สำหรับสีผึ้งนี้ เป็นสีผึ้งที่เพื่อนส่งมาให้ครับ ซึ่งก็ส่งมาแต่ภาพและข้อความที่ยาวเหยียดเป็นอย่างมา ซึ่งผมอาจจะตัดต่อ เพิ่ม เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่คงสาระเหมือนเดิมไว้
สีผึ้งกายสิทธิ์อาจารย์บึ ภูสิงห์ สายผู้ใหญ่กรวล บ้านห้วยเหนือ ขุขันธ์ อาจารย์บึมีศักดิ์เป็นหลานของผู้ใหญ่กรวล ผู้ใหญ่กรวลนี้มีฉายาเป็นที่รู้จักกันว่า “มือปราบปืนโหด” แห่งบ้านห้วยเหนือ
ในยุค 2500 ผู้ใหญ่กรวลเป็นผู้มีชื่อเสียงในเรื่องของความรักศักดิ์ศรี ท่านเป็นผู้ที่ไม่เคยก้มหัวให้กับความอยุติธรรม ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นผู้ก่อการร้าย หรือเสือสิงห์จากในพื้นที่ไหนก็ตาม ท่านไม่เคยปล่อยให้พวกเขาก่อความเลวร้ายขึ้น บ่อยครั้งท่านจะวิสามัญโจรเหล่านั้น จนเป็นที่กล่าวขานกันว่าท่านเป็นผู้ที่หนังเหนียว ยิงฟันไม่เข้า ถึงแม้ว่าตัวท่านเองจะเป็นคนที่มีรูปร่างเล็กก็ตาม แต่ในใจนั้นมีแต่ความเด็ดขาดและเป็นคนประเภทที่พูดจริงทำจริงจนเป็นที่เกรงของเหล่าโจร นักเลง และอันธพาลทั้งหลาย ท่านดูแลลูกบ้านให้มีความอบอุ่นมีสุขเสมอมา
ส่วนในเรื่องด้านมหาเสน่ห์นั้น ท่านก็มีสีผึ้งอยู่ชนิดหนึ่งซึ่งเป็นสีผึ้งที่สร้างตามตำราต้นตระกูลของท่าน ซึ่งทำให้ท่านเป็นที่รักและหมายปองของสาว ๆ ทั่วทั้งตำบล ท่านเรียกสีผึ้งนี้ว่า “สีผึ้งกายสิทธิ์” วิชาการสร้างสีผึ้งนี้ไม่อนุญาตให้คนนอกสายเลือดเรียนเด็ดขาด ถึงจะเรียนรู้ได้ทำไปก็ไม่ขลัง
เมื่อผู้ใหญ่กรวลท่านสิ้นอายุไขแล้ว วิชานี้จึงได้ตกทอดมาถึงลูกหลานของท่าน ซึ่งลูกชายท่านคนหนึ่งมีชื่อว่า ตาเปร๊าะ อายุก็ประมาณ 80 กว่าแล้ว ตาเปร๊าะนี้แม้จะไม่ได้เรียนวิชามาโดยตรงก็ตาม แต่ก็เป็นผู้ที่สืบสายเลือดมาจากผู้ใหญ่กรวล จึงใช้สีผึ้งกายสิทธิ์นี้ได้อย่างเข้มขลัง แต่ตาเปร๊าะท่านชอบสายบู๊ ท่านมุ่งไปที่การใช้ทางด้านมหาเสน่ห์เป็นสำคัญ ท่านมีเมียในปกครองถึง 21 คน ซึ่งเมียคนเล็กสุดนั้นอายุห่างจากท่านตั้ง 40 กว่าปี ถ้าคนทั่วไปก็เรียกว่าเป็นปู่กับหลานได้เลยทีเดียว ปัจจุบันนี้ตาเปร๊าะก็ยังมีชีวิตอยู่และมีสุขภาพแข็งแรงดี
กล่าวถึงผู้ใหญ่กรวลท่านก็ยังมีหลานสืบเชื้อสายอยู่อีกคนหนึ่ง ซึ่งหลานของท่านคนนี้เป็นผู้ที่มีวิชาอาคมสูง ได้ร่ำเรียนวิชาต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ มาแต่เด็ก ในทุก ๆ วันพระ หนุ่มน้อยคนนี้ก็มักจะเข้าวัดใกล้บ้านเพื่อช่วยกิจการงานของวัด นับว่าเป็นการสร้างกุศลบุญและยังเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ ๆ ไม่เคยขาด ต่อมาไม่นานหนุ่มน้อยคนนี้ก็ได้มารับหน้าที่เป็นผู้สืบทอดวิชา “สีผึ้งกายสิทธิ์” โดยที่ตัวเองนั้นไม่ได้เป็นผู้เลือก ท่านคือ “อาจารย์บึภูสิงห์”
อาจารย์บึ เป็นผู้เรียนเวทย์อาคม ทั้งสายคงกระพัน ทั้งสายวิชาผูกของ ถอนของ แก้ของรักษาคนป่วย แก้คุณไสยไล่ผี และการสักยันต์ ท่านใช้วิชาเหล่านั้นเพื่อช่วยคนมาโดยตลอดหลายสิบปี และแล้ววิชาการสร้างสีผึ้งกายสิทธิ์ก็บังเกิดขึ้นในโสตสัมผัสของท่าน ท่านจึงกำหนดจิตรับวิชานั้นเข้ามา และก็ทราบว่าตนเองสามารถหามวลสาร ของอาถรรพ์ต่าง ๆที่ว่าหายาก หาไม่ได้อีกแล้ว แต่ก็กลับหาได้ครบถ้วน ได้ตรงตามตำราระบุไว้อย่างน่าประหลาดใจ ระหว่างการหุงสีผึ้งของท่านนั้นได้เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดมากมายหลายอย่าง จนชาวบ้านแถวนั้นที่ยังไม่เคยเห็นอานุภาพของสีผึ้งกายสิทธิ์นี้ ต่างก็พากันเข้าใจว่าอาจารย์บึนี้ ท่านเป็นปอบแน่นอน ถึงทำอะไรแปลกประหลาดได้แบบนี้
สีผึ้งกายสิทธิ์ที่อาจารย์บึหุงนั้น มีความแปลกและมีความเป็นเอกลักษณ์ฉพาะตัว ซึ่งท่านจะใช้ขี้ผึ้งเดือนห้าเป็นหลัก ท่านจะหาขี้ผึ้งจากคนหาของจากป่า ต้มและทำขี้ผึ้งเป็นแผ่นเองเสกสะสมเรื่อยมาเป็นเวลาข้ามปี รอฤกษ์หุงเป็นมวลสารหลัก ตามด้วยมวลสารมีว่านยาว่านเสน่ห์ ของอาถรรพ์อื่น ๆ อีกจำนวนมาก แต่ที่แปลกก็คือทุกครั้งของการหุงสีผึ้ง ท่านจะเคลือบสีผึ้งของท่านด้วยครีมบาหยันด้วยเสมอ
ครีมบาหยันคือครีมสำหรับแต่งผมชายที่ไม่มีสารเคมีเจือปน เป็นครีมที่ผลิตจากเกสรดอกไม้มงคล ว่านเสน่ห์ต่าง ๆ สารพัดของมงคลนานาชนิดรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งมีขายตามตะเขบชายแดนไทย-กัมพูชาในยุคก่อนปี 2500 จนถึง พ.ศ. 2530 กว่า ๆ ทางโรงงานจึงได้เลิกผลิตเพราะประชาชนเลิกนิยมครีมแต่งผมเสียแล้ว หันมานิยมเจลแต่งผมและแว็กซ์แทน เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามีรูปลักษณ์ที่ทันสมัยกว่าครีมบาหยันมาก
อาจารย์บึท่านได้กว้านซื้อครีมบาหยันย่านชายแดนเก็บเอาไว้เป็นจำนวนมาก เพราะเป็นมวลสารบังคับตามตำราที่ต้องนำมาใช้ คล้าย ๆ ในยุคที่หลวงปู่โป๊ะท่านได้ใช้น้ำมันแต่งผมโพลาดผสมในสีผึ้งของท่านไม่ผิดเพี๊ยน แต่อุปเท่ห์สีผึ้งของอาจารย์บึท่านนั้นว่าไว้ว่า การที่ต้องเคลือบบาหยันก็ให้ของเด่นในทางเมตตามหานิยม เกิดโชคลาภ มีมหาเสน่ห์ และช่วยการทำมาหากินให้คล่อง หากไม่ใส่ครีมบาหยันแล้วปล่อยให้คนใช้สีผึ้งนี้ให้เป็นไปตามจิตจิตใต้สำนึกของผู้ครอบครองเป็นหลักแล้วก็จะเกิดอันตรายสูง เนื่องด้วยคนเรามีศีลไม่เสมอกัน แต่ละคนย่อมมีความปรารถนาที่แตกต่างกันออกไป
การใช้สีผึ้งกายสิทธิ์ ชอาจารย์บึ ท่านจะย้ำอยู่เสมอว่า อันดับแรกเมื่อได้ไปต้องทำพิธีรับสีผึ้งก่อน รับด้วยพานครูได้แก่พานขันธ์ห้า รับแล้วก็ใหใช้ได้เลย ไม่ต้องทา ไม่ต้องสวดคาถา สีผึ้งนี้เป็นสีผึ้งสำเร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องสวดคาถาอีก แค่พกสีผึ้งติดตัว ห้อยคอหรือใส่กระเป๋าเสื้อก็ได้ เวลาใช้สีผึ้งหรืออยากให้สีผึ้งช่วยให้นึกในใจเอา อยากได้อะไร ให้เป็นแบบไหนให้นึกเอาในใจ ขอบ่อย ๆ นึกถึงบ่อย ๆ เมื่อจิตของเรากับจิตเค้าสื่อถึงกันได้แล้ว ขออะไรก็สำเร็จตามปรารถนาดุจของกายสิทธิ์ ฤทธิ์ใด ๆ ก็สู้ห้ามไม่ได้ อย่าได้สงสัย ใช้ไปเลย
ข้อห้ามสีผึ้งกายสิทธิ์
- ห้ามนำสีผึ้งอื่นมาผสมด้วยเด็ดขาด ตัวจะเป็นปอบ
- ห้ามตั้งใจสูดดมสีผึ้งโดยเด็ดขาด ของมันจะเข้าตัวเข้าลมหายใจแล้วถอนออกยาก
- ห้ามใช้เนื้อเด็ดขาด ผู้ใช้จะเจ็บป่วยได้ง่าย
- ข้อแนะนำในการใช้ ให้ตั้งอยู่ศีลห้า สีผึ้งนี้ก็จะปรากฏความมหัศจรรย์แก่ชีวิตของผู้ใช้หรือผู้ครอบครองเอง
ข้อความทั้งหมดนี้ ผมได้รับมาทางไลน์ ผมได้ดัดแปลงนิดหน่อยตามความเหมาะสม ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าต้นฉบับ ใครเป็นผู้เขียนไว้