
ตำนานเกี่ยวกับผีในเมืองไทยมีหลายชนิด โดยผีแต่ละชนิดจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ทั้งความน่ากลัวและอิทธิฤทธิ์ของผีชนิดนั้นๆ รวมถึงความร้ายกาจที่สามารถทำให้คนกลัว และได้รับอันตรายได้ ซึ่งยังมีตำนานผีที่น่าสนใจอีกชนิดหนึ่ง ได้แก่ ผีกระสือ ผีในตำนานที่หลายคนต้องการหาคำตอบว่ามีอยู่จริงหรือไม่ หรือจะเป็นเพียงความเชื่อของชาวบ้านเท่านั้น ตำนานผีกระสือมีที่มาที่ไปอย่างไร ลองไปหาคำตอบพร้อมๆ กันค่ะ
ความหมายของผีกระสือ
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายของกระสือไว้ว่า เป็นผีชนิดหนึ่งที่สิงอยู่ในร่างของผู้หญิง ชอบกินของโสโครก โดยเป็นผีคู่หูของผีกระหังซึ่งเป็นผีผู้ชาย นอกจากนี้ ยังเป็นผีที่ชอบสิงร่างผู้หญิงแก่มากกว่าหญิงสาว ชอบกินของสดคาวๆ ชอบออกหากินตอนกลางคืน แต่จะลอยไปแค่หัวกับตับไตไส้พุงเท่านั้น ส่วนตัวนั้นจะทิ้งไว้บ้าน บริเวณไส้และเครื่องใน จะมีแสงของดวงไฟดวงโตสีเขียวเรืองๆ โดยผีกระสือทางวิทยาศาสตร์ เป็นแก๊สมีเทน ที่เกิดจากการเน่าเปื่อยผุพังของสารอินทรีย์แล้วติดไฟในอากาศ ทำให้เห็นเป็นเหมือนดวงไฟขณะลอยไปในที่มืด
ประวัติความเป็นมาของผีกระสือ
ตั้งแต่อดีตมีความเชื่อว่า กระสือคือ ภูติชนิดหนึ่ง เป็นผีที่มีการทำกรรม ขณะที่ยังมีชีวิตเป็นมนุษย์ ชอบหากินด้วยทางไม่สุจริต โดยการหลอกลวงต้มตุ๋นเพื่อนมนุษย์ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การนำของปลอมมาหลอกขายเป็นของจริง หรือขายของโบราณ เมื่อตายแล้วจะกลายเป็นเปรตก่อนทั้งชายและหญิง ซึ่งจากผลของกรรมจะทำให้ได้รับความทุกข์ยาก โหยหิว ชอบกินของบูดเน่า เพราะกรรมที่สร้างไว้จากความไม่ซื่อสัตย์ โลภอยากได้ของผู้อื่นโดยทางมิชอบ
เมื่อพ้นจากสภาพของเปรตแล้ว จึงจะมาเกิดเป็นภูติ แต่ยังต้องกินของสกปรก ของคาว ของเน่าเหม็นเหมือนเดิม โดยใช้วิธีการเข้าสิงร่างของคนที่มีวิบากกรรม เหมือนตัวเองตอนเป็นมนุษย์ ทำให้มีแรงดึงเข้าไปหากันและสามารถเข้าสิงร่างนั้นได้ เพราะกระสือจะสามารถสิงร่างที่มีกรรมร่วมกันเท่านั้น
ลักษณะของภูติมีลักษณะอย่างไร
ภูติมีลักษณะคล้ายกับผี แต่จะมีฤทธิ์เดชมากกว่า เพราะสามารถแปลงกลายเป็นสัตว์ต่างๆ ได้ แต่ผีไม่อาจแปลงกายได้ ซึ่งความสามารถในการแปลงกายของภูติ จะได้มากและน้อยต่างกัน ภูติบางตนสามารถแปลงร่างได้ 2 อย่างบ้าง 3 อย่างบ้างและ 4 อย่างบ้าง ภูติบางตนสามารถแปลงกายได้เป็นเพียงหมาดำตัวใหญ่ บางตนแปลงเป็นงูได้ รวมทั้งภูติสามารถสิงในร่างมนุษย์ เหมือนกาฝากติดตามต้นไม้ หากสิงอยู่นานเท่าไหร่ ก็จะยิ่งกลืนกินชีวิตจิตใจของเจ้าของร่างไปมากเท่านั้น เหมือนกาฝากที่โตและคลุมต้นไม้ ต้นที่มันไปติดอยู่นั่นเอง
นอกจากนั้นภูติจะชอบอยู่ในที่มืด ไม่ชอบแสงสว่าง แต่ไม่มีไส้หรือหัวใจเหมือนที่เห็นในหนังหรือละคร จะถอดจิตของเจ้าของร่างเมื่อเจ้าของร่างนอนหลับ และเมื่อถอดจิตแล้วเจ้าของร่างจะไปไหนไม่ได้ โดยจะเห็นเป็นดวงไฟสว่างๆ หลากหลายสี เช่น สีเหลือง สีแดง สีเขียว สีส้ม ลอยขึ้น ๆ ลง ๆ เพื่อหาอาหาร ซึ่งนั่นคือดวงจิตของคนที่มีวิบากกรรม และจึงถูกภูติควบคุมดวงจิตนั้นให้ออกมา ซึ่งมนุษย์จะสามารถเห็นเพียงดวงไฟของจิตดวงนั้นลอยไปลอยมาเท่านั้น แต่จะไม่เห็นตัวภูติ
ลักษณะร่วมกันระหว่างกระสือกับภูติ
ลักษณะที่เหมือนกันของกระสือและภูติ คือ ชอบกินของสกปรก ของคาว ของเน่าเหม็น และเวลากินต้องกลายเป็นภูติก่อน มีรูปร่างคล้ายคนผอม ดำ น่าเกลียด ไม่ใส่เสื้อผ้า แต่คนจะมองเห็นเพียงแค่ดวงไฟ เป็นผีที่อยู่ในสถานะกายหยาบกายละเอียด ที่ร่างแปลงขึ้นมาทันใด แล้วก็กินของสกปรกด้วยความอร่อย ด้วยวิบากกรรมที่ทำมา จึงทำให้ต้องเป็นแบบนั้น เมื่อผีกระสือกินของสกปรกเหล่านั้นอิ่มแล้ว ตามความเชื่อจะเช็ดปากด้วยเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากทิ้งไว้ค้างคืน แล้วทิ้งร่องรอยความสกปรกนั้นเอาไว้ และตามความเชื่อหากนำผ้าที่กระสือใช้เช็ดปากนั้นไปฟาดกับบันได จะทำให้คนที่เป็นกระสือนั้นปากบวม หรือจะเอาผ้านั้นไปต้มเพื่อให้กระสือปวดแสบปวดร้อนจนทนไม่ได้

กระสือจะสิงร่างของผู้หญิงเท่านั้น
มีประวัติเล่าว่า ผีกระสือเป็นผีที่สิงเฉพาะร่างของผู้หญิงเท่านั้น ในเวลากลางวันจะมีลักษณะเหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่จะมีลักษณะและพฤติกรรมแปลกๆ คล้ายคนป่วย ไม่กล้าสบตาผู้คน เมื่อถึงตอนกลางคืนดึกๆ วิญญาณร้ายที่สิงในร่างนั้น จะบังคับให้หัวและอวัยวะภายใน หลุดลอยออกจากร่าง เพื่ออกไปหาของกิน ซึ่งบางครั้งนอกจากกินของคราว และของเน่าเหม็นแล้ว กระสือยังสามารถกินสัตว์ต่างๆ ได้ เช่น วัว ควายและสัตว์เล็กๆ อย่างกบเขียด แต่ผีกระสือจะเป็นผีที่ค่อนข้างกลัวคน หลบคนและไม่ทำร้ายคน นอกจากโดนไล่ต้อนจนมุมมันถึงจะทำร้ายคน ของโปรดที่สุดของกระสือ คือ เครื่องในไส้แบบสดๆ เมื่อกินเสร็จก็เช็ดปากด้วยเสื้อผ้าของบ้านที่มันไปกินเหยื่อ
กระสือกินอุจจาระเป็นอาหาร
นอกจากเครื่องในของคราวที่พูดมาก่อนนั้นแล้ว กระสือยังชอบกินอุจจาระเป็นอาหาร เนื่องจากคนสมัยก่อนไม่มีส้วม จึงมีการขุดหลุมทำเป็นส้วมชั่วคราว ทำให้กระสือไปกินอุจจาระนั้นได้ง่าย ชาวบ้านจึงไม่ทนกับพฤติกรรมของกระสืออีกต่อไป กระทั่งให้หมอผีมาปราบ รวมทั้งไล่กระสือให้ออกจากร่างของผู้เคราะห์ร้ายที่โดนสิงนั้น แต่การปราบกระสือส่วนมาก จะเป็นผลร้ายกับเจ้าของร่างมาก เพราะกระสือได้ควบคุมจิตวิญญาณของร่างนั้นไว้ การปราบกระสือจึงเหมือนทำร้ายเจ้าของร่างไปด้วย
กระสือจะมีดวงไฟของตัวเอง
ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของผีกระสือ คือ จะมีดวงไฟวูบวาบที่หัวใจ มีความเชื่อว่านั้นคือดวงวิญญาณของร่างที่กระสือไปสิงอยู่ เมื่อมองจากที่ไกลๆ จะเห็นเป็นดวงไฟสีเขียว หรือมีแสงสลัวๆ อยู่ในความมืด ซึ่งก่อนที่ผีกระสือจะออกหากิน จะต้องคาบผ้าห่มคลุมร่างที่ไร้หัวของตัวเองไว้ และร่างนั้นจะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ หรืออยู่ในลักษณะเป็นศพ อยู่ตลอดช่วงที่กระสือถอดหัวออกไป ไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดๆ เพราะว่าอวัยวะภายในติดไปกับหัวทั้งหมด ร่างนั้นจึงได้เพียงแน่นิ่งสงบ จนกว่าหัวและเครื่องในจะลอยกลับมาเข้าร่างตามเดิม
ตำนานกระสือจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่
ผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่าเรื่องราวของผีกระสือว่า เป็นผีที่มีมาแต่โบราณ เป็นผีผู้หญิงที่ใช้ชีวิตแบบปกติ ปะปนกับคนอื่นในสังคม และเป็นผีที่กลัวแสงแดดมาก แต่ตกดึกจะถอดหัวกับไส้ออกไปหากิน ให้ผู้คนเห็นเป็นดวงไฟสีเขียวๆ ลอยไปบนฟากฟ้ายามค่ำคืน ชอบกินสิ่งของปฏิกูลทั้งหลาย สิ่งที่กระสือชอบเป็นพิเศษคือ รกเด็ก ในสมัยโบราณจึงเชื่อว่าหากบ้านไหนมีการตั้งครรภ์ และคลอดลูก แล้วกระสือจะชอบไปบ้านนั้น โดยกระสือจะชอบไปที่หลังบ้านเพื่อกินรกของเด็ก โดยคนที่คลอดลูกใหม่ๆ กลิ่นคาวของเลือดสดๆ จะนำพาให้ผีกระสือมา และเข้าสิงกินตับไตไส้พุงของหญิงที่คลอดลูก หรือของทารกที่คลอดนั้น
จึงมักมีการนำหนามแหลมอย่างหนามพุทราหรือไม้ไผ่แหลมๆ รวมทั้งของมีคมต่างๆ มาล้อมไว้หน้าบ้านและใต้ถุนบ้าน ตรงกับบริเวณที่มีร่องรู เพราะกระสือกลัวว่าหนามหรือสิ่งของมีคมเหล่านั้น จะทำให้ไส้และเครื่องในของตัวเองได้รับอันตราย อีกทั้งเครื่องในของมันจะติดกับหนามนั้น และก็จะไม่สามารถกลับไปเข้าร่างได้
การสืบทอดทายาทของกระสือ
การสืบทอดทายาทของกระสือ จะสามารถส่งต่อความเป็นกระสือให้กับคนที่จะเป็นทายาท ได้โดยการกินน้ำลายของคนที่เป็นกระสือ และคนที่เป็นทายาทนั้นจะค่อยๆ ซึมซับความเป็นกระสือทีละเล็กละน้อย และท้ายที่สุดก็กลายเป็นกระสือแบบสมบูรณ์ ซึ่งคนที่เป็นกระสือนั้นจะไม่ตายง่ายๆ และทุกข์ทรมานมากหากยังไม่ได้สืบทอดทายาท แต่เมื่อได้คายน้ำลายของตัวเอง ให้กับลูกหลานเรียบร้อยแล้ว จึงจะตายแบบไม่ทรมาน ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีและเวลาได้ผ่านไป จึงไม่มีใครเห็นกระสือ หรือรู้ว่ากระสือยังมีอยู่จริงหรือไม่

ผีกระสือในต่างประเทศ
ในประเทศมาเลเซีย มีเรื่องเล่าของผีที่มีลักษณะคล้ายผีกระสือของไทย ซึ่งคนมาเลเซียเรียกผีคล้ายกระสือนี้ว่า ฮันตูปินังกาลัน โดยเรื่องของผีฮันตูปินังกาลัน ในมาเลเซียนั้นได้เกิดขึ้น และมีคนรู้จักเมื่อมีครอบครัวหนึ่ง อยู่ด้วยกันทั้งพ่อ แม่ ลูก ในคืนหนึ่งพอได้ออกไปทำธุระข้างนอกบ้าน ส่วนแม่นั้นปิดประตูอยู่ในบ้าน แล้วผู้เป็นแม่นั้นได้หยิบเอาขวดน้ำมันมนต์มาทารอบคอ แล้วสักครู่หัวกับตัวของเขาก็แยกออกจากกัน โดยมีตับไตไส้พุงห้อยติดออกมากับหัวด้วย เมื่อถึงเวลาออกหากิน เขาจะถอดหัวแบบนี้ และจะมีแสงสีเหลือง รวมทั้งมีเสียงซู่ๆ ดังตลอดเวลา เพื่อไล่สัตว์ที่จะเข้ามาสู่พวงไส้ของเขา
ลูกของเขาได้เห็นภาพนั้น จึงลองเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาลองทาดูบ้าง และเมื่อหัวของเด็กน้อยกำลังจะออกจากร่าง เด็กน้อยเกิดความกลัว จึงร้องโวยวายเสียงดังให้คนช่วย หัวของเขากำลังจะหลุดออกจากร่าง กระทั่งชาวบ้านละแวกนั้นได้ยิน แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเหลือ สุดท้ายเมื่อหัวของแม่ลอยกลับมา เสียงร้องโวยวายนั้นก็เงียบลง หลังจากวันนั้นครอบครัวดังกล่าวก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น และไม่มีใครได้เห็นอีกเลย นั่นจึงเป็นที่มาของผีคล้ายผีกระสือของไทย ในประเทศมาเลเซีย
ตำนานผีกระสือกับสังคมในปัจจุบัน ยังคงมีอยู่คู่กับความเจริญทางเทคโนโลยี ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้จะไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า ผีกระสือยังมีอยู่จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงผีในตำนาน ที่คนเล่าลือต่อๆ กันเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นตำนานของผีที่ช่วยสร้างความรู้เกี่ยวกับผีพื้นบ้านตามความเชื่อของคนไทยได้ดีเช่นกัน