อุตรกุรุทวีป เมืองในฝัน สวรรค์บนดินโดยแท้
สำหรับเรื่องอุตรกุรุทวีปนั้นผมนำมาจากหนังสือ “จักกวาฬทีปนี” ซึ่งเป็นผลงานของพระสิริมังคลาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์มังคลัตถทีปนีที่ใช้เป็นแบบเรียนของนักเรียนบาลีในเมืองไทย ฉบับหอสมุดแห่งชาติ ตรวจชำระเรียบเรียง จัดพิมพ์โดย กรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ ผมอาจจะนำมาสรุปตกหล่นไปบ้าง สื่อความหมายผิดพลาดบ้าง ท่านอ่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ฉบับจริง
ภูมิประเทศของอุตรกุรุทวีป
อุตรกุรุทวีปเป็นหนึ่งใน 4 ทวีปใหญ่ที่มีมนุษย์อาศัยซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ บูรพวิเทหทวีปอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ ชมพูทวีปอยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ และอปรโคยานทวีปอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ
อุตรกุรุทวีปเป็นแผ่นดินที่เสมอ คือไม่มีหลุม หรือบ่อโสโครก ประมาณว่าหลับตาเดินก็ไม่มีวันตกท่ออย่างแน่นอน ปลอดภัย คือไม่มีอันตรายทั้งจากมนุษย์และสัตว์ ไปไหนไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีโจรผู้ร้าย หรือสัตว์น้อยใหญ่ ไม่มียุง ไม่มีงู ไม่มีสัตว์ที่เป็นอันตราย สะอาด เพราะไม่มีซากมนุษย์หรือซากสัตว์ตายให้เห็น แม้อุจจาระปัสสาวะที่ถ่ายไว้แผ่นดินก็จะดูดหายไปทันทีไม่มีหลักฐานให้เห็น ไม่มีหนาม คือมีแต่ต้นไม้ดี ๆ มองดูเจริญตา ไม่มีต้นไม้ที่มีหนาม ประมาณว่าต้นงิ้วหนามไม่มีในทะเบียนของทวีปนี้ เป็นพื้นที่ที่ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป กำลังเย็นสบาย
บนแผ่นดินอุตรกุรุทวีปมีหญ้าชนิดหนึ่งเรียกว่า ฉวินยา ยาวไม่เกิน 4 นิ้ว ดาดาษไปทั้ว มีสัมผัสที่นุ่ม เดิน นอนได้ทุกที่ ชนิดที่ว่าไม่ต้องสวมรองเท้าหรือปูที่นอน มีแม่น้ำที่ไหลเอื่อย ๆ ไม่เชี่ยวกราก ไม่อันตราย ใส เย็น มีกลิ่นหอมชื่นใจ มีท่าน้ำที่สวยงาม ไม่มีโคลนตม
ความเป็นอยู่ของมนุษย์ในอุตรกุรุทวีป
มนุษย์ในอุตรกุรุทวีปไม่มีความยึดถือว่าอะไรเป็นของเรา คือประมาณว่าของมีเหลือกินเหลือใช้ ไม่จำเป็นต้องยึดถือว่าเป็นของตนเอง หาใหม่ได้เรื่อย ๆ ไม่มีความหึงหวงในผู้หญิง ไม่มีความยึดถือว่าคนนี้เป็นภรรยาเรา (เขาไม่มีราคะ หรือมีเป็นช่วงเวลา ?) ไม่การทะเลาะแย่งชิงของกันและกัน ไม่ต้องทำไร่ไถ่นาหรือกสิกรรมใด ๆ จึงมีการกดขี่ ไม่มีทาสหญิงชาย ไม่มีคนรับใช้ ไม่กษัตริย์ อำมาตย์ข้าทาสบริวาร ไม่มีชนชั้น พวกเขาอาศัยข้าวที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่า เป็นข้าวที่ไม่แกลบ ออกผลผลิตเป็นข้าวสารทันที เมื่อต้องการนำไปหุง พวกเขาจะนำข้าวสารนั้นกรอกใส่หม้อวางไว้บนหินโชติกปาสาณะ ไฟจะเกิดขึ้นเอง เมื่อข้าวสุกแล้วไฟนั้นจะดับเอง จากนั้นจึงนำมากินได้ทันที อร่อยถูกใจใครมันโดยไม่ต้องหาแกงหากับเพิ่ม หากใครเดินผ่านไปมาพวกเขาก็จะแบ่งให้กินโดยไม่มีความตระหนี่ใด ๆ นอกจากนั้นแล้วในอุตรกุรุทวีปยังมีผลไม้ชนิดหนึ่งมีอยู่จำนวนมาก มีลูกเท่าหม้อ มีรสหวาน กินแล้วอิ่มนานถึง 7 วัน แต่มนุษย์พวกใดไม่ต้องการหุงต้มเอง ก็สามารถรับข้าวสุก อาหาร เครื่องดื่ม ของใช้สอยต่าง ๆ ที่ต้นกัลปพฤษ์เพียงแค่คิดและยื่นมือออกไป
หญิงชายจะอาศัยกามราคะอยู่ด้วยกัน 7 วัน หลังจากนั้นต่างคนต่างไป ไม่ยินดีต่อกันอีก ฝ่ายหญิงจะไม่มีความทุกข์ที่เกิดจากการบริหารครรภ์ ประมาณว่าอยู่กันสมสู่ 7 วัน ก็ตั้งครรภ์ แต่ไม่มีความทุกข์อันเกิดจากการตั้งครรภ์หรืออุ้มท้อง เมื่อจะรู้สึกเจ็บท้องคลอดในที่ใด ก็นั่งหรือนอนคลอดในที่นั้น คลอดง่ายเหมือนเทน้ำออกจากเหยือกแก้ว ง่ายดาย ไม่มีรกหรือสิ่งแปดเปื้อนติดออกมา คลอดออกมาแล้วก็วางไว้ในที่ที่คนเดินผ่านไปมา แล้วตนเองก็เดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใครผ่านมาเห็นเข้าก็จะยื่นนิ้วมือให้ น้ำนมก็จะไหลออกทางนิ้วมือให้ทารกดื่มกิน ผ่านไปได้ 2-3 วัน เด็กนั้นก็เติบโตขึ้น เด็กหญิงก็จะไปอยู่กับกลุ่มผู้หญิง เด็กชายก็จะเข้าไปอยู่กับกลุ่มผู้ชาย
มนุษยที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปนั้นมีความสมส่วน ไม่สูงไม่ต่ำเกินไป ไม่ดำไม่ขาวเกินไป ไม่อ้วนไม่ผอมเกินไป ไม่เป็นคนหูหนวกตาบอก ไม่เป็นง่อย ไม่เป็นโรคผิวหนัง พูดง่าย ๆ มีความสมบูรณ์เป็นอย่างมาก
ผู้ชายมีความสมบูรณ์แบบทุกอย่าง ไม่สูงตำดำขาวเกินไป เมื่ออายุได้ 25 ปี ก็จะหยุดความเจริญเติมโต ไม่แก่ ไม่หลังค่อม ไม่หงอก กำลังไม่ตกจนกว่าจะอายุครบ 1,000 ปีจึงเสียชีวิต
ผู้หญิง มีสมส่วนทุกอย่าง มีความสวยงามยิ่งนัก ไม่สูงตำดำขาวเกินไป มีวาจาที่ไพเราะ มีเครื่องประดับที่สวยงาม เมื่ออายุได้ 16 ปี ก็จะหยุดความเจริญเติมโต ไม่แก่ ไม่หลังค่อม ไม่หงอก กำลังไม่ตกจนกว่าจะอายุครบ 1,000 ปีจึงเสียชีวิต
เมื่อพวกเขาเห็นคนตาย (คำภีร์ใช้ศัพท์นี้ ไม่ใช้คำว่าญาติพี่น้อง พ่อแม่ลูก ประมาณว่าผู้หญิงคลอดลูกแล้วก็เดินจากไป แม่จำลูกไม่ได้ ลูกก็จำแม่ไม่ได้ แต่แม่ลูกจะไม่เกิดราคะต่อกัน เป็นเรื่องธรรมดาของที่นั่น) ก็ไม่ร้องไห้ ไม่เสียใจ ไม่เศร้าโศก (อาจจะเป็นเพราะว่าไม่มีความยึดติด และมนุษย์ในอุตรกุรุทวีปนี้ เมื่อตายแล้วไม่เกิดในอบายภูมิ จะกลับมาเกิดในอุตรกุรุทวีปอีกหรือเกิดในสวรรค์ แต่หากเกิดในสวรรค์ เมื่อจุติจากสวรรค์อาจจะเข้าสู่อบายภูมิหรือภพใดภพหนึ่งตามแต่กรรม) พวกเขาจะห่อนั้นด้วยผ้าแดงตกแต่งอย่างดีแล้วนำไปวางไว้ในที่แจ้ง จากนั้นจะมีนกขนาดใหญ่ (ว่ากันว่าเป็นนกหัสดีลิงค์ คือนกที่มีกำลังเหมือนช้าง) บินมาคาบไปยังทวีปอื่น ฉะนั้น อุตรกุรุทวีปจึงเป็นที่สะอาด ไม่มีป่าช้า ไม่มีซากศพ
ส่วนเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับ เครื่องดนตรี ไม่ต้องทอ ไม่ต้องทำ ไม่ต้องซื้อขาย มีให้ทุกอย่างที่กัลปพฤษ์ คือต้นไม้วิเศษที่ให้คุณได้ในสิ่งที่คุณต้องการใช้สอย
มนุษย์ชาวอุตตรกุรุทวีปดีกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์
พระพุทธเจ้าตรัสถึงมนุษย์ชาวอุตตรกุรุทวีปมีความประเสริฐกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์และมนุษย์ในชมพูทวีป (โลกเรา) 3 ประการ ได้แก่
- เป็นผู้ไม่มีความยึดถือว่าของเรา (จะไม่มีความทุกข์ในเรื่องนี้)
- ไม่มีความหวงแหน (ไม่มีความตระหนี่)
- มีอายุที่แน่นอน (1,000 ปี)
เทวดาชั้นดาวดึงส์ดีกว่ามนุษย์ชาวอุตตรกุรุทวีปและมนุษย์ชาวชมพูทวีป 3 ประการ ได้แก่
- มีอายุเป็นทิพย์
- มีวรรณะเป็นทิพย์
- มีสุขเป็นทิพย์
มนุษย์ชาวชมพูทวีป (โลกเรา) ดีกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์และมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป 3 ประการ ได้แก่
- มนุษย์ชาวชมพูทวีปมีความแกล้วกล้า
- มีสติ
- ประพฤติพรหมจรรย์อันยิ่งได้