พระพุทธเจ้ายังต้องมีพ่อมีแม่ แต่พระเป็นเจ้าไม่ต้องมีเพราะเป็นผู้สมบูรณ์ที่สุดจึงมีเองเป็นเองได้พระเป็นเจ้าจึงวิเศษกว่าพระพุทธเจ้า.
เรื่องนี้ก็ว่ากันไปอีกเช่นเคยดูเหมือนไม่มีในหลักของทางศาสนาเทวนิยมเสียด้วย แต่คนก็พยายามจะเอามานะ(ความถือตน) อันเป็นกิเลสหยาบ ๆ ไปใส่ให้พระเป็นเจ้าอยู่เสมอ พระเป็นเจ้าน่าจะปราม ๆ ศิษย์พวกนี้เสียบ้าง
พระอินทร์เสียสถานะของจอมเทพในชมพูทวีปนั้นเพราะลูกน้องชอบเบ่งนั่นเอง แสดงกฤษดาภินิหารเสียจนพระอินทร์เสียคนถูกลดฐานะลงมาเป็นระดับ เทวดา เจ้าสวรรค์เพียงชั้นเดียว
ดังได้กล่าวแล้วว่าคำถามนี้หาได้เกิดจากหลักการของศาสนาประเภทเทวนิยมไม่ แต่เมื่อกล่าวมาเช่นนั้นได้เราก็อาจได้หลักที่ควรแก่การพิจารณาคือ พระพุทธเจ้าได้พระนามว่า สยัมภู แปลว่าผู้เป็นเอง โดยหมายเอาการตรัสรู้ของพระองค์ซึ่งเกิดขึ้นด้วยความเพียรพยายามของพระองค์ หาได้มีใครบันดาลให้เกิดขึ้นไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อควรพิจารณาสำหรับปัญหาข้อนี้คือ ตามหลักความจริงแล้วสรรพสิ่งย่อมเกิดมาจากเหตุ ไม่มีสิ่งอันใดที่เกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุ แต่ด้วยสมมติฐานที่ว่าพระเจ้าเกิดเป็นสยัมภูโดยปราศจากเหตุนั้นเอง ข้อที่ควรเปรียบเทียบสำหรับผู้ต้องการเปรียบเทียบ คือความเป็นเองของพระเจ้าเปรียบเหมือนคนที่ร่ำรวยเพราะเกิดมารวย กับความเป็นเองของพระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนความร่ำรวยของคนที่เกิดขึ้นจาก ความเพียรพยายามของตนเอง ในสายตาของบัณฑิตพอจะบอกได้หรือไม่ว่าระหว่างคนทั้งสองนั้นใครคือคนที่มี คุณสมบัติ ฝีมือ ความสามารถควรแก่การนับถือมากว่ากัน?
การเผยแผ่ศาสนาแบบยกตนข่มท่านนั้นนักศาสนาทั้งหลายควรยุติได้แล้วเพราะนั่น หาใช่คุณสมบัติที่ดีของนักศาสนาไม่ เพราะเป็นการกล่าวร้ายการล้างผลาญกันระหว่างศาสนาต่อศาสนาที่น่าขายหน้ามากที่สุด คือ “การเผยแผ่ศาสนาด้วยวิธีโจมตีอีกศาสนาหนึ่งนั้น แสดงให้เห็นว่าตนเองไม่ได้รับผลจากศาสนาแม้แต่วจีทุจริตก็ยังละไม่ได้แล้วยังจะไปเผยแผ่ศาสนาของตนให้คนอื่นนับถืออีกหรือ?”
งานที่นักศาสนาแต่ละศาสนาควรทำในปัจจุบัน คือการทำศาสนิกในศาสนาของตนให้เป็นศาสนิกที่ดีให้ได้ ในขณะเดียวกันควรมีการร่วมมือประสานงานกันเพื่อให้เกิดผลในทางดำรงอยู่อย่างมั่นคงแห่งศาสนาทั้งหลาย เพราะศาสนาแต่ละศาสนานั้นมีความดีพอที่จะสร้างศาสนิกให้เป็นคนดีได้ในระดับต่าง ๆ ถึงเวลานานแล้วที่นักศาสนาจะกล่าว คำว่า “ขอให้เรามาร่วมมือกันเถิด อย่าได้ด่าทอทะเลาะวิวาทกันเลย.”