พึ่งพระพุทธเจ้าสู้พึ่งพระเจ้าไม่ได้เพราะพระพุทธเจ้าดับไปแล้ว แต่พระเจ้ายังอยู่ให้พึ่งและการพึ่งเทวดาย่อมดีกว่าพึ่งมนุษย์ข้อนี้ ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?
เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความซาบซึ้งของการยอมรับถึงคุณค่าของสิ่งที่ตนยึดถือพอใจ เหมือนกับเพลงที่ร้องกัน ความว่า “ขี่รถเก๋งแสนสบาย อีกคนคนบอกว่าแพ้ควายแท้เทียว เพราะไม่หวาดเสียวเหมือนขี่รถ” เรื่องการพึ่งพระเจ้ากับพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ใครเห็นคุณค่าของใครมากกว่าก็ ย่อมกล่าวว่าฝ่ายนั้นดีกว่า นอกจากคนมีความรู้สึกว่า
“ขี่ควายขี่เก๋งก็เหมือนกัน เพราะพระจันทร์ดวงเดียวกัน”
ใครจะถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งหรือจะถือพระเจ้าเป็นที่พึ่งก็ตาม ย่อมได้ชื่อว่า เป็นคนมีศาสนาเป็นหลักใจในการดำรงชีวิตเช่นเดียวกัน เมื่อเกิดการยอมรับในประเด็นนี้ได้แล้วการอ้างพึ่งใครดีกว่าใครก็ไม่จำเป็น เพราะต่างคนต่างยึดมั่นในแนวทางของตน ทำให้ตนเป็นศาสนิกที่ดีในศาสนานั้น ๆ ก็จะได้รับผลตามควรแก่การปฏิบัติตามหลักในศาสนานั้น ๆ
แต่ถ้าเราจะพูดกันตามหลักความเป็นจริงแล้วทั้งพระพุทธเจ้าและพระเจ้าได้แสดงฐานะของตนเองออกมาอย่างเปิดเผยที่สุด คือ
“จงช่วยตนเองก่อน แล้วพระเจ้าจะช่วยเจ้า”
นี่ควรเป็นหลักในศาสนาที่นับถือพระเจ้า
“ความเพียรพยายาม อันเธอทั้งหลายพึงทำเอง ตถาคต เป็นเพียงผู้บอกให้เท่านั้น”
นี่คือหลักในศาสนาพุทธ
จากข้อความเหล่านี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าก็ดีพระพุทธเจ้าก็ดีทำหน้าที่ชี้แจง แสดงทางถูกทางผิดให้คนได้พิจารณาเอาเท่านั้น หาได้มีอำนาจในการดลบันดาลให้ใคร ๆ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามที่ตนต้องการได้ไม่ ด้วยอำนาจพระมหากรุณาที่พระพุทธเจ้าและพระเจ้ามีอยู่นั้นหากท่านมีอำนาจในการดลบันดาลแล้วท่านคงบันดาลให้คนพ้นทุกข์กันหมดแล้ว โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าเองหากดลบันดาลได้ก็ไม่ต้องลำบากพระวรกายเที่ยวสั่งสอนคนอยู่ถึง ๔๕ ปี หรอก ดลบันดาลกันประเดี๋ยวเดียวก็เป็นสุขกันหมดโลกแล้ว แต่งานของพระพุทธเจ้าเป็นงานที่ทรงทำเพียง
ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานต์
ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย
ใครจะถือใครเป็นที่พึ่งก็ตามควรจะทราบเงื่อนไขในการพึ่งว่าท่านที่เรายึดเป็นที่พึ่งนั้นจะสามารถช่วยเราได้ในขอบข่ายแค่ไหนเพียงไร ไม่ใช่ว่าพอถือใครเป็นที่พึ่งแล้วตนเอง ไม่ต้องทำอะไรเลยทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่านผู้เป็นที่พึ่งของเราทั้งหมด ไม่มีที่พึ่งเช่นนั้น ในโลกนี้ไม่ว่าในศาสนาใดก็ตาม
คนที่พึ่งคนอื่นและทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับคนที่ตนพึ่งทั้งหมดนั้นหากจะมีก็มีเพียง คนปัญญาอ่อน คนพิการทางร่างกายทางสมองเท่านั้นที่ช่วยตนเองไม่ได้ ส่วนคนปกติธรรมดาแล้วอย่าไปคิดหวังที่พึ่งเช่นนั้นเลย เพราะจะเสียเวลาและตายเปล่าโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา
เมื่อพระพุทธเจ้า พระเจ้าเป็นที่พึ่งได้โดยฐานะดังกล่าว ปัญหาเรื่องที่พึ่งจึงมีความเกี่ยวข้องอย่างสำคัญกับคนที่ถือพระพุทธเจ้า หรือพระเจ้าเป็นที่พึ่งว่า
“ศาสนิกในศาสนาเหล่านั้นจะสามารถเอาคำสอนในศาสนาของตนมาลงมือปฏิบัติจนสามารถพัฒนาจิตใจ ความระพฤติ และขจัดทุกข์ ได้รับความสุขอันเกิดจากการปฏิบัติตามคำสอนเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหนเพียงไร”
การถือพระพุทธเจ้าได้อย่างสมบูรณ์นั้นทำให้คนได้บรรลุมรรค ผลนิพพานอันเป็นการดับกิเลสและความทุกข์ได้ทั้งหมด
การถือพระเจ้าเป็นที่พึ่งคือการเข้าร่วมกับพระเจ้าตลอดนิรันดร ใครเห็นว่าอะไรดีกว่าก็เลือกเอาโดยไม่จำเป็นว่าจะต้องไปตำหนิคนอื่นหรือยกตนข่มท่าน
เมื่อทำได้เช่นนี้เอกภาพระหว่างคนนับถือศาสนาต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นจะต้องนับถือศาสนาเดียวกันหรือมีพระเจ้าองค์เดียวกัน
ส่วนที่ว่า “พึ่งเทวดาย่อมดีกว่าพึ่งมนุษย์” นั้น ข้อนี้เป็นเรื่องของความสมัครใจที่บุคคลนั้น ๆ เลือกเอาเองเช่นเดียวกัน แต่ที่ไม่ควรลืมคือเทวดากับมนุษย์นั้นมี กิเลส โลภ โกรธ หลงเหมือนกัน แต่มีชาติกำเนิดแตกต่างกัน เหมือนคนไทยกับคนต่างชาติ ฉะนั้นการถือว่า พึ่งเทวดาดีกว่าพึ่งมนุษย์นั้นได้แสดงออกมาให้เห็นตามสมควรว่าคนไม่น้อยมีความฝังใจในเรื่องนี้มากพอสมควร เช่น
- การเที่ยวอ้อนวอนบวงสรวงเทวดา เพื่อให้ดลบันดาลให้ตนได้อย่างนั้นอย่างนี้ ขอหวย ขอเบอร์กันจนขาดการตั้งใจทำมาหากิน บางรายร้ายแรงจนต้องขายทรัพย์สิน เพราะไปหวังพึ่งเทวดากัน เทวดาพึ่งได้จริงหรือไม่ก็น่าจะรู้ ๆ กัน อยู่แล้ว
- เกิดการดูหมิ่นตนเอง ไม่เชื่อความสามารถวิชาความรู้ของตนทำอะไรไม่ค่อยใช้สติปัญญา แต่ต้องการพึ่งอำนาจภายนอกมีเทวดาเป็นต้น ความยากจนความตกต่ำในด้านฐานะวิชาความรู้ก็ตามมา คนชาติใดก็ตามที่ไม่หวังพึ่งอำนาจภายนอกมากเกินไปแต่อาศัยเหตุผลสติปัญญาเป็นหลักในการดำรงชีวิต ความเจริญในด้านต่างๆก็จะเกิดขึ้นได้ จนป่านนี้แล้วคนในบ้านเมืองของเราบางพวกยังหลงมอบความเป็นอยู่ของตนให้ขึ้นอยู่กับการดลบันดาลของอำนาจภายนอกแล้วจะโทษใครกันเล่า?
- เทวดานั้นแม้แต่ศาลจะอยู่ก็ต้องให้คนสร้างให้ หากอำนาจในการช่วยเหลือ
มีจริงเทวดา ก็คงไม่เก่งเกินพระเจ้าคือ จะช่วยได้เฉพาะแก่คนที่ช่วยตัวเองก่อนแล้วเท่านั้น
มีเรื่องเทพารักษ์กล่าวกับคนขับเกวียนผู้อ้อนวอนให้เทวดาช่วย เมื่อล้อเกวียนตกหลุมลึก วัวลากไปไม่ไหวที่ว่า
“เจ้าจงเอาบ่าแบกลูกล้อ แล้วเฆี่ยนวัวให้เดินลูกล้อก็จะเคลื่อนที่พ้นจากหลุมได้ การที่ร้องโวยวายไปเสียก่อนโดยยังไม่ได้ทดลองกำลังของตนใครเล่าจะช่วยเจ้าได้”
คำกล่าวนี้ย่อมเป็นตัวอย่างอันดีของคนหวังพึ่งอำนาจภายนอกเพียงอย่างเดียว โดยตนไม่ต้องลงทุนใช้ความเพียรพยายามแต่ประการใด คนเรานั้น หากอยู่ในสภาพดังกล่าวแล้ว ไม่ว่าจะถือพระพุทธเจ้า พระเจ้า เทวดา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างอื่นก็ไปไม่รอดเสมอกันทั้งนั้นแหละ