มีเรื่องเล่าว่า สำเร็จลุน พระเถระทรงอภิญญามีความรู้ความสามารถเหนือบุคคลทั่วไป กล่าวกันว่าท่านสามารถแสดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ นานา เดินบนผิวน้ำได้ มีญาณหยั่งรู้หูทิพย์ตาทิพย์ คือมองเห็นสิ่งละเอียดได้ยินเสียงที่ละเอียดเกินความสามารถของบุคคลทั่วไปได้
วันหนึ่ง สำเร็จลุนได้เข้าไปหาหลวงปู่ศุข เมื่อหลวงปู่ศุขได้เห็นดังนั้น จึงได้เอ่ยถามไถ่ตามธรรมเนียมแห่งอาคันตุกวัตร
หลวงปู่ศุข : “ท่านมาจากที่ไหนครับ”
สำเร็จลุน : “ผมมาจากนครเวียงจันทร์ครับ”
หลวงปู่ศุข : “แล้วท่านมีภารกิจอันใด ให้ผมรับใช้ครับ”
สำเร็จลุน : “กระผมอยากรู้ว่าสมภารเจ้าแห่งวัดมะขามเฒ่าเก่งจริงดังที่เขาเลื่องลือไหม”
เมื่อหลวงปู่ศุขได้ยินดังนั้น ท่านจึงหันไปรูดใบมะขามเสกพร้อมตอบไปว่า “ผมขอโทษนะครับ”
แล้วจึงขว้างใบมะขามออกมากลายเป็นต่อและแตนบินพุ่งเข้าใส่สำเร็จลุน
สำเร็จลุนเห็นดังนั้นก็ยืนสงบนิ่งแล้วยกมือขึ้นรับต่อและแตน ต่อแตนนั้นก็พากันบินเข้าไปอยู่ในมือและกลายเป็นใบมะขามเหมือนเดิม
หลวงปู่ศุขเห็นดังนั้นแล้ว จึงเอ่ยถามด้วยความเคารพนับถือว่า “ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร โปรดเมตตาต่อข้ากระผมด้วยครับ”
สำเร็จลุนจึงตอบด้วยความเคารพเช่นกันว่า “กระผมคือคนที่ใคร ๆ เขาเรียกว่าสำเร็จลุนครับ”
หลวงปู่ศุขได้ยินเช่นนั้นจึงพนมมือขึ้นทำความเคารพและกล่าวไปว่า “กระผมได้ยินแต่ชื่อเสียงพึ่งเห็นตัวจริงวันนี้นี่เอง เหมาะสมที่ได้ชื่อว่าสำเร็จลุนจริง ๆ”
หมายเหตุ
จาก ประวัติหลวงปู่สำเร็จลุน กล่าวว่า สำเร็จลุนมรณภาพ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓ ที่วัดเวินไซ เมืองโพนทอง แขวงนครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวปัจจุบัน) รวมอายุ ๘๔ ปี พรรษา ๖๔
ส่วน พระครูวิมลคุณากร (ศุข เกสโร) มรณภาพเมื่อเดือนอ้าย พ.ศ. 2466 อายุ 76 ปี พรรษา 54
สำเร็จลุนจึงมีอายุมากกว่าหลวงปู่ศุข 11 ปี และมีพรรษามากกว่า 13 พรรษา
ผมไม่สามารถรู้ได้ว่าเหตุการณ์ที่ท่านทั้งสองพบเจอกันนั้นเป็นเรื่องจริงไหม แต่จะสังเกตุเห็นว่า ทั้งสองมีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเคารพซึ่งกันและกัน เป็นลักษณะของผู้ทรงศีล ทรงปัญญา ไม่มีความถือตัว
สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อมั่นคือ ท่านทั้งสองทรงความรู้ ทรงคุณธรรม ทรงพลังจิต สามารถน้อมจิตไปได้ตามปรารถนา
ในการเสกใบมะขามเป็นต่อเป็นแตนไม่ได้หมายความว่าเสกให้เป็นต่อเป็นแตนจริง ๆ คือไม่ได้หมายความว่าต่อแตนนั้นจะมีชีวิตยืนยาวต่อไป กิน สืบพันธ์ขยายพันธ์ได้เหมือนต่อแตนทั่วไป แต่เป็นลักษณะของภาพลวงตา หรือมายาการ เพื่อให้คนเห็นในสิ่งที่อยากให้เห็น และไม่ได้หมายความจะเห็นเช่นนั้นทุกคน เรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่องพระจูฬปันถก ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า
พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ 599 รูป เสด็จไปรับภัตตาหารที่บ้านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ครั้นหมอชีวกนำภัตเข้าไปถวายพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงปิดบาตรและตรัสว่า “ที่วัดยังเหลือภิกษุอีกรูปหนึ่ง” หมอชีวกจึงส่งคนไปนิมนต์ ปรากฏว่าคนนิมนต์เข้าไปวัดเห็นแต่พระสงฆ์นับพันที่พระจูฬปันถกเนรมิตด้วยฤทธิ์มโนมยิทธิขึ้นมา จึงกลับมารายการเรื่องนั้น พระพุทธองค์จึงให้คนนิมนต์กลับไปบอกพระเหล่านั้นอีกว่า พระพุทธองค์ทรงให้เรียกพระจูฬปันถก เมื่อคนนิมนต์ไปที่วัดและเรียกชื่อพระจูฬปันถก ปรากฏว่าพระทุกรูปตอบว่าตนคือพระจูฬปันถกหมด คนนิมนต์จึงกลับมาอีก คราวนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสให้คอยสังเกตดูว่ารูปไหนพูดก่อน ให้คว้ามือรูปนั้นไว้ ปรากฏว่าคนนิมนต์กลับไปทำเช่นนั้น พอจับมือพระจูฬปันถกตัวจริง พระที่ถูกเนรมิตรก็หายไปหมด จึงเป็นที่รับรู้กันว่าพระจูฬปันถกเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา และพระศาสดาทรงยกย่องพระจูฬปันถกเป็นเอตทัคคะในด้าน ผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ
จากเรื่องพระจูฬปันถกนี้ ไม่ได้หมายความว่ามีพระจูฬปันถกพันรูปจริง ๆ แต่ด้วยอำนาจแห่งจิตจึงแสดงความเป็นอัศจรรย์ให้คนอื่นมองเห็นเป็นพันรูป
ถ้าการเสกใบมะขามเป็นต่อแตนคือภาพลวงตาหรือมายาการ (คืออำนาจจิตในการทำให้เห็น ไม่ใช่เทคนิคหรือมายากล) การเสกจึงไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากทำให้เห็นมีพลังจิตที่สามารถทำในสิ่งนี้ได้
ถามว่าสามารถใช้อำนาจพลังจิตทำร้ายคนอื่นได้หมด เรื่องนี้ก็ได้แน่นอน แต่หากไม่สามารถทำร้ายคนอื่นได้ พลังจิตนั่นแหล่ะจะเผาผลาญคนใช้เอง