ด้วยเพราะชีวิตการเรียนที่ผ่านมาเต็มไปด้วยเรื่องราวเหนื่อยหนัก หลายครั้งทำให้ฉันท้อเมื่อเจอกับปัญหา แต่ทุกครั้งฉันก็พยายามให้กำลังใจตัวเองเพื่อให้ก้าวผ่านทุกปัญหาไปให้ได้ ทว่าหลากหลายวิธีที่ฉันใช้ ยังไม่เคยค้นพบวิธีไหนที่ทำให้ฉันค้นพบทางออกราวกับชีวิตได้เกิดใหม่ เหมือนเช่นวิธีนี้
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน… ฉันเคยตามคุณอาไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี วัดแห่งนั้นตั้งอยู่บนเนินเขา แน่นอนว่าสภาพแวดล้อมของภูเขาย่อมเต็มไปด้วยต้นไม้หลายต้นรายล้อม ฉันเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกชนบท ไร้ตึกรามบ้านช่อง ไร้สภาพรถติดแออัดเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพ หลายครั้งฉันก็รู้สึกเคยตั้งคำถามกับชีวิตนะว่าเมืองหลวงอันเป็นดินแดนแสนศิวิไลที่หลายคนเพรียกหานั้น ทำไมมันเต็มไปด้วยความทุกข์มากมายเช่นนี้
เมืองใหญ่ที่พรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทำไมหลายคนกลับใช้ชีวิตเลื่อนลอยไปวันๆ แถมยังเอาความสุขไปแขวนไว้กับค่านิยมต่างๆ คำถามเหล่านั้น ทำให้ฉันคลายคำตอบให้ตัวเองได้ว่า “เพราะเงินเท่านั้น ที่คนเมืองใหญ่คิดว่ามันจะสามารถซื้อความสุขให้พวกเขาได้” แต่แท้จริงแล้ว การมาปฏิบัติธรรมของฉันคราวนั้น มันกลับทำให้ฉันคิดอะไรได้บางอย่าง ซึ่งมันอาจจะเป็นคำตอบที่ทำหล่นหายมาตลอดระยะทางแล้วนั่นเอง
เช้าตรู่วันหนึ่งของการปฏิบัติธรรม พระอาจารย์เดินนำคณะของพวกเราเข้าป่า พวกเราเดินจงกรมออกมาตั้งแต่ที่พักตัดผ่านกับเส้นถนนสายเล็กๆ เพื่อมุ่งหน้าสู่ป่าอันเงียบสงบ คณะปฏิบัติธรรมที่มากันเกือบร้อยชีวิต ช่างน่าอัศจรรย์ทุกคนเดินกันด้วยความนิ่งเงียบ และที่สำคัญเราต้องเดินด้วยเท้าอันเปลือยเปล่า ฝ่าเท้าทุกคนจะต้องสัมผัสบนผืนดินหินทราย เหยียบย่ำลงไปบนเม็ดกรวดก้อนหินเล็ก – ใหญ่ เหยียบย่ำบนเศษไม้ยอดหญ้าประปราย บรรยากาศรอบตัวยามเช้าตรู่ตอน 6 โมง มาพร้อมไอหมอกบางเบา แสงเรืองรองจากดวงตะวันก็ส่องประกายสาดทออ่อนๆ อีกทั้งออกซิเจนบริสุทธิ์ที่ไม่อาจพบได้จากเมืองใหญ่ อากาศยามเช้าที่นี่สดชื่นฉ่ำใจยิ่งนัก
ทว่าการเดินในแต่ละก้าวย่าง มันกลับทำให้ฉันรู้สึกเจ็บ…เจ็บในยามเหยียบย่ำลงบนก้อนกรวดใหญ่ๆ หินบางก้อนมีเหลี่ยมแหลมคมรอทิ่มแทงเท้าอันบอบบางของฉัน ความเจ็บจากฝ่าเท้าแล่นจี๊ดพุ่งตรงมายังหัวใจและทะยานสูงขึ้นไปยังสติ ฉันค้นพบสัจธรรมข้อหนึ่งว่า… “ในการเดินทางของชีวิต เราทุกคนล้วนมีช่วงจังหวะที่จะต้องเผชิญกับความทุกข์ ความเจ็บปวดบ้างเป็นธรรมดาและนี่ก็คือ วิถีแห่งธรรมชาติที่ต้องการสอนมนุษย์ให้เดินด้วยสติ” ในยามที่เหยียบลงไปบนผืนหญ้าอ่อนๆ มันจะนุ่มสบายเท้า นั่นคือความสุข ยามย่ำลงบนผืนทรายละเอียดให้พอจั๊กจี้ มันก็มาพร้อมจังหวะที่สนุกจนเราหลงลืมตัว กระทั่งในยามที่เราเหยียบลงบนก้อนหินดินกรวดแข็งกระด้างที่มีเหลี่ยมแหลม เมื่อนั้นเราจะเจ็บจี๊ดและแทบอยากก้มหยิบหินก้อนนั้นปาทิ้งทันใด
หลายครั้ง ต่อให้เราใช้ชีวิตดิบดีเพียงใด เราก็มิอาจหลีกหนีความทุกข์ที่เข้ามาในบางช่วงชีวิตได้หรอก แต่หากเราเดินด้วยสติทุกย่างก้าว ใช้ชีวิตแบบค่อยๆ เป็นไป ไม่เร่งรีบ ความทุกข์มันจะทำให้เรารู้สึกเจ็บแค่แบบซอล์ฟๆ เท่านั้น นี่คือ ครั้งแรกในชีวิตที่ฉันรู้สึกซาบซึ้งในธรรมชาติ ธรรมชาติที่เป็นดั่งครูและจะจับมือฉันเดินอย่างระมัดระวัง ภายหลังจากพาชีวิตหวนกลับสู่เมืองใหญ่อีกครั้ง
ชีวิตวันหน้าที่หากประดังไปด้วยปัญหา ฉันบอกกับตัวเองแล้วว่าจะหยิบเอาสัจธรรมจากการเดินจงกรมวันนั้นมาบอกตัวเอง ถ้าฉันใช้ชีวิตทุกวันนี้อย่างระมัดระวัง ฉันจะเจ็บตัวน้อยที่สุด เพราะบางทีใครเลยจะรู้ว่าถ้าวันนั้นฉันก้าวให้ช้าลงอีกหน่อย ลงน้ำหนักเท้าเบาๆ มองทางเดินอย่างมีสติ บางทีฉันอาจจะมีจังหวะหลบหลีกหินก้อนนั้นทันก็เป็นได้…ใครจะไปรู้!
เช่นเดียวกันกับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน หากฉันมีสติควบคุมตนเอง ฉันอาจจะตั้งตัวรับปัญหาได้เท่าทัน หรืออาจเห็นจังหวะหลบหลีกมันได้อย่างทันการณ์ และนี่เองความสุขที่เงินทองมิอาจหาซื้อได้ แต่ฉันสัมผัสได้จากบทเรียนที่ธรรมชาติกล่อมเกลี้ยงสอนเตือนฉัน…ผ่านวานวันที่น่าประทับใจ