็บรบกวนมากขึ้นเป็นลำดับ ท่านก็พยายามรักษา แต่การเป็นโรคของท่านก็มีแต่จะทวีขึ้นท่านจึงได้มากรุงเทพ ฯ เพื่อจะได้รักษาให้ถูกต้องตามหลักวิชาการของแพทย์ จนได้เข้าโรงพยาบาลรักษาอยู่ที่อยุรศาสตร์ (โรงพยาบาลโรคเมืองร้อน)
ต่อมาก็ได้เข้าทำการผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราช โดยมีศาสตราจารย์นายแพทย์อุดมโปษกฤษณะ เป็นผู้ดูแลการผ่าตัดและรักษา แต่อาการก็ไม่ทุเลาลงได้มีแต่ทรงกับทรุดเท่านั้น เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษา ท่านจึงออกจากโรงพยาบาล มาอยู่วัดธรรมมงคลเถาบุญนนทวิหาร ที่ผู้เขียนไสด้มาสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2506 อาการของท่านไม่ดีขึ้นกลับทรุดหนักต่อไปอีก ศาสตราจารย์นายแพทย์อุดม โปษกฤษณะ จึงได้มารับเข้าไปโรงพยาบาลศิริราชอีกครั้ง และทำการผ่าตัดอีกเป็นครั้งที่ 2 โรคกำเริบสุดขีดสุดความสามารถของแพทย์ที่จะทำการเยียวยา ก็ได้มรณภาพเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2506 เวลา 06.04 น.
ข้าพเจ้าผู้เขียน ในฐานะเป็นศิษย์ของท่านพระอุดม ฯ ขอขอบพระคุณในท่านศาสตราจารย์นายแพทย์อุดม อย่างมากในการให้ความอุปการะแด่ท่านพระครูอุดม ฯ คราวนี้ซึ่งเป็นการหาได้ยากมาก ถ้าท่านศาสตารจารย์ ฯ ไม่อุปการะแล้วก็คงจะลำบากกว่านี้ แต่นี่ได้รับความสะดวกทุกประการ แม้ตอนที่อยูวัดธรรมมงคล ก็ยังได้ไปช่วยดูแลรักษาอยู่ตลอดเวลา บุญกุศลใดที่ผู้ เขียนได้บำเพ็ญมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอส่งผลให้ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์อุดม โปษกฤษณะจงประสพอิธวิบูลมรูยผลสุขสวัสดิ์พัฒนมงคลสมบูรณ์พูลผลถึงซึ่งพระนิพพานเทอญ.
หลังท่านมรณภาพแล้ว ผู้เขียนได้นำศพของท่านมาบำเพ็ญกุศล ณ ที่วัดธรรมมงคล ฯ ซึ่งก็ได้บำเพ็ญกุศลตามความสามารถ เป็นที่เรียบร้อย ครั้นถึงวันที่ท่านเจ้าคุณวิบูลธรรมภวณ เจ้าคณะธรรมยุต จังหวัดสกลนคร และท่านเจ้าคุณ พิศาลศาสนกิจพร้อมด้วยชาวสกลนคร ประมาณ 200 คน ได้มารับศพท่านกลับไปจัดพิธบำเพ็ญกุศล ณ ที่วัดสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร
อวสานกถา เป็นธรรมดาของสังขารทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องสลายไปในที่สุด คือเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย แต่ทั้งที่พวกเราก็ทราบแล้วว่าจะต้องตาย ก็ยังอกอาลัยในความเป็นอยู่ไม่ได้ เนื่องจากอวิชายังปกคลุมใจของพวกเราทั้งหลายอยู่ แม้ท่านพระครูอุดมธรรมคุณท่านก็ต้องตกอยู่ในสภาพความจริงของสังขาร ท่านได้ละสังขารไปแล้วแต่ความดีทั้งหลายที่ท่านได้บำเพ็ญให้เป็นประโยชน์ แก่บวรพระพุทธศานามากมายเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ยังปรากฏชัดเจนแก่บรรดาศิษยานุศิษย์และประชาชนทั้งหลาย เป็นความจริงที่ท่ารพระครูอุดมธรรมได้บำเพ็ญประโยชน์ทั้งในส่วนตัวและผู้อื่นอย่างเต็มความสามรถ ทั้งนี้นอกจากจะเป็นทิฏฐานุคติแบบอย่างแก่ กุลบุตร กุลธิดา ที่จะเกิดมาในภายหน้าแล้ว ท่านยังรวบรวมคุณงามความดี ทั้งอย่างต่ำ ชั้นกลาง และชั้นสูง ติดตามตัวของท่านไปมากมาย ซึ่งเป็นการสมควรเป็นอย่างยิ่ง ในการมีชิวิตเป็นมนุษย์ ใช้การต่อสู้ทุกสิ่งทุดย่างเพื่อให้ได้คุณสมบัติอันเลอเลิศ อันจะพึงมีอยู่ในบวรพระพุทธศาสนา
คัดลอกจากหนังสือ งานพระราชทานเพลิงศพพระครูอุดมธรรมคุณ (หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต) รวบรวมโดย หลวงพ่อวิริยัง สิริธโร วัดธรรมมงคล พระโขนง กรุงเทพมหานคร