พระพุทธศาสนาสอนให้พึ่งตนเองช่วยตนเองสู้พึ่งพระเจ้าไม่ได้ พึ่งตนเองดีกว่า หรือพึ่งพระเจ้าดีกว่า?
การเปรียบเทียบว่าอะไรดีกว่าอะไรนั้น ย่อมขึ้นกับความพอใจ ศรัทธาของคนๆนั้นเป็นสำคัญ เหมือนเราถาม “ระหว่างปลาร้า กับ น้ำมูดูอะไรอร่อยกว่ากัน”
ถามคนอีสานก็ต้องตอบว่า น้ำมูดูอร่อยสู้ปลาร้าไม่ได้คนทางสงขลา ปัตตานี ก็ต้องตอบว่า น้ำมูดูอร่อยกว่า พอมาถามคนภาคกลางเข้า เขาอาจจะตอบว่า
“ผมว่าสองอย่างนั้น สู้น้ำพริกปลาทูไม่ได้นะ”
เรื่องการพึ่งสิ่งที่ตนเคารพเป็นสรณะก็เหมือนกัน ใครมีความศรัทธามีความฝังใจในศาสนธรรมของศาสนาใด ก็ชอบที่จะยึดมั่นในศาสนาของตนและที่ไม่ควรลืม คือ พระพุทธเจ้านั้นทรงอยู่ในฐานะผู้บอกทางแห่งความสุขอันควรเดินไป กับทางแห่งความทุกข์อันควรละเว้นให้เท่านั้น ส่วนการปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลที่ตนจำนงหวังเป็นเรื่องที่แต่ละคนจะต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ไม่มีการดลบันดาลในพระศาสนานี้จะรักษาคุ้มครองเป็นที่พึ่งของคนได้จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ว่า
“พระธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเหมือนร่มใหญ่ป้องกันคนผู้กั้นร่มไม่ให้เปียกฝนในเวลาฝนตกฉะนั้น”
แม้ว่าจะมีร่มอยู่ในมือหาก ไม่กั้นร่มไว้เหนือศีรษะเวลาเปียกฝนจะไปตำหนิร่มไม่ได้ฉันใด พระธรรมในพระศาสนานี้จะรักษาได้เฉพาะผู้ประพฤติธรรมฉันนั้น
แม้พระเจ้าเองก็เถอะอย่างที่เคยกล่าวมาในข้อก่อนว่า
“จงช่วยตัวของเจ้าก่อนแล้ว พระเจ้าจึงจะช่วยเจ้า”
ถ้าพระเจ้าสามารถช่วยแม้คนที่ไม่พร้อมจะช่วยตนเองได้แล้ว ลูกของพระเจ้าสองพระองค์คงไม่ทำสงครามล้างผลาญกันอยู่ในเลบานอนในปัจจุบันนี้หรอก