
การคิดตั้งตัวเป็นกบฏมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อันเนื่องมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้อำนาจรัฐอันไม่ยุติธรรมต่อประชาชน การแบ่งแยกหรือการแย่งอำนาจการปกครอง เป็นต้น ซึ่งการเป็นกบฏนั้นสิ่งที่ต้องการลึกๆ คือ การทำให้ตนเองและกลุ่มมีความเป็นอยู่ที่ดีหรือมีความเป็นใหญ่มากขึ้น เหมือนดังเช่นตำนานกบฏผีบุญที่เราจะเล่าในวันนี้ ซึ่งกบฏผีบุญเป็นใคร มีความเป็นมาอย่างไรนั้น ไปติดตามพร้อมๆ กันเลยค่ะ
มูลเหตุของการเกิดกบฏผีบุญ
กบฏผีบุญนั้นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ช่วง พ.ศ. 2443 – 2444 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวขานไปทั้งภาคอีสาน กระทั่งต้องเรียกคนกล่มนั้นว่า กบฏ ซึ่งมูลเหตุ คือการตั้งกลุ่มคนเป็นกลุ่ม และมีการตั้งตนเป็นองค์บุญหรือท้าวธรรมมิกราช ซึ่งตามตำนานท้าวธรรมมิกราช จะมาเกิดและจะทำให้เกิดอาเพศขึ้นกับบ้านเมือง ฉะนั้นประชาชนทางภาคอีสานบางกลุ่มที่กลัวภัยและกลียุคที่จะเกิดขึ้น จึงตั้งตนเองเป็นกลุ่มคนบุญ โดยมีหลายกลุ่มทางภาคอีสาน บางกลุ่มมีพรรคพวกมากและคิดต่อสู้กับอำนาจรัฐจนต้องปราบปราบด้วยกำลังทหาร
โดยกลุ่มองค์บุญหรือผีบุญต่างๆ ที่ถูกตั้งขึ้นนั้นมีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มเมืองยโสธร มีพระภิกษุเป็นหัวหน้า และกลุ่มองค์มั่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีพรรคพวกมากและมีกำลังอาวุธมาก กลุ่มเมืองเสลภูมิ กลุ่มมืองตระการพืชผล กลุ่มเมืองขุขันธ์มีท้าวบุญจันทร์เป็นหัวหน้า นอกจากนั้นยังมีกลุ่มอื่นๆ ที่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของภาคอีสานแต่เป็นกลุ่มที่มีกำลังน้อย
อุดมการณ์ของกลุ่มผีบุญแต่ละกลุ่ม
การจัดตั้งกลุ่มกบฏผีบุญของแต่ละกลุ่มนั้น มีจุดประสงค์ที่มุ่งเน้นการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ในสังคม เพื่อให้สังคมดีขึ้น โดยหัวหน้ากลุ่มแต่ละกลุ่มจะทำตัวเป็นนักบุญ มีการทำพิธีกรรมทางไสยเวทย์ มีพิธีสะเดาะเคราะห์ รดน้ำมนต์ เพื่อสร้างความเชื่อให้กับชาวบ้าน และหลงเชื่อตามความคิดของตน รวมทั้งความเชื่อเรื่องการพ้นจากภัยพิบัติและอาเพศด้วย ทำให้ชาวบ้านเข้าเป็นศิษย์ของแต่ละกลุ่ม เพื่ออุดมการณ์และความอยู่รอดของตน ดังนั้นแต่ละกลุ่มจึงมีอุดมการณ์ในทางบุญมากกว่า ยกเว้นบางกลุ่มที่เน้นอุดมการณ์เพื่อความเป็นใหญ่ปกครองบ้านเมือง
อุดมการณ์ของกลุ่มองค์มั่นและท้าวบุญจันทร์
กลุ่มผีบุญบางกลุ่ม มีอุดมการณ์และความต้องการเป็นใหญ่ในบ้านเมือง เช่น โดยเฉพาะกลุ่มขององค์มั่นและกลุ่มท้าวบุญจันทร์ เมืองขุขันธ์ ต้องการความเป็นใหญ่และต้องการปกครองบ้านเมือง โดยกลุ่มขององค์มั่นมีการสะสมกำลังพลเข้าตีเมืองเขมราฐ และเมืองอุบลราชธานี ส่วนกลุ่มท้าวบุญจันทร์ ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าเมืองขุขันธ์องค์ก่อน แต่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมือง
โดยมีการจัดเตรียมกำลังพลไว้ถึง 6,000 คน เพื่อเข้าตีเมืองขุขันธ์ โดยขณะนั้น มีเจ้าเมืองขุขันธ์ผู้เป็นพี่ชายปกครองอยู่ และมีความเกรงกลัวว่าท้าวบุญจันทร์ผู้เป็นน้องชายจะยกพลมาตีเมือง จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนถึงกรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์รัชกาลที่ 5 ทางมณฑลภาคอีสานหรือเมืองอุบลราชธานี
ความต้องการอำนาจการปกครองของกลุ่มท้าวบุญจันทร์
เมื่อจัดตั้งกลุ่มผีบุญแรกๆ กลุ่มท้าวบุญจันทร์ไม่ได้มีอุดมการณ์ในเรื่องคนบุญหรือผู้มีบุญเหมือนกลุ่มอื่น แต่ด้วยเหตุการณ์เกิดขึ้นในระยะเวลาเดียวกัน ทางราชการจึงเข้าใจว่าเป็นกบฏผีบุญเหมือนกลุ่มอื่นๆ แท้ที่จริงแล้วกลุ่มท้าวบุญจันทร์ มีอุดมการณ์ในการเป็นใหญ่ปกครองบ้านเมือง เพราะเป็นกลุ่มที่ซ่องสุมกำลังพลถึง 6,000 คน เพื่อการเข้าโจมตีเมืองขุขันธ์ และการแข็งข้อต่อเจ้าเมืองขุขันธ์ผู้เป็นพี่ชาย เนื่องจากไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง และไม่ต้องการให้พี่ชายเป็นใหญ่กว่าตนเอง จึงซุ่มเตรียมไพร่พลไว้ในป่าทางตอนใต้ของเมืองขุขันธ์ เพื่อเตรียมการสำหรับเข้ายึดครองเมืองขุขันธ์
เหตุการณ์จากการปล้นของท้าวบุญจันทร์
เมื่อมีข่าวการเข้าปล้นเมืองขุขันธ์ของกลุ่มของท้าวบุญจันทร์ ทำให้ผู้ปกครองเมืองวิตกกังวล รวมทั้งทำให้รัฐบาลไม่ไว้วางใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงเริ่มมีแนวคิดในการปราบปรามกลุ่มกบฏอย่างเข้มงวด โดยเริ่มแรกกรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ ได้ส่งโทรเลขแจ้งเรื่องไปยังกระทรวงมหาดไทย และการขอกำลังพลเพื่อมาช่วยเหลือ ทำให้ส่วนกลางได้ทราบเรื่องราวความวุ่นวายของหัวเมืองทางภาคอีสานเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องของการเกิดกลุ่มกบฏผีบุญหลายกลุ่ม ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่หัวเมืองทางภาคอีสาน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชโทรเลข
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดความปริวิตกในพระทัยเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พระองค์จึงมีพระราชโทรเลขถึงกรมหมื่นนครไชยศรี ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ ซึ่งกำลังซ้อมรบอยู่ที่เมืองราชบุรีให้กลับเข้ากรุงเทพเพื่อปรึกษาข้อราชการและประชุมเสนาบดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยที่ประชุมมีมติให้กองทหารที่มณฑลนครคราชสีมา ซึ่งอยู่ใกล้พื้นที่เกิดเหตุการณ์ที่สุด เตรียมกำลังพล 200 นาย เพื่อเดินทางไปยังมณฑลภาคอีสานทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง
ในขณะที่ทางส่วนกลางกำลังเตรียมการเพื่อให้ความช่วยเหลืออยู่นั้น กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์มีโทรเลขถึงกระทรวงมหาดไทยว่าให้ระงับกองกำลังนั้นไว้ก่อน ซึ่งสาเหตุของการระงับกำลังพลนั้นไม่ทราบแน่ชัด แต่น่าจะเป็นเพราะกองกำลังในพื้นที่ สามารถควบคุมเหตุการณ์ได้เอง
การยกกองกำลังสู่เมืองขุขันธ์ 3 ครั้ง
แม้ว่าการโทรเลขถึงกระทรวงมหาดไทย ให้ระงับกองกำลังที่จะไปช่วยยังเมืองขุขันธ์และมณฑลอีสาน แต่ส่วนกลางยังไม่สามารถคลายความวิตกกังวลจากเรื่องนี้ได้ ส่วนกลางจึงยังคงมีการส่งกองกำลังจากนครราชสีมาและมณฑลบูรพา เพื่อไปช่วยในเหตุการณ์ถึง 3 ครั้ง ซึ่งครั้งที่ 1 นั้นในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชโองการให้พระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิ์ทศทิศวิชัย ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครราชสีมา เป็นผู้ไประงับเหตุการณ์การตั้งตนเป็นผู้วิเศษหรือกบฏผีบุญในมณฑลอีสานและมณฑลอุดรรวมทั้งให้ไปดูแลความเรียบร้อยของพื้นที่นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ สังขะ สุรินทร์ และขุขันธ์ โดยให้พยายามชี้แจงกับประชาชนในพื้นที่ว่า มิให้หลงเชื่อพวกตั้งตนเป็นผู้มีบุญ หรือหากจำเป็นต้องใช้กำลังปราบปรามด้วยก็สามารถทำได้
พระยาสุริยเดชและคณะเดินทางสู่มณฑลอีสาน
พระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิ์ทศทิศวิชัย พร้อมด้วยคณะ 30 คนจากเมืองนครราชสีมา ในวันที่ 30 มีนาคม 2444 โดยมีคนรับใช้ไป ด้วยจำนวน 6 คน นอกจากนั้นยังมีมหาดเล็กและนายสิบพลตำรวจสิบนาย คุมเกวียน 11 เล่ม เพื่อบรรทุกเสบียง อาวุธ และเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อเดินทางไปยังเมืองบุรีรัมย์ ในระหว่างทางไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรง จึงได้แนะนำสั่งสอนกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ไม่ให้เชื่อตามกลุ่มกบฏผีบุญเท่านั้น
กลุ่มอ้ายมั่นและพวกบุกปล้นเมืองเขมราฐ
เมื่อเดินทางถึงเมืองสุรินทร์ พระยาสุริยเดชฯ ได้รับโทรเลขจากกรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ ให้เดินทางไปช่วยยังเมืองอุบลราชธานี เนื่องจากมีกลุ่มของอ้ายมั่นและพรรคพวกบุกเข้าปล้นเมืองเขมราฐ เมื่อไปถึงที่นั่น นายร้อยเอกหลวงชิตสรการ สามารถปราบปรามพวกบฏได้เรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์ที่เมืองอุบลราชธานี ยังคงมีกลุ่มคนตั้งตนเป็นกบฏผีบุญอยู่ พระยาสุริยเดชฯ จึงยังคงอยู่เมืองอุบลราชธานีก่อน
เดินทางไปยังมณฑลอุดรธานี
หลังจากนั้นประมาน 1 สัปดาห์พระยาสุริยเดชฯ จึงเดินทางต่อไปยังมณฑลอุดรธานี ตามโทรเลขของกระทรวงมหาดไทย เพื่อร่วมกับพระองค์เจ้าวัฒนาข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอุดร ปราบปรามเหตุการณ์อันเกิดจากความไม่น่าไว้วางใจจากความวุ่นวายทางเมืองสุวรรณเขต ก่อนที่จะขยายความวุ่นวายมาสู่หนองหาน สกลนครของไทย กองกำลังของพระยาสุริยเดชฯ จึงเป็นเหมือนกองกำลังตรวจตราความสงบไปเรื่อยๆ และคอยเป็นกองกำลังสมทบในที่เกิดเหตุร้ายแรง
การยกกองกำลังจากนครราชสีมาครั้งที่ 2
เมื่อมีการส่งกองกำลังจากนครราชสีมาไปครั้งที่แรก โดยไปตามหัวเมืองในมณฑลอีสาน ซึ่งเมืองอุบลราชธานีมีเหตุการณ์ความตึงเครียดจากอ้ายมั่นและพวกเข้าปล้นเมืองเขมราฐจนได้ฆ่าทหารตายนั้น ทำให้กำลังพลที่เมืองอุบลราชธานีไม่เพียงพอ จึงได้มีการยกกำลังพลครั้งที่ 2 จากนครราชสีมาไปช่วยยังอุบลราชธานี จากนั้นกรมยุทธนาธิการได้ออกคำสั่งให้กองทหารมณฑลนครราชสีมา เตรียมกำลังและส่งไปยังมณฑลอีสานทันที
กองกำลังครั้งที่ 3 จากมณฑลบูรพา
เมื่อพระยาสุริยเดชฯ ได้รับโทรเลขจากระทรวงมหาดไทย ให้ไปช่วยมณฑลอุดรธานีในการปราบปรามความวุ่นวายเมืองสุวรรณเขต และกองกำลังทางมณฑลบูรพา ซึ่งปัจจุบันคือ ประเทศกัมพูชา ได้รับโทรเลขให้ไปช่วยราชการที่เมืองอุบลแทนกองกำลังของพระยาสุริยเดชฯ โดยมีพระยาศักดาภิเดชคุมกำลังพล 30 คนลาดตะเวนจากเมืองศรีโสภณ มณฑลบูรพา มายังเมืองสังขะและสุรินทร์ เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยในที่แห่งนั้นร่วมกับพระยาบำรุงประจันต์ด้วย
รัฐบาลกลางใช้นโยบายทางทหารกับการเข้าหาประชาชน
การปราบปรามกบฏผีบุญที่เกิดขึ้นทางภาคอีสาน นอกจากรัฐบาลกลางจะใช้นโยบายทางทหารแล้ว ยังมีการใช้นโยบายการเข้าหาประชาชน โดยมีการทำพระพิมพ์ออกมาให้กับประชาชน เพื่อสร้างความอบอุ่นมั่นใจกับประชาชน และการให้ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาว่า จะไม่เชื่อผู้ตั้งตนเป็นผู้มีบุญหรือเป็นผู้วิเศษอีกต่อไป รวมทั้งให้รางวัลนำจับผู้ที่ตั้งตนเป็นผู้มีบุญในอัตราต่างๆ ตามความรุนแรงเรื่องกบฏผีบุญในแต่ละพื้นที่ด้วย
จับกุมกบฏผีบุญได้มาก จนที่กุมขังไม่เพียงพอ
นโยบายการปราบปรามกลุ่มคนบุญหรือกบฏผีบุญ ทำให้สามารถจับกลุ่มผู้ที่ตั้งตนเป็นกบฏผีบุญในเขตมณฑลอีสาน อุดร และนครราชสีมาได้จำนวนมากนับร้อยคน จึงทำให้มีที่กุมขังไม่เพียงพอ กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ทรงกล่าวว่า กลุ่มคนที่จับกุมมานั้น หากมีที่กุมขังไม่เพียงพอให้นำไปจองจำใส่ขื่อกลางแจ้งสักระยะหนึ่งก่อน และให้ได้รับโทษต่างกันไป 3 ระดับ ได้แก่ ขั้นแรกทำทัณฑ์บน คือให้จำคุกระยะสั้นต่ำกว่า 1 ปี ขั้นที่ 2 ให้จำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึงตลอดชีวิต และขั้นที่ 3 ให้ประหารชีวิต ได้แก่ องค์มั่นกลุ่มเมืองอุบล และท้าวบุญจันทร์กลุ่มเมืองขุขันธ์
ทหารจากนครราชสีมาได้รับการยกย่อง
แม้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ ลดน้อยลง แต่ก็ยังคงมีผู้ตั้งตนเป็นผู้มีบุญหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรง เนื่องจากกองกำลังในท้องถิ่นสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ดังนั้น กองกำลังจากนครราชสีมาที่ประจำอยู่มณฑลอีสานและมณฑลอุดร จึงกลับสู่นครราชสีมา และได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อแผ่นดินจนได้รับตราภูมิทุกคน เพื่อยืนยันว่าได้ผ่านการเกณฑ์แรงงานมาแล้ว หากมีการเกณฑ์แรงงานครั้งต่อไปจะได้รับการยกเว้น นอกจากนั้น ยังมีการให้เงินมากถึง 12 บาท สำหรับผู้ที่จับผู้ตั้งตนเป็นผู้มีบุญหรือกบฏผีบุญด้วย เรื่องราวของกบฏผีบุญนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงการนำความเชื่อของคนในท้องที่มาใช้หาประโยชน์ส่วนตน หรือประโยชน์ของกลุ่มที่มีบุคคลใดบุคคลหนึ่งตั้งตนขึ้นมาเพื่อต้องการอำนาจความเป็นใหญ่ กระทั่งทำให้ความเชื่อเหล่านั้นกลายเป็นโทษและภัยต่อสังคมโดยรวม ฉะนั้นเรื่องราวของกบฏผีบุญจึงเป็นอีกตำนานที่เล่าขานต่อกันมาถึงความมักใหญ่ใฝ่สูง และต้องการอำนาจโดยใช้เรื่องความเชื่อในทางที่ไม่ดี โดยเฉพาะผู้ที่ปกครองเมืองหรือมีอำนาจด้วยแล้วจะเป็นภัยต่อคนส่วนรวมในประเทศนั้นๆ ได้
ภาพประกอบจาก : https://www.silpa-mag.com/history/article_8986