ตำนานรัตนสูตร หรือ รัตนปริตร
เป็นพระสูตรที่พระอานน์เถระ เรียนจากพระพุทธองค์โดยตรง เพื่อใช้สวดขจัดปัดเป่าภัยพิบัติ พระสูตรนี้มีเนื้อความว่า ครั้งหนึ่งพระนครไพศาลี หรือเวสาลี อันไพบูลย์ไปด้วยขัตติยะตระกูล มีพระเจ้าลิจฉวีเป็นประธานแก่ขัตติยะตระกูลทั้งปวง บังเกิดทุพภิกขภัยข้าวแพงฝนแล้ง ข้าวกล้าตายฝอย คนยากจน ทั้งหลายพากันล้มตายเป็นอันมาก เมื่อตายแล้วก็พากันเอาศพไปทิ้งไว้นอกพระนคร กลิ่นอสุภะได้เหม็นตลบไปทั่วบริเวณนั้น กาลนั้นหมู่อมนุษย์ทั้งหลายก็เข้าไปสู่พระนคร อหิวาตกโรคก็เกิดขึ้น ทำให้ชาวพระนครล้มตายอีกเป็นอันมาก เหตุด้วยบ้านเมืองปฏิกูลไปด้วยกเฬวรากซากอสุภะ ครั้งนั้นกล่าวกันว่า พระนครไพศาลี ประกอบไป ด้วยภัย ๓ ประการ คือ
๑. ทุพภิกขภัย ข้าวแพง มนุษย์ตายด้วยอดอาหาร
๒. อมนุษย์ภัยเบียดเบียน ตายด้วยภัยแห่งอมนุษย์
๓. โรคภัย ตายด้วยโรคต่างๆ มีอหิวาตกโรค เป็นต้น
ชาวพระนครจึงพากันไปเฝ้าบรมกษัตริย์ทูลว่า แต่ก่อนมาภัยนี้ยังไม่เคยมี ที่มาเกิดขึ้นครั้งนี้เป็นเพราะพระองค์มิได้ตั้งอยู่ในธรรม บรมกษัตริย์ก็ทรงอนุญาตให้ชาวพระนครตรวจดูราชกิจของพระองค์ ก็ไม่สามารถที่จะกล่าวได้ว่า สิ่งที่บรมกษัตริย์ได้ประพฤติไม่เป็นธรรม จึงพากันคิดว่า จะระงับภัยอันนี้โดยหาผู้ประเสริฐเลิศโลกมาระงับ บางคนกล่าวว่าควรนิมนต์ เดียรถีย์ บางคนกล่าว่า ควรนิมนต์พระพุทธเจ้า ในที่สุดทุกฝ่ายสรุปความเห็นตรงกันให้เชิญเสด็จพระพุทธเจ้าจากกรุงราชคฤห์ให้ระงับภัยในพระนครเวสาลี แล้วจึงจัดเครื่องบรรณาการมอบให้พระเจ้าลิจฉวี ๒ พระองค์เป็นประธาน นำเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้าพิมพิสาร ขอให้พระองค์ทรงอนุญาตให้เชิญเสด็จพระพุทธเจ้าไปยังนครเวสาลี พระเจ้าพิมพิสารจึงรับสั่งให้พระเจ้าลิจฉวีไปนิมนต์พระพุทธเจ้าตามความประสงค์
พระพุทธเจ้ารับนิมนต์ของพระเจ้าลิจฉวีแล้ว ก็เสด็จไปเมืองเวสาลี พร้อมด้วยพระสาวก ๕๐๐ รูป ระหว่างทางที่เสด็จทรงพระดำเนินไปพระนครเวสาลีนั้น พระราชาและชาวพระนครหมู่อมรพรหมินทร์กระทำการสักการะด้วยโรยทรายและดอกไม้ของหอมตามมรรคา และยกฉัตรกั้นแสงพระสุริยา ธงผ้าและของทิพย์นานาประการสรรพอาหารมีรสเลิศนำมาถวาย อนึ่ง ระหว่างพระนคร เมื่อพระบรมครูเสด็จถึงที่นั้น ได้ลงสู่นาวาข้ามคงคาไป พญานาคที่อยู่ในคงคาก็มากระทำสักการะบูชาด้วยระยะทางจากกรุงราชคฤห์ถึงพระนครเวสาลีประมาณ 6 โยชน์เศษ สมเด็จพระบรมครูเสด็จรอนแรมไปตามระยะทาง ๘ วัน จึงถึงพระนครเวสาลี
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงเขตพระนครเวสาลี ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาจนท่วมถึงเข่า พัดพาเอาซากอสุภะทั้งปวงลอยไปสู่คงคาสิ้น เมื่อถึงพระนครเวสาลี พระอินทร์และเทพยดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ก็มาคอยเฝ้าพระพุทธเจ้า ฝ่ายฝูงอมนุษย์ทั้งหลายเห็นท้าวสหัสสเนตรก็พาหนีกันไปเป็นอันมาก เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงประตูพระนครเวสาลีแล้ว จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสเรียกพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เธอเรียนเอารัตนสูตรนี้ แล้วจงถือเอาเครื่องพลีกรรมเที่ยวไปในระหว่างแห่งกำแพงทั้งสามชั้นแล้ว จงสวดซึ่งรัตนสูตรปริตรนี้ เมื่อเรียนได้แล้ว ก็ถือเอาบาตรนั้นของสมเด็จพระบรมครูเที่ยวประพรมน้ำ สาดน้ำไปทั่วพระนคร อมนุษย์ทั้งหลายที่ยังมิได้หนีไป ในกาลครั้งนั้น ก็พากันหนีไปสิ้น ชาวพระนครก็ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
พระพุทธเจ้า จึงทรงตรัสเทศนารัตนสูตรโปรดท้าวสักกรินทร์เทวราชกับหมู่เทพยนิกรทั้งหลาย ฝ่ายมนุษย์มีพระเจ้าลิจฉวีและชนชาวพระนครเป็นอันมาก กาลเมื่อจบพระธรรมเทศนาลง ความเจริญสิริสวัสดิ์ก็บังเกิดแก่ราชตระกูลและชนชาวพระนคร อุปัทวันตรายทั้งปวงก็ระงับสิ้นจำนวนสรรพสัตว์แปดหมื่นสี่พัน ก็ได้ตรัสรู้ธรรมาภิสมัยและมรรคผลตามควรแก่วาสนาบารมีที่ได้สร้างมา
ในกาลครั้งนั้น สมเด็จอมรินทร์ทรงจินตนาการว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยซึ่งคุณพระรัตนตรัย แล้วประกอบสัจจะวจนะกระทำให้ชาวพระนครถึงซึ่งความเจริญปราศจากอุปัทวันตรายทั้งปวงจำอาตมาจะอาศัยซึ่งพระรัตนตรัยแล้วกล่าวให้เป็นคุณบ้าง เมื่อทรงดำริฉะนี้แล้วก็กล่าวพระคาถาสามพระคาถาว่า ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตาน ฯลฯ ตะถาคะตัง เทวะมนุสสะปูซิตัง สังฆัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ
ความว่า เทวดาทั้งหลายที่เป็นภุมมเทวดาบังเกิดในภูมิประเทศก็ดี เทวดาที่อยู่ใน
อากาศวิมานก็ดี เราทั้งหลายนมัสการพระพุทธเจ้าอันเสด็จมาสู่พุทธภูมิพร้อมด้วย
อัจฉริยอัพภูตธรรมเหมือนพระธรรมด้วยพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน พระธรรมอันมาสู่
พระพุทธสันดานเหมือนพระธรรมอันมาสู่พระพุทธสันดานแต่ก่อน พระสงฆ์อันมาสู่
อริยชาติเหมือนด้วยพระสงฆ์แต่ก่อน อันหมู่เทพนิกรและมนุษย์ทั้งหลายกระทำ
สักการบูชา ขอความสวัสดีจงมีแก่หมู่มนุษย์พุทธบริษัททั้งปวงเถิด ครั้นกล่าวพระ
คาถานี้แล้วถวายนมัสการลาพาเทพบริวารกลับไป ด้วยเหตุนี้คาถาของท้าวสักกะจึง
ได้ใช้สวดอยู่ข้างท้ายพระปริตรนี้ด้วย
เมื่อหมู่อมรกลับไปแล้ว พระผู้มีพระภาคยังได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนารัตนสูตรโปรดขาวพระนครอีก ๖ วัน และทรงประทับอยู่ในพระนครเวสาลีประมาณ ๑๕ วัน จึงเสด็จกลับ ระหว่างเมื่อเสด็จกลับถึงฝั่งคงคา พญานาคที่อยู่ในคงคาได้นิมิตนาวาพิเศษมาคอยอยู่ที่ท่าน้ำ ทูลอารธนาพระพุทธเจ้ากับพระสาวก ๕๐๐ รูป ลงสู่นาวาไปนาคพิภพ พระผู้มีพระภาครับอารธนาเสด็จไปยังนาคพิภพพร้อมด้วย พระสาวก ๕๐๐ รูป ได้ทรงแสดงธรรมเทศนาโปรตนาคทั้งหลายตลอดราตรียันรุ่งแล้ว จึงเสด็จกลับยังกรุงราชคฤห์ มนุษย์และเทวดาก็ทรงกระทำสักการะบูชายิ่งกว่าเมื่อคราวเสด็จไป
พระสูตรนี้ว่าประกอบไปด้วยคุณานุภาพไพศาลเป็นมหัศจรรย์พันลึกพิเศษต่าง ๆ ยิ่งนัก พระคาถาที่สวดแต่เบื้องต้น จนถึงที่สุดประกอบด้วยคำแปล ดังต่อไปนี้