ในบทความครั้งก่อนผมได้ในหัวข้อชื่อว่า โสตถิยะไม่ได้ถวายหญ้าคา แต่ถวายหญ้าที่ชื่อว่ากุสะ แม้ว่าหญ้ากุสะจะไม่ใช่หญ้าคาบ้านเรา แต่มีความคล้ายกันเป็นอย่างมากและสิ่งที่มีลักษณะเหมือนกันของหญ้าทั้งสองคือ ใบอวบรูปยาวเหมือนหอก ขอบใบคม พร้อมที่จะบาดมือสำหรับผู้ที่ไม่รู้หรือไม่มีความชำนาญในการจับหรือเก็บเกี่ยวหญ้ากุสะเพื่อนำมาใช้ ต่างว่าหญ้ากุสะคือหญ้าคาด้วยคุณสมบัติที่เหมือนกันคือมีรูปใบยาวเหมือนหอกมีขอบใบคม ฉะนั้นบทความนี้ เพื่อความเข้าใจที่ง่ายยิ่งขึ้น ผมขอเรียกหญ้ากุสะว่าหญ้าคา
ย้อนรอยไปในวันที่ทรงตรัสรู้ ในกาลนั้น มีพราหมณ์ผู้หนึ่ง มีนามโสตถิยพราหมณ์ถือซึ่งหญ้าคา 8 กํา เดินสวนทางมา พอพบพระมหาบุรุษราชเจ้าเกิดความเลื่อมใสจคได้นําเอาหญ้าคาทั้ง 8 กํานั้นน้อมเข้ามาถวายในระหว่างทาง สมเด็จพระมหาสัตว์ก็ทรงรับหญ้าคาทั้ง 8 กํานั้นแล้ว ก็เสด็จไปถึงที่ใกล้โพธิพฤกษมณฑลสถาน ก็เสด็จคมนาการกระทําประทักษิณทุมินทรอสัตถพฤกษ์สิ้นตติยวารกําหนดแล้ว เสด็จบทจรไปในทักษิณทิศาภาคแห่งโพธิพฤกษ์ ผันพระพักตร์ไปฝุายอุดรทิศสถิตหยุดยืนประดิษฐานทรงพระจินตนาการปรารภเพื่อจะทอดซึ่งหญ้าคา 8 กํา กระทําเป็นรัตนบัลลังก์ ตั้งสัตยาธิษฐานว่า หากไม่ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต่อให้เลือดและเนื้อเหือดแห้งไป เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที ก็จะไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด จากนั้นจึงทรงบำเพ็ญจิตภาวนา เมื่อจิตหยั่งลงสู่ฌานขั้นต่างๆ แล้ว ในยามสุดท้ายก็ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ สำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
สิ่งที่เราจะนำมาถอดรหัสศึกษาเห็นเป็นปริศนาธรรม นั่นคือหญ้าคา 8 กำ (หญ้ากุสะ) ทำไมต้องเป็นหญ้าคา ทำไมต้อง 8 กำ มีใครไปนับไว้ไหม หรือมีการระบุทีหลังว่า 8 กำ เรื่องนี้ผมจะไม่สืบต่อ แต่จะแก้ปริศนาตามที่เห็น
ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ธรรมชาติของหญ้าคามีใบอวบรูปยาวเหมือนหอก ขอบใบคม หากจำไม่ดี หรือไม่รู้วิธีจับ ขาดประสบการณ์ก็อาจจะทำให้บาดมือได้ หญ้าคาทั้ง 8 กำนี้เปรียบได้กับโลกธรรม 8 ประการ คือ ธรรมดาของโลก เรื่องของโลก ธรรมชาติของโลกที่ครอบงำสัตว์โลกและสัตว์โลกต้องเป็นไปตามธรรมดานี้ 8 ประการอันประกอบด้วย
1.ลาภ
2.เสื่อมลาภ
3.ยศ
4.เสื่อมยศ
5.สรรเสริญ
6.นินทา
7.สุข
8.ทุกข์
โลกธรรม 8 ประการนี้ สามารถแบ่งเป็นฝ่ายอิฏฐารมณ์ และ ฝ่ายอนิฏฐารมณ์ ได้ดังนี้
โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ คือ พอใจของมนุษย์ เป็นที่รักเป็นที่ปรารถนา
- ลาภ หมายความว่า ได้ผลประโยชน์ ได้มาซึ่งทรัพย์
- ยศ หมายความว่า ได้รับฐานันดรสูงขึ้น ได้อำนาจเป็นใหญ่เป็นโต
- สรรเสริญ คือ ได้ยิน ได้ฟัง คำสรรเสริญคำชมเชย คำยกย่อง เป็นที่น่าพอใจ
- สุข คือ ได้ความสบายกาย สบายใจ ความเบิกบาน บันเทิงใจเริงใจ
โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คือ ความไม่พอใจของมนุษย์ ไม่เป็นที่ปรารถนา
- เสื่อมลาภ หมายความว่า เสียลาภไป ไม่อาจดำรงอยู่ได้
- เสื่อมยศ หมายถึง ถูกลดอำนาจความเป็นใหญ่
- นินทา หมายถึง ถูกตำหนิติเตียนว่าไม่ดี ถูกติฉินนินทา หรือถูกกล่าวร้ายให้เสียหาย
- ทุกข์ คือ ได้รับความทุกขเวทนา ทรมานกาย ทรมานใจ[
โลกธรรม หลักธรรมอันเป็นธรรมดาของโลก หรือธรรมที่คู่กับโลก ซึ่งทุกคนจะต้องได้ประสบพบเจอ จะต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม ทุกคนจะต้องได้ประสบซึ่งโลกธรรมเหล่านี้มาในรูปแบบต่าง ๆ ในโลกธรรม 8 ประการนี้ แบ่งเป็น 4 คู่ แยกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่น่าพอใจ และฝ่ายที่ไม่น่าพอใจ
ปุถุชนธรรมดาเมื่อประสบโลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์คือฝ่ายที่น่าพอใจ น่ายินดี มักจะหลงมัวเมาว่าสิ่งนี้เป็นของเรา เราได้เสวยสิ่งที่น่ายินดีนี้ และหลงติดในอารมณ์ที่น่ายินดีนี้ แต่เมื่อโลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์คือฝ่ายที่ไม่น่ายินไม่น่าพอใจมาถึง ย่อมดิ้นรนกระวนกระวาย ย่อมตีโพยตีพายว่าสิ่งนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับเรา ย่อมเศร้าโศกเสียใจปานใจจะขาด แท้จริงแล้วทั้งสิ่งที่ไม่น่ายินดีและสิ่งที่น่ายินดีเป็นของคู่กัน มีสิ่งนี้จึงได้มีสิ่งนี้ หรือจะเรียกว่าอยู่ในสิ่งเดียวกันก็ว่าได้ ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งไหนจะมาถึงก่อนเท่านั้นเอง
โลกธรรมเหมือนกันหญ้าคาที่คม เหมือนดังใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง พร้อมที่จะบาดมือผู้ที่ไม่รู้วิธีจับ จับไม่ดี ไม่มีความชำนาญในการจับ ขาดการฝึกฝนด้วยดี แม้โลกธรรมทั้ง 8 นี้ก็เช่นกัน พร้อมที่จะบาดบุรุษและสตรีผู้ขาดสติ ขาดปัญญาที่เป็นให้เหตุให้รู้เท่าทันตามความเป็นธรรมดาแห่งโลกโธรรมทั้ง 8 ประการ
พระโพธิสัตว์ประทับนั่งตรัสรู้ธรรมเหนือหญ้าคา 8 กรรม เป็นธรรมปริศนาให้รู้ว่าแม้พระองค์จะทรงถูกโลกธรรมทั้ง 8 มากระทบ แต่โลกธรรมไม่สามารถครอบงำจิตใจพระองค์ได้ พระองค์ทรงมีพระหฤทัยเหนือโลกธรรมทั้ง 8 ประการนั้น
บทความนี้ เขียนขึ้นจากข้อคิดที่ได้อ่าน ปริศนาแห่งหญ้าคา 8 กำ